3.หนีไม่พ้น
ลั่วซินมองภาพตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น หากเลือกได้ นางอยากอยู่แต่ในเรือนปลูกต้นไม้ใบหญ้าดีกว่า เพราะตลอดทางที่ต้องเดินมุ่งตรงสู่ใจกลางงานเลี้ยง หญิงสาวสัมผัสได้ถึงแรงปรารถนาอันหลากหลายที่ซ่อนอยู่รอบตัว
แม้ไม่มีการเอื้อนเอ่ยออกมาตรง ๆ ทว่าแววตาและกิริยาของผู้คนเหล่านี้กลับเผยให้เห็นถึงเป้าหมายอย่างชัดเจน
เพราะในบรรดาแขกที่เป็นสตรี ร่างระหงของโม่ลั่วซินถือว่าโดดเด่นเหนือใคร ใบหน้าหวานล้ำเปรียบเสมือนกลีบดอกไม้แรกแย้ม ยิ่งแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีอ่อนพลิ้วไหว โม่ลั่วซินผู้นี้ก็ยิ่งดูงดงามดั่งนางสวรรค์ที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์
แม้แต่คนที่ไม่เคยแยแสให้ความสนใจ เรื่องราวที่ข้องเกี่ยวกับตระกูลโม่ ก็ยังอดที่จะหันมายลโฉมไม่ได้
เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมสวน บางคนชื่นชมความสง่างามของโม่ลั่วซิน บางคนจับจ้องด้วยความริษยา ทว่าลั่วซินมิได้หวั่นไหวต่อสายตานับร้อยที่มองมา
นางยังคงรักษาท่วงท่าสงบมั่นคง และยังเดินตามแม่ใหญ่ไปอย่างคนรู้กาลเทศะ ประดุจกุลสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี
ทว่าท่ามกลางกลิ่นอายของงานเลี้ยงอันโอ่อ่า ความครึกครื้นเหล่านี้ กลับมิอาจบดบังความกังวลของหญิงสาวได้ แม้นางจะรักษาท่วงท่าสงบนิ่งในทุกย่างก้าว ทว่าสายตาคู่งามกลับยังคงวูบไหว คอยเหลือบมองหาทรราชตัวร้ายไปทั่วทุกมุม
ลั่วซินมิได้แสวงหาการพบหน้ากันอีกครั้ง
ตรงกันข้าม…ทุกฝีก้าวที่นางเดินล้วนแต่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางหมายจะหลีกเลี่ยง เพื่อมิให้ต้องพบเจอกับเขา
สำหรับลั่วซิน จวนรุ่ยอ๋องแห่งนี้ดูคล้ายสนามรบที่ต้องใช้ความรู้สึกต่อสู้กับมัน ภายใต้ท่าทางสงบเสงี่ยมนี้ กลับมีแรงปะทะอย่างหนักหน่วง ระหว่างอดีตที่เจ็บปวดกับปัจจุบันที่ต้องอดทนทำเพื่อคนที่รัก ซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียว
ฉะนั้น…แม้หนทางข้างหน้าจะยากลำบาก นางก็จะขอลองสู้ดูสักตั้ง ไม่แน่ว่าชะตามันอาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วก็ได้
ขอแค่นางไม่หลงกลทรราชผู้นั้นอีกก็พอ
ลั่วซินแสร้งขยับเข้ามายืนใกล้แม่ใหญ่มากขึ้น พลางใช้พัดในมือช่วยปิดบังใบหน้า ทำทีสนใจโคมไฟและเสียงดนตรีไปเรื่อย ทว่าความจริงแล้วนางกำลังมองหาเจ้าบ้านมากกว่า
หากเจอเขาเมื่อใด การหาทางเลี่ยงมันย่อมทำได้ง่ายขึ้น
แต่แล้วเหตุใด เมื่อนางเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น ใจที่เคยคิดว่ามันเข้มแข็งกลับเริ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ นางรีบหมุนตัวหันหนี เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขามองเห็น
“ทำอันใดของเจ้า ไยไม่รู้จักสำรวม” ลั่วเหยาตำหนิเสียงเบา และยังมิวายใช้มือหยิกเข้าที่แขนน้องสาวต่างแม่ไปหนึ่งที
