บท
ตั้งค่า

2. บิดาขายลูกกิน

ณ เรือนด้านหลังในจวนตระกูลโม่

ร่างอรชรของคุณหนูสามโม่ลั่วซินยังคงนั่งเหม่อทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนไร้ชีวิต ซึ่งนางได้นั่งอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว จนบ่าวไพร่ต่างพากันเป็นกังวล ทว่านิสัยที่เอาแต่ใจของคุณหนูเล็กผู้นี้ กลับทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าถามไถ่ แสดงถึงความเป็นห่วง เพราะเกรงจะเสี่ยงถูกลงโทษกันมากกว่า

ทว่าความเป็นจริง...สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ในร่างนี้มิใช่คุณหนูเล็กผู้ดื้อรั้นเฉกเช่นวันวานอีกต่อไป นางสุขุมและรอบคอบขึ้น ไม่เอาแต่ใจ ไม่สั่งลงโทษใครพร่ำเพรื่อเหมือนเคยอีกแล้ว ชะตาชีวิตในชาติก่อน มันได้หล่อหลอมให้นางเติบโตและรู้จักคิดมากขึ้น

โม่ลั่วซินในยามนี้จึงแตกต่างจากชาติภพเดิมอย่างสิ้นเชิง

ทว่า...แม้นิสัยนางจะเปลี่ยนไป ชะตากรรมกลับไม่อาจสลัดพ้นจากพันธนาการเก่าได้ โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่เคยล่อลวงนางให้รักจนหมดใจ

“คุณหนูเจ้าคะ หากไม่รีบแต่งกายบ่าวเกรงว่ามันจะไม่ทันเวลานะเจ้าคะ” เสียงของม่านชิง ดังขึ้นอย่างระมัดระวัง

“เจ้าไปบอกท่านแม่ว่าข้าป่วยไปไม่ได้แล้ว” ลั่วซินเอ่ยโดยไม่ได้หันกลับมามอง ดวงตาคู่สวยยังคงทอดยาวออกไปด้านนอก

จะให้นางพบกับคนที่ทำให้นางดับดิ้นสิ้นใจในชาติภพก่อนกระนั้นหรือ ไม่ล่ะ… ขออยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ต่อไปดีกว่า

ทว่าเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นที่หน้าประตู

“คนป่วยที่ไหนจะมานั่งตากลมเช่นนี้ หากเจ้าคิดจะโป้ปด ก็ควรหาข้ออ้างที่มันเข้าท่ากว่านี้นะซินเอ๋อร์” เสียงเข้มของประมุขจวนดังขึ้น ร่างอรชรที่นั่งเกาะขอบหน้าต่างจึงรีบลุก

“ท่านพ่อ” ลั่วซินก้มหน้าทันที

“รู้ความผิดตนหรือไม่” โม่จางเหลียนยังคงเสียงเข้มดุ

“รู้เจ้าค่ะ” ตอบเสียงเบา

“รู้ก็รีบไปจัดการตนเอง เจ้าอยากทำให้ตระกูลโม่ขายหน้ากระนั้นหรือ” ผู้เป็นบิดาขบกรามแน่น

“ลูกไม่อยากไปเจ้าค่ะ” ดวงตาคู่สวยฉายความแน่วแน่

“เจ้าคงไม่อยากได้เงินรักษายายของเจ้าแล้วกระมัง ถึงได้กล้ากำแหงกับข้าเช่นนี้” รองเจ้ากรมโม่เริ่มขู่บุตรสาวเหมือนที่ผ่านมา เพราะงานเลี้ยงนี้ เขาหวังใช้หน้าตานางหาอำนาจบารมี

ถึงแม้ลั่วซินจะไม่เอาไหน ทว่านางกลับมีหน้าตาที่งดงามมาก หากไม่ติดว่าบุตรสาวคนเล็กเกิดจากอนุไร้สกุล นางคงถูกบุตรชายขุนนางใหญ่รับไปเป็นฮูหยินแล้ว และการที่ลั่วซินรักผู้เป็นยายมาก โม่จางเหลียนเลยได้โอกาสใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างบังคับนาง เพื่อให้ลั่วซินยอมทำตามใจเขา ออกไปดูตัวกับบุตรขุนนางน้อยใหญ่ในเมือง หากสำเร็จตระกูลโม่ก็จะมีอำนาจมากขึ้น

เขาตั้งใจหาคู่ครองที่มีบารมีในเมืองหลวงให้นาง และค่ำคืนนี้ลั่วซินจะต้องไปงานเลี้ยงที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อให้ทุกคนได้ยลโฉม หากถูกใจบรรดาอ๋องที่มาในงานได้ยิ่งดี

และเรื่องนี้ลั่วซินก็รู้ ซึ่งในชาติก่อนนางก็เต็มใจนัก

ทว่าหนนี้มันต่างกัน นางไม่ปรารถนาจะพบเจอคนผู้นั้น

แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อผู้เป็นพ่อข่มขู่เช่นนี้

“ลูกรู้ความแล้ว จะรีบจัดการตนเองเจ้าค่ะ” สิ้นคำนางก็ยกมือประสานกันย่อกายให้บิดา โม่จางเหลียนจึงเผยยิ้มชอบใจ

“เร็วหน่อย แม่ใหญ่เจ้ารอนานแล้ว” สิ้นคำ ร่างสูงของประมุขจวนก็เดินออกไปอย่างมีความสุข

ทิ้งบุตรสาวคนเล็กมองตามอย่างพินิจ “มีพ่อที่ไหน ใช้ชีวิตผู้อื่นมาบังคับให้ลูกทำตามใจตนเอง เลว! เห็นแก่ตัวที่สุด” หญิงสาวก่นด่าบุพการีเจ้าของร่างอย่างหงุดหงิด

“คุณหนู รีบแต่งกายเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวนายท่านจะดุเอาอีกนะเจ้าคะ” ม่านชิงเอ่ยเตือนอีกหน

ลั่วซินหันมองเล็กน้อย บ่าวคนสนิทจึงรีบก้มหน้า

“เห้อ! แต่ก่อนเราคงแย่มากสินะ คนใกล้ชิดถึงได้กลัวหัวหดแบบนี้” เสียงลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมา

ความคิดมากมายยังคงวนเวียนในหัว จนไม่อยากทำอันใดแม้แต่สวมใส่ชุดสวยสดงดงามที่วางอยู่ตรงหน้า ลั่วซินจึงได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้สาวใช้จัดการเรื่องเหล่านี้ให้

เสียงผ้าไหมลื่นไหลสอดผ่านนิ้วเรียวขาวไปทีละนิด ตามมาด้วยชุดกระโปรงยาวที่ต้องสวมขึ้นมาถึงช่วงอก เพื่อผูกปมผ้าสีชมพูอ่อนห้อยระย้าลงมา ขับผิวพรรณให้ขาวผ่องยิ่งขึ้น

เมื่อถูกจับแต่งกายจนแล้วเสร็จ ลั่วซินก็ทอดมองไปยังเงาสะท้อนในกระจก นางเห็นแววตาฝืนทนและความหวาดหวั่นของตนเอง ริมฝีปากแดงเรื่อก็เผยยิ้มราวกับคนมีความสุข ทว่าภายใต้รอยยิ้มนี้กลับซ่อนความลับที่ไม่อาจเอ่ยบอกกับใครให้รับรู้ได้

ไม่นานนัก ดวงตาคู่สวยก็ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เงี่ยหูฟังเสียงลมเย็นยามค่ำ ที่เริ่มพัดผ่านใบไม้ ราวกับมันกำลังเอ่ยกระซิบกล่าวถ้อยคำปลอบโยนความอ้างว้างที่เวียนวนในใจนาง ค่ำคืนนี้ ขออย่าให้นางพบเจอกับคนผู้นั้นเลย

บางทีชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยเจตนาผู้อื่น มันก็ไม่ต่างจากหุ่นเชิดในโรงละครใหญ่ ทั้งที่ในใจอยากหนีห่างทุกสิ่ง ทว่านางกลับต้องยอมรับชะตากรรมที่ผู้อื่นวางไว้โดยไม่อาจขัดขืน

ลั่วซินหลับตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้มั่น ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว

“ขอเพียงคืนนี้ผ่านไปได้ ทุกอย่างมันย่อมง่ายขึ้น” ลั่วซิน กระซิบบอกตนเอง แม้รู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้านั้นมีความหวังเพียงเล็กน้อย ทว่าหากนางหนีไม่เผชิญกับมัน ก็คงต้องหนีตลอดชีวิต

เมื่อตรวจตราการแต่งกายเรียบร้อย ลั่วซินก็สูดหายใจอีกหน ก่อนจะก้าวเท้าออกจากเรือนของตนท่าทางมุ่งมั่น

พอเดินมาถึงหน้าประตูเรือนใหญ่ ก็ได้กลิ่นดอกไม้ที่กำลังผลิบานลอยเข้าจมูกพาใจให้ชื่นบาน ทว่าบรรยากาศด้านในกลับต่างออกไป มันมิได้สดชื่นเหมือนด้านนอกเลย

ลั่วซินชักมือแนบชายกระโปรงเอาไว้แน่น ก่อนจะก้าวเข้าสู่ห้องโถงอย่างมั่นคง ใช่ว่านางจะกลัวหรือประหม่า เพียงแต่ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสามแม่ลูก นางเป็นต้องอึดอัดทุกครา

โดยเฉพาะสายตาคู่คมของพี่สาวทั้งสอง ที่มักจับจ้องการมาของนางทุกครั้ง ทั้งคู่ดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด หากไม่ติดว่าผู้เป็นบิดาสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับนาง ป่านนี้ลั่วซินอาจถูกรังแกไปแล้ว

เมื่อเดินเข้ามาก็พบกับแม่ใหญ่นั่งอยู่บนตั่งกลางห้อง ถัดลงมาคือร่างสูงเพรียวของพี่สาวคนโตและคนรองที่ยืนเคียงกันอย่างสง่างาม ทว่า…แม้ทั้งสองจะประดับด้วยอาภรณ์งดงามและเครื่องประดับชั้นสูงเพียงใด กลับยากจะบดบังประกายของลั่วซินที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามา แววตาของพี่สาวทั้งสองจึงเจือไปด้วยความริษยาที่แฝงเร้น ปะปนกับความไม่พอใจที่ยากเก็บซ่อนไว้

ลั่วซินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้น ถึงกระนั้นนางก็ยังคงรักษาท่วงท่าสงบ เงยหน้าสบตาแต่ละคนด้วยรอยยิ้มบางเบา ท่ามกลางสายตาเคืองขุ่นที่ปิดไม่มิดของพวกเขา

แม่ใหญ่ปรายตามองลั่วซินอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำติติงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่ามิได้แฝงความขุ่นเคืองดังเช่นแต่ก่อน “ลั่วซิน เจ้าควรใส่ใจเรื่องกิริยามารยาทให้มากกว่านี้ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอได้เยี่ยงไร ทำเช่นนี้มันสมควรหรือ” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่ชัดเจน ไม่กร้าวแข็งหรือเย้ยหยันเหมือนที่ผ่านมา

“ลูกขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่” ลั่วซินรีบรับผิด

“ช่างเถิด ทว่ายามเมื่ออยู่ในงาน ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาชื่อเสียงของตระกูลโม่เอาไว้อย่างสมเกียรติ อย่าลืม…หากเจ้าทำเรื่องเสื่อมเสีย ตระกูลโม่จะต้องเสียไปด้วย จดจำข้อนี้เอาไว้ให้ดีเข้าใจหรือไม่” แม่ใหญ่เผยยิ้มจาง ๆ ราวกับกำลังสั่งสอนบุตร

ลั่วซินรับฟังทุกถ้อยคำอย่างสงบนิ่ง ในสายตาของนางสะท้อนเพียงความเข้าใจ รู้ดีว่าคำตำหนิของแม่ใหญ่ในวันนี้ มิใช่เพราะนางห่วงใยอย่างแท้จริง หากแต่เป็นเพราะคำสั่งจากผู้นำตระกูล ที่กำชับให้พูดจาดีกับบุตรสาวคนเล็กต่างหาก ซึ่งพวกเขาทำไปก็เพื่อประโยชน์ที่หาได้จากความงามของนางเท่านั้น

“ลูกจะระวังเจ้าค่ะท่านแม่” ร่างอรชรย่อกายลงอย่างนอบน้อม น้ำเสียงนางนุ่มนวลไม่ต่างจากสายลมยามค่ำคืน

“ดี เช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด ป่านนี้แขกเหรื่อคงไปร่วมงานกันพร้อมหน้าแล้วกระมัง” โม่ฮูหยินขยับลุกเดินนำออกไป ตามด้วยบุตรสาวทั้งสอง แล้วจึงเป็นลั่วซินตบท้าย

หนึ่งเค่อต่อมา รถม้าของจวนสกุลโม่ก็มาถึงจวนรุ่ยอ๋อง

ลั่วซินเงยหน้ามองกำแพงประตูที่ตกแต่งอย่างวิจิตร

‘ในที่สุด นางก็ต้องมาเหยียบที่นี่อีกแล้วสินะ’ นึกในใจจนเหม่อ พลันแขนเล็กก็ถูกบิดเข้าเบา ๆ พร้อมกับคำติติง

“ยังไม่ทันเข้าด้านใน เจ้าก็คิดจะทำเราขายหน้าแล้วหรือ เห็นแค่ทางเข้าก็ยืนตะลึงงันแล้ว บ้านนอกจริงเชียว” รั่วหนานกล่าวตำหนิอย่างเหลืออด นางเข้าใจว่าลั่วซินกำลังตื่นตะลึงกับความโอ่อ่าของจวนอ๋อง ถึงได้ยืนนิ่งไม่ขยับเช่นนี้

“ขออภัยพี่หญิงใหญ่ข้าลืมตัวเจ้าค่ะ” ลั่วซินแสร้งรับผิด

“รีบตามมา” ผู้เป็นพี่ยังมิวายส่งเสียงเตือน

ลั่วซินจึงจำต้องก้าวเท้าตามทั้งสามไป

ทว่าเมื่อพ้นธรณีประตูเข้ามาแล้ว ร่างอรชรก็ต้องชะงักอีกหน เพราะสายตาของแขกเหรื่อในงานต่างก็หันมาจับจ้องพวกนาง หญิงสาวจึงเกรงว่า หนึ่งในนั้นจะมีคนที่นางไม่อยากพบด้วย

บรรยากาศโดยรอบแม้จะโล่ง ทว่าสำหรับนางแล้วมันช่างอึดอัดยิ่งนัก หากเป็นแต่ก่อนแน่นอนว่านางยินดีเป็นที่สุด

เพราะการเข้าสังคมมันเป็นสิ่งที่โม่ลั่วซินชอบมาก

ทว่าบัดนี้ มันมิใช่สิ่งที่นางปรารถนาเลย

#ขออนุญาตเกลียดอีพ่อด้วยคน

กดใจ คอมเม้นกันเป็นกะละมังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel