บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ตระกูลไป๋ถูกใส่ร้าย

บทที่ 3 ตระกูลไป๋ถูกใส่ร้าย

รุ่งเช้า ขณะที่ไป๋เฟิงซีกำลังจิบชาอยู่ในเรือน เสียงฝีเท้าร้อนรนของอาหลิวก็ดังขึ้น

“พระชายาเพคะ! เรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”

นางวางถ้วยชาลงอย่างสงบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ที่รีบเร่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้น”

“ขณะนี้ มีราชโองการมาจากวังหลวงเพคะ” เสียงของอาหลิวสั่นเครือ “ตระกูลไป๋ถูกกล่าวหาว่าคิดก่อกบฏ!”

ไป๋เฟิงซีชะงักไปครู่หนึ่ง นางคิดว่าตนหูฝาดไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าของสาวใช้ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางก็รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคือความจริง

“เป็นไปไม่ได้…” นางพึมพำ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปเฝ้าฮ่องเต้”

นางออกจากเรือนด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แต่เมื่อไปถึงหน้าตำหนัก ทหารยามกลับขวางนางเอาไว้

“พระชายา ฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้า”

ไป๋เฟิงซีเม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ข้าคือพระชายาของรัชทายาท เรื่องของตระกูลข้าเกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง รัชทายาทอยู่ที่ใด ข้าจะเข้าไปพบพระองค์”

ทหารยามสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“รัชทายาทตรวจฎีกาตามคำสั่งฝ่าบาท ทรงมีรับสั่งมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน”

นางชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่าง

“เขารู้เรื่องนี้หรือไม่ หรือว่า…”

หัวใจของนางเริ่มเต้นรัว ความคิดมากมายประดังเข้ามา นางพยายามบอกตัวเองว่า เขาไม่มีทางเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

แต่แล้วเสียงซุบซิบของเหล่าขันทีที่เดินผ่านไปก็ดังขึ้นในโถงทางเดิน

“ครั้งนี้ตระกูลไป๋คงหมดสิ้นแล้วกระมัง”

“ใช่ ได้ยินว่าหลักฐานแน่นหนานัก แถมเป็นรัชทายาทเองที่นำเรื่องขึ้นทูลฝ่าบาท”

หัวใจของไป๋เฟิงซีหล่นวูบ นางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“เซียวเหวิน… เป็นคนเสนอเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเองอย่างนั้นหรือ”

นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงมาในพริบตา…

ไป๋เฟิงซีเดินเข้ามาในเรือนหลักด้วยท่าทีสงบ เมื่อรู้ว่ารัชทายาทเดินทางกลับจวนมาแล้ว แม้แววตาจะแน่วแน่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น

หนิงอวี้นั่งพิงเซียวเหวินอย่างสนิทสนม ราวกับนางเป็นชายาเอกที่แท้จริง ส่วนไป๋เฟิงซีที่เคยเป็นเจ้าของตำแหน่งนั้น กลับกลายเป็นเงาที่ไร้ตัวตนในสายตาของบุรุษที่นางรัก

เมื่อเซียวเหวินหันมามองนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและเหนื่อยหน่าย

“เจ้ามาทำอะไร” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ๆ

ไป๋เฟิงซีคลี่ยิ้มบาง ๆ ค้อมกายอย่างอ่อนน้อม

“เรื่องฎีกาที่แจ้งว่าตระกูลไป๋ก่อกบฏ หม่อมฉันคิดว่าเป็นไปไม่ได้”

เซียวเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทีเย็นชา จะเป็นหรือไม่ เป็นเขานี่เป็นผู้กำหนด ในเมื่อคนที่ยื่นฎีกาคือเขาผู้นี้

“บิดาของหม่อมฉันเป็นขุนนางซื่อสัตย์ รับใช้ราชสำนักมาหลายสิบปี จะทำเช่นนั้นไปเพื่อสิ่งใด ในเมื่อหม่อมฉันเองก็เป็นถึงชายาเอกขององค์รัชทายาท อีกทั้งบิดาหม่อมฉันยังออกหน้าเลือกข้างพระองค์อย่างชัดเจน”

หนิงอวี้ที่นั่งข้างเซียวเหวิน หัวเราะเบา ๆ อย่างเย้ยหยัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เป็นบุรุษที่นั่งอิงนางอยู่เป็นผู้เอ่ยออกมาแทน

“ไป๋เฟิงซี เจ้าคิดว่าการที่เจ้าถูกแต่งเข้าจวนอ๋อง จะสามารถช่วยตระกูลไป๋ได้หรือ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”