“ขออภัยพี่หญิง พอดีข้าได้กลิ่นหอมของดอกไม้บางชนิด เลยรีบหันตามกลิ่นมันเจ้าค่ะ” ลั่วซินปดไปเรื่อย
“ไร้สาระ” ลั่วเหยายังคงติติง ก่อนจะใช้มือดันน้องสาวให้ก้าวเดิน เพราะมารดาเดินเข้าไปด้านในแล้ว
ลั่วซินจึงรีบสาวเท้าตามพี่สาวตน เพราะนางเกรงผู้ที่ยืนคุยอยู่ที่ศาลาจะหันมาพบเข้าเสียก่อน ‘เห้อ ดีที่หลบพ้น’ นางพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะชะงักเมื่อเจอบิดากำลังจ้องมอง
สีหน้าหัวหน้าโม่ยังคงนิ่งขรึม ราวกับต้องการใช้อำนาจกดดันบุตรสาว แต่เมื่อมีคนเอ่ยด้วย ท่าทีเขากลับเปลี่ยนไป พลันใบหน้าก็ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ยามเมื่อครอบครัวของตนเดินเข้ามาใกล้ หากเป็นที่บ้านเขาคงไม่ทำเช่นนี้กระมัง
“คารวะท่านลุงท่านป้าและขุนนาง ณ ที่นี้เสีย” โม่จางเหลียนกล่าวเตือนบุตรสาวของตนอย่างคนวางอำนาจ
สตรีทั้งสามนางจึงยกมือประสานพร้อมกับย่อกายลงอย่างนอบน้อม ใบหน้าเผยยิ้มบางอย่างน่าเอ็นดู
“งดงามกันจริง ๆ” เจ้ากรมโยธาเอ่ยก่อนใคร
ลั่วซินเผยยิ้มบางอย่างน่าชื่นชม ดีที่ยามนี้รุ่ยอ๋องไม่ได้อยู่ในวงสนทนา หญิงสาวจึงรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก
เวลาต่อมา หัวหน้าโม่ก็กล่าวแนะนำบุตรสาวของตนต่อหน้าเหล่าขุนนางและภรรยาเจ้าขุนมูลนายอย่างพิถีพิถัน
"นี่คือลั่วหนานบุตรีคนโต นี่ลั่วเหยาคนรอง สองคนนี้ ทุกท่านอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างแล้ว ส่วนคนเล็กที่ข้าน้อยเพิ่งรับกลับมา มีนามว่าลั่วซิน" น้ำเสียงช่วงท้ายหัวหน้าโม่ดูปลื้มปีติมาก
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นสายตาของเหล่าบุรุษชนชั้นสูงในงาน ต่างก็พากันมองบุตรสาวคนเล็กอย่างสนใจ คาดว่าค่ำคืนนี้ ตระกูลโม่น่าจะได้รับข่าวดีกลับไปเป็นแน่ แม้แต่ขุนนางผู้ใหญ่ที่เขาสนทนาด้วย ก็ยังใคร่รู้ถามถึงที่มาของลั่วซินไม่หยุดปาก
ในขณะที่บทสนทนายังคงดำเนินไป ลั่วซินก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจับจ้อง นางจึงเริ่มระวังตนมากขึ้น
ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้เผยพิรุธอันใด หญิงสาวยังคงยืนฟังอย่างสงบนิ่ง ปล่อยให้บิดาพรรณนาถึงความสามารถของบุตรแต่ละคนอย่างน่าชื่นตาบาน มีทั้งจริงข้างไม่จริงบ้าง
ท่ามกลางมิตรภาพจอมปลอมและแผนการที่ซ่อนเร้นของแต่ละคน สำหรับบางคนค่ำคืนนี้มันเพิ่งเริ่มต้น ทว่าชีวิตของลั่วซิน กลับเหมือนถูกวางลงบนกระดานหมากของบิดาไปแล้ว
หลังจากบรรยากาศการสนทนาเริ่มผ่อนคลายลง โม่ฮูหยินก็หันมาส่งสัญญาณให้บุตรสาวทั้งสามตามออกไปยังสวนด้านนอก ซึ่งถูกประดับด้วยโคมกระดาษสีอ่อนที่แขวนไว้เหนือไม้ดอกหอมกรุ่น ความเงียบสงบในสวนราวกับโลกอีกใบ
เมื่อมาถึงทางเดินที่ทอดสู่ศาลาบึงบัว โม่ฮูหยินก็จงใจหยุดเพื่อปล่อยให้บุตรสาวแยกย้ายกันไปตามมุมสวน
หมายเปิดโอกาสให้บุรุษหนุ่มในงานได้เข้ามาทักทายและทำความรู้จักกับพวกนางอย่างที่เตี๊ยมกันมาตั้งแต่แรก
ทว่าลั่วซิน กลับเลือกเดินเลี่ยงจากหมู่คนไปยังที่สงบเพียงลำพัง กระทั่งมาหยุดที่ศาลาริมบึงที่ห่างไกลจากผู้คน
และมันคือสถานที่ที่นางชอบมานั่งเล่นในชาติก่อน
ร่างอรชรยอบกายลงนั่งบนม้าหินอ่อน พร้อมกับทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย หมายใช้ความเงียบเหล่านี้เป็นเกราะคุมครองตนเอง เพื่อไม่ต้องพบเจอกับเขาคนนั้น นางตั้งใจนั่งอยู่ตรงนี้ รอให้เวลามันผ่านเลยไป จนกระทั้งงานจบสิ้น
ทว่าโชคชะตา...ไม่เคยปล่อยให้ใครหลบหนีได้ง่าย ๆ
ขณะที่ลั่วซินปล่อยใจไปกับสายลมเย็น เสียงฝีเท้าของใครบางคนกลับแว่วมาให้ได้ยิน นางจึงรีบหันกลับไปมอง
เงาของบุรุษผู้หนึ่งกำลังปรากฏขึ้นกลางแสงจันทร์ที่ทอดผ่านสวน เขาเดินตรงมายังศาลา ท่าทีไม่ได้มีความรีบร้อนอันใด
ลั่วซินสูดลมหายใจลึก จังหวะการเต้นของมันรัวเร็วจนมิอาจห้ามได้ หากเป็นผู้อื่นคงไม่รู้ว่าผู้ที่เดินมาเป็นใคร
ทว่าหญิงสาวกลับจดจำเขาได้แม่น…
นางรู้ว่าการหลบหนีอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีในยามนี้ เพราะแน่นอนว่าหลี่จิ่งเทียนจะยิ่งสนใจและติดตามนาง
ลั่วซินมองร่างของรุ่ยอ๋องที่เคลื่อนใกล้เข้ามาอย่างกังวล พลันร่างอรชรก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างระวัง หัวใจเต้นรัวราวจะหลุดจากอก นางก้าวถอยหลังไปช้า ๆ พยายามเดินเลี่ยงไปยังมุมมืดของศาลา เพื่อมิให้เขาเห็นใบหน้าของตนได้ชัดเจน
บรรยากาศรอบตัวเริ่มเงียบงัน ทว่าเสียงจากใจดวงน้อยกลับดังเล็ดลอดออกมา ดีที่ยังมีเสียงใบไม้ต้องลมกลบเอาไว้บ้าง มิเช่นนั้น อีกฝ่ายคงตั้งคำถามที่ทำให้นางหาทางออกมิได้แน่
รุ่ยอ๋องหยุดยืนห่างจากศาลาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจับจ้องร่างเล็กที่ยืนกุมมือด้วยท่าทางสงบ ก่อนจะตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ "เจ้าเป็นใคร ไยมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว"
ลั่วซินสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงรีบยอบกายคำนับเขาตามมารยาท "ขออภัยเพคะ หม่อมฉันมิรู้ว่าที่นี่เป็นเขตหวงห้าม หากรบกวนท่านอ๋อง ขอทรงโปรดอภัยด้วยเพคะ" ลั่วซินเอ่ยกับอีกฝ่ายโดยไม่เงยหน้า นางไม่อยากให้เขาสังเกตเห็นความงามที่มี
ทว่ารุ่ยอ๋องกลับขยับเข้าใกล้อีกก้าว สุรเสียงยังคงเรียบเย็นแต่ก็ปะปนไปด้วยความฉงน "เจ้ารู้จักข้าหรือ"
ลั่วซินชะงักไปคล้ายลืมตัว สายตามีแววลังเล หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นางเพิ่งตระหนักได้ว่าตนไม่ควรเผยท่าทีว่ารู้จักกับเขา นางรีบโค้งคำนับอีกครั้งอย่างสำรวม
"หม่อมฉัน...ได้รับคำแนะนำจากท่านพ่อเจ้าค่ะ" นางรีบแก้ตัว เพราะนี่น่าจะเป็นคำตอบที่ชวนให้สงสัยน้อยลง
“หึหึ งั้นหรือ”
“เพคะ” ลั่วซินเม้มริมฝีปากแน่น พยายามขยับตัวออกห่าง ทว่าร่างสูงใหญ่ของรุ่ยอ๋องกลับเคลื่อนมาขวางทางไว้อย่างใจเย็น แววตาคมนั้นมิได้มีเพียงความเย็นชา หากยังแฝงรอยยิ้มบางเบาไว้ที่มุมปาก คล้ายสนุกกับปฏิกิริยาประหม่าและอาการตื่นตระหนกของหญิงสาว ‘นี่เขากำลังเล่นสนุกกับเรากระนั้นหรือ’
#พบกันแล้ว
