บทที่ 4 หมากที่หมดประโยชน์ ย่อมต้องทำลายทิ้ง
บทที่ 4 หมากที่หมดประโยชน์ ย่อมต้องทำลายทิ้ง
ในเรือนของหนิงอวี้ เสียงหัวเราะของอนุผู้สูงศักดิ์ดังแว่วออกมาอย่างเบิกบาน ขณะที่จวิ้นอ๋องนั่งอยู่เคียงข้าง
ไป๋เฟิงซีมองภาพนั้นจากที่ไกล ๆ หัวใจของนางเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
“ในสายตาของเขา ข้ามีค่าเพียงแค่นี้เองหรือ”
น้ำตาของนางไหลรินอย่างเงียบงัน
“หากข้ารู้ว่ารักแล้วต้องเจ็บปวดเช่นนี้ ข้าคงไม่รักเขาตั้งแต่แรก”
แต่ในใจลึก ๆ นางรู้ดี…
การตัดใจจากเขา ไม่ได้ง่ายดายเช่นคำพูดของนางเลยสักนิดเดียว
หลังจากไป๋เฟิงซีออกจากเรือนหลัก นางคิดว่าต่อจากนี้ นางจะปล่อยมือและไม่ข้องเกี่ยวกับเซียวเหวินอีกต่อไป นางต้องหาหลักฐานเพื่อช่วยสกุลไป๋
แต่ความจริงกลับไม่ง่ายเช่นนั้น
เพียงไม่กี่วันต่อมา ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักว่า ตระกูลไป๋มีส่วนพัวพันกับแผนก่อกบฏจริง มีหลักฐานมากมาย รัชทายาทไม่สนใจเข้าข้างตระกูลฝ่ายพระชายา นำหลักฐานทั้งหมดออกมากางอย่างไม่คิดจะปิดบังแม้แต่ชิ้นเดียว
ขุนนางในราชสำนักเริ่มเคลื่อนไหว กดดันให้ฮ่องเต้ลงโทษตระกูลไป๋
ไป๋เฟิงซีตระหนักในทันทีว่า นี่ไม่ใช่แค่การใส่ร้าย แต่เป็นการกำจัดตระกูลไป๋ให้สิ้นซาก
และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง…
ก็คือบุรุษที่นางรักหมดใจ
ในคืนเดียวกันนั้นเอง ขณะที่นางกำลังนั่งนิ่งในห้องบรรทม เงาของชายในชุดดำก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
“พระชายา โปรดหลบหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋เฟิงซีมองชายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“ใครส่งเจ้ามา”
“คุณชายไป๋เฟิงเหยียน พี่ชายของพระชายาให้บ่าวมาช่วยพระชายาหนีพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาท… ทรงมีรับสั่งให้นำตัวพระชายาไปขังในคุกหลวง และเตรียมประหารในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับตระกูลไป๋”
ไป๋เฟิงซีหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
“หมากที่หมดประโยชน์ ย่อมต้องทำลายทิ้ง…เจ้ากลับไปบอกพี่ข้าเถอะ ข้าจะไม่หนี”
“พระชายา! แต่หากพระองค์ไม่ไปรัชทายาทจะ…”
“ในเมื่อเขาต้องการทำลายข้าขนาดนี้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า… หากข้าตายแล้ว เขาจะมีความสุขได้จริงหรือไม่ อย่างไรข้าก็คือชายาเอกของรัชทายาท เซียวเหวินคงไม่…” อีกใจหนึ่งลึก ๆ นางเองก็รู้ว่าคงไม่อาจหนีเงื้อมมือผู้เป็นรองเพียงฮ่องเต้ไปได้
ชายชุดดำอึ้งไปกับคำพูดของนาง แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวของไป๋เฟิงซี เขาก็ไม่กล้าฝืน
“เช่นนั้น… โปรดรักษาตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชุดดำจากไป ทิ้งให้ไป๋เฟิงซีนั่งนิ่งอยู่ในความมืด
นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความชิงชัง
“หากข้าต้องตาย ก็ขอให้ข้าได้เห็น… ว่าบุรุษที่ข้ารัก จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”
รุ่งเช้าของวันต่อมา
เสียงกลองศาลเตี้ยดังกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง ข่าวการประหาร ไป๋เฟิงเหยียน พี่ชายของไป๋เฟิงซี ชายาเอกของรัชทายาท ในฐานะหัวหน้ากบฏถูกส่งไปถึงหูของทุกคน
ภายใต้ข้อหา คิดก่อกบฏต่อราชวงศ์
ไป๋เฟิงเหยียนถูกควบคุมตัวไปยังคุกหลวง เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนและถูกลากไปต่อหน้าศาล
นางเห็นร่างของพี่ชายผู้เคยปกป้องนางมาตลอด ถูกตรึงอยู่บนแท่นประหาร เลือดสีแดงฉานไหลนองพื้น
หัวใจของนางแทบแตกสลาย แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ไป๋เฟิงเหยียน เจ้าคิดก่อกบฏ เจ้าจะสารภาพหรือไม่”
เสียงของขุนนางผู้เป็นพวกของเซียวเหวินดังขึ้น หันไปสั่งให้ผู้คุมโบยเพื่อให้นักโทษสารภาพ
ไป๋เฟิงซีมองไปยังบุรุษที่นางรักหมดใจ
รัชทายาทยืนอยู่ในชุดเต็มยศ ดวงตาเย็นชาไร้ความปรานี ข้างกายมีอนุที่เขารักยิ่ง
“หนิงอวี้ ท่านป้าของเจ้า แม่ใหญ่ของข้า”
มารดาเลี้ยงของนางคือป้าของหนิงอวี้ นางเพิ่งนึกออกว่าจะช่วยชีวิตบิดาได้อย่างไร
“นางอยูที่ใด ช่วยท่านพ่อข้าด้วย หากเป็นแม่ใหญ่ขอร้องเจ้าให้ช่วยท่านพ่อ..”
หนิงอวี้บิดรอยยิ้มร้ายกาจออกมา
“ท่านป้าของข้ากลับสกุลหนิงไปแล้ว ตอนแต่งเข้าสกุลไป๋ ผู้นำตระกูลมีแต่ผลักดันบุตรชายและบุตรีจากฮูหยินแรก ไม่เคยเห็นหัวท่านป้าของข้า ไม่เคยเกื้อหนุนสกุลหนิง แม้แต่ตำแหน่งเล็ก ๆ ในราชสำนักยังมิเคยหยิบยื่นให้ แล้วเหตุใดมาวันนี้ที่คนสกุลไป๋ตกต่ำไยจึงคิดจะลากคนสกุลหนิงลงนรกไปด้วย” หนิงอวี้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
ไป๋เฟิงซีฟังคำนั้นแล้วเบิกตาโพลง ท่านแม่ใหญ่มีอำนาจในจวนมากกว่าสตรีใด บิดานางก็ไม่เคยมีอนุหรือสตรีอื่นให้ขุ่นหมอง เรื่องตำแหน่งในราชสำนัก ไม่ช่วยเหลือถึงกับตัดขาดกันในยามยากลำบากเลยหรือ นางมิอ้วนวอนต่อ รีบหันไปทางสามี
“รัชทายาท… ตระกูลไป๋ภักดีต่อราชสำนักมาโดยตลอด พระองค์รู้ดีว่าหม่อมฉันและครอบครัวไม่เคยคิดกบฏ แต่เหตุใด… พระองค์ถึงต้องทำเช่นนี้”
เซียวเหวินจ้องมองชายาเอกของตน อย่างไร้ความรู้สึก ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เพราะตระกูลไป๋มีอำนาจมากเกินไป ข้าจำต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดสิ้น”
ไป๋เฟิงซีหัวเราะออกมา น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ข้าทุ่มเททุกสิ่งเพื่อท่าน แต่สิ่งที่ข้าได้รับ… คือการทำลายล้างตระกูลของข้าอย่างไร้ความปรานี”
นางหันไปมองศพของพี่ชายและภาพตระกูลไป๋ที่ล่มสลาย
“ตระกูลไป๋… จบสิ้นแล้ว”
ในขณะที่ทุกคนคิดว่านางจะร่ำไห้และอ้อนวอนขอชีวิต ไป๋เฟิงซีกลับหัวเราะเสียงเย็น
“เซียวเหวิน… ท่านได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่ข้าขอเตือนท่านไว้…”
นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
“จากนี้ไป… ท่านจะไม่มีวันหลับตาลงอย่างสงบอีกเลย!”
คำพูดของนางไม่ได้ทำให้เซียวเหวินรู้สึกสะท้านใจเลยสักนิด คนตายแล้วจักทำสิ่งใดได้อีก
ในขณะที่ทหารลากนางไปสู่คุกหลวงเพราะนางเป็นคนตระกูลไป๋ อีกทั้งเป็นคำสั่งของรัชทายาทเอง พระองค์ไม่ได้คิดจะปกป้องชายาเอกผู้นี้เลย
ไป๋เฟิงซีปฏิญาณในใจว่า…หากตระกูลไป๋ต้องจบสิ้น นางจะทำให้เซียวเหวิน ต้องพังพินาศไปพร้อมกับความรู้สึกผิดนี้ไปตลอดชีวิต
ไป๋เฟิงซีถูกคุมขังในคุกหลวงหลายวัน
นางถูกล่ามโซ่ตรวน ถูกทรมานด้วยการเฆี่ยนตีเพื่อเค้นคำสารภาพ แต่ไป๋เฟิงซีกลับไม่เอ่ยคำใด นางยอมรับความเจ็บปวด ดวงตาที่เคยอ่อนโยนของนาง… บัดนี้เต็มไปด้วยความเย็นชาและความเกลียดชัง
คืนหนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิด เสียงฝีเท้าดังขึ้นในคุกใต้ดิน
“พระชายา…พระชายา… ท่านอยู่ที่ใดกันเจ้าคะ…”
อาหลิวร้องไห้สะอึกสะอื้น พยายามงัดแงะเพื่อหลบหนี ทว่าไม่นานนัก ทหารเงาของเซียวเหวินก็บุกมาล้อมจับนาง
“สตรีต่ำต้อยเช่นเจ้า กล้าคิดจะหลบหนีช่วยกบฏเช่นไป๋เฟิงซีรึ”
อาหลิวถูกลากตัวไปต่อหน้ารัชทายาท
“หม่อมฉันขอร้อง… ได้โปรดไว้ชีวิตนายหญิงของหม่อมฉันเถิดเพคะ พระองค์ก็ทราบดีว่านางไม่มีวันคิดกบฏ!”
แต่เซียวเหวินเพียงยิ้มเย็นชา ทหารก็ปลิดชีพอาหลิวทันที เลือดสีแดงฉานไหลนองพื้น
วันเดียวกันนั้นเอง หัวของไป๋เฟิงเหยียน พี่ชายของไป๋เฟิงซีถูกเสียบประจานไว้หน้าประตูวัง
ตระกูลไป๋ที่เคยยิ่งใหญ่ ถูกประหารทั้งตระกูล ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ไป๋เฟิงซีพระชายาเอกขององค์รัชทายาทยังมีชีวิตอยู่ในคุกหลวงหรือไม่
ในคุกที่มืดมิด เสียงสะอื้นเบา ๆ ของสตรีที่เคยรักหมดหัวใจดังสะท้อนไปทั่ว
แต่ภายใต้ความเจ็บปวดนั้น… ไฟแห่งความแค้นยังคงลุกโชนในหัวใจของนาง