ไป๋เฟิงซีบีบมือแน่นใต้แขนเสื้อ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง

“หม่อมฉันไม่ได้ขอความเมตตาจากพระองค์” นางกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาจ้องเซียวเหวินอย่างแน่วแน่ “หม่อมฉันแค่อยากขอให้พระองค์พิจารณาความจริงให้ถี่ถ้วน”

เซียวเหวินมองนางด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก

“ความจริงหรือ” เขาหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดของสตรีที่พยายามใช้ตำแหน่งชายาเพื่อปกป้องตระกูลของตนเองหรือ หากไม่เป็นชายาข้า แล้วเป็นแค่คุณหนูผู้หนึ่งเท่านั้น”

คำพูดของเขา…เฉือนลึกลงไปในหัวใจของไป๋เฟิงซีจนแทบเลือดหยด

นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ แต่ยังคงฝืนยิ้ม

“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว… ต่อให้ตระกูลไป๋จะถูกทำลาย ต่อให้หม่อมฉันจะต้องตาย พระองค์ก็ไม่เคยเชื่อใจหม่อมฉันเลยแม้แต่น้อย ต่างจาก…” หนิงอวี้ที่ท่านคงเชื่อทุกสิ่งที่นางเอ่ย

เซียวเหวินนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเย็นชาเช่นเดิม

“เจ้ารู้ตัวก็ดีนี่”

ไป๋เฟิงซีก้มศีรษะลง น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาอย่างเงียบ ๆ

นางคิดว่าการที่นางยอมทุกอย่างเพื่อช่วยเซียวเหวินขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท นางจะได้รับความรักจากเขาบ้าง

แต่สุดท้าย…

นางก็เป็นเพียงหมากที่ถูกใช้เพื่ออำนาจ ก่อนจากไป นางกล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้เซียวเหวินถึงกับชะงัก

“สักวันหนึ่ง… พระองค์จะต้องเสียใจในวันที่ข้าหายไปจากชีวิตพระองค์”

“เจ้าคิดจะเล่นตลกอะไรอีก”

ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบา ๆ “หม่อมฉันมิได้เล่นตลกเพคะ เพียงแต่… เมื่อรักแล้วไม่ได้รับความรักตอบ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป”

“หม่อมฉันขอคืนตำแหน่งให้กับผู้ที่จวิ้นอ๋องโปรดปรานเถิดเพคะ”

หนิงอวี้ยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ ขณะที่จวิ้นอ๋องยังคงเงียบงัน

ไป๋เฟิงซีหมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เดินออกจากเรือนอย่างสง่างาม แต่ยังไม่ทันพ้นประตู เสียงของจวิ้นอ๋องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไป๋เฟิงซี เจ้ารู้หรือไม่ ข้าก็ไม่ได้อยากแต่งเจ้าตั้งแต่แรก”

ฝีเท้าของนางชะงักลง

“ข้าจำต้องแต่งเจ้า ก็เพราะอำนาจจากตระกูลไป๋เท่านั้น”

ไป๋เฟิงซีหันกลับมามองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่พยายามกดเก็บเอาไว้

“หนิงอวี้ต่างหาก… คือสตรีที่ข้ารัก”

คำพูดของเขาเหมือนคมดาบที่แทงลงกลางใจนางอย่างไร้ความปรานี

ไป๋เฟิงซีหัวเราะออกมาเบา ๆ

“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่แต่งนางแต่แรก”

“เพราะนางไม่มีอำนาจ ไม่มีตระกูลคอยหนุนหลังเหมือนเจ้า” จวิ้นอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ตอนนี้… เมื่อข้าได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาเจ้าไว้อีกต่อไป”

หัวใจของไป๋เฟิงซีแทบแตกสลาย แต่สีหน้านางยังคงสงบนิ่ง

“หม่อมฉันรู้แล้วเพคะ” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่น “หม่อมฉันจะไม่ขออะไรจากพระองค์อีกต่อไป ตั้งแต่หนิงอวี้แต่งเข้าจวนอ๋องมา หม่อมฉันมิอาจทำให้พระองค์พอใจได้ หม่อมฉันคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นชายาเอก”

หนิงอวี้แอบยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจ

“แล้วเจ้าต้องการอะไร” เซียวเหวินถามเสียงเรียบ

ไป๋เฟิงซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

“หม่อมฉันขอถอนตัวจากตำแหน่งชายาเอก และขอให้หนิงอวี้ขึ้นเป็นชายาเอกแทนเพคะ ขอเพียงแค่ให้เวลาพี่ชายข้าหาหลักฐานอีกสักนิด”

คำพูดของนางทำให้ทุกคนในตำหนักตกตะลึง แม้แต่จวิ้นอ๋องเองก็มิได้คาดคิดว่านางจะยอมก้าวถอยหลังเช่นนี้

“เจ้าพูดจริงหรือ”

ไป๋เฟิงซีพยักหน้า นางคิดจะใช้ข้อต่อรองนี้เพื่อให้ตระกูลไป๋ได้พอหายใจและหาหลักฐานมาหักล้างข้อหา

“เพคะ แล้วข้อแลกเปลี่ยน”

เซียวเหวินจ้องมองนางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“สามวัน ข้าให้ได้เท่านั้น”

สามวัน ตำแหน่งชายาเอกของเขามีค่าเพียงสามวันแค่นั้นหรือ นางก้มศีรษะคารวะ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เมื่อประตูตำหนักปิดลง หยาดน้ำตาที่นางพยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลรินลงอย่างมิอาจห้ามได้

ไป๋เฟิงซีกลั้นน้ำตาในดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตำหนักใหญ่ เมื่อเสียงประตูปิดลง ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่ว ไป๋เฟิงซียืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่าน แต่ในใจของนางกลับเจ็บปวดและหนาวเหน็บยิ่งกว่า

ภายในตำหนัก

หนิงอวี้หันไปหาเซียวเหวินด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“พระองค์เห็นหรือไม่ นางยอมถอยแล้วจริง ๆ ไป๋เฟิงซีผู้นั้น… น่าขันยิ่งนัก”

เซียวเหวินไม่ได้ตอบอะไร ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปยังประตูที่ไป๋เฟิงซีเพิ่งจากไป ราวกับยังคงติดอยู่กับคำพูดสุดท้ายของนาง

“สามวัน…” แค่นั้นก็เพียงพอที่จะรีบตัดสินประหารคนพวกนั้น

ทางฝั่งไป๋เฟิงซี

เมื่อเดินออกจากตำหนัก น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลริน

“แค่สามวัน… เพื่อให้ตระกูลไป๋ได้หายใจอีกครั้ง”

“ข้ารักท่านหมดหัวใจ แต่ในสายตาของท่าน… ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”

“ข้า… ไว้ใจเขาเกินไป”

นางทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเขาขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท ยอมแม้กระทั่งถอยหลังและยกตำแหน่งพระชายาเอกให้หนิงอวี้ เพียงเพราะหวังว่าเขาจะปรานีบิดานาง… เขาจะหันกลับมามองนางอีกสักครั้ง

แต่สุดท้าย สิ่งที่เขาตอบแทนกลับเป็น… การทำลายตระกูลของนาง

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นอาหลิว สาวใช้คนสนิทที่วิ่งตามมา น้ำตาไหลไม่แพ้กัน

“พระชายาเพคะ ท่านจะทำอย่างไรต่อไป” อาหลิวถามเสียงสั่นเครือ

ไป๋เฟิงซีหลับตาลงช้า ๆ น้ำตาที่นางพยายามกลั้นเอาไว้เริ่มไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

“ข้าโง่เขลาเอง… ที่รักและไว้ใจเขาเกินไป” นางนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เคยเชื่อว่า ความพยายามและความรักที่มอบให้เขาอย่างจริงใจ จะสามารถละลายหัวใจเย็นชาของเขาได้

“เหตุใดพระชายาต้องยอมถึงเพียงนี้เพคะ องค์รัชทายาท… ไม่เคยเห็นความจริงใจของท่านเลย”

“ในเมื่อเขาไม่เห็น… ข้าก็จะไม่อ้อนวอนอีกต่อไป”

ค่ำคืนนั้น

ภายในตำหนักเงียบสงัด

เซียวเหวินนั่งอยู่เพียงลำพัง มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา แต่กลับไม่ดื่มสักหยด

ภาพใบหน้าของไป๋เฟิงซี และคำพูดสุดท้ายของนางยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด

‘หม่อมฉันขอถอนตัวจากตำแหน่งชายาเอก ขอเพียงแค่ให้เวลาพี่ชายข้าหาหลักฐานอีกสักนิด…’

“นาง… ยอมถอยเพื่อปกป้องตระกูลของตนเอง”

ดวงตาของเขาสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว

“ไป๋เฟิงซี… เจ้ารักข้ามากถึงเพียงนี้เลยหรือ” เซียวเหวินส่ายศรีษะ เขาจะอ่อนไหวเพราะคำพูดของนางไม่ได้ หมากที่วางแผนมาหลายปีจะมาล้มเพราะไป๋เฟิงซี สตรีที่เขาไม่ได้รักไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel