บทที่ 2 เหตุผลที่แท้จริง
บทที่ 2 เหตุผลที่แท้จริง
ไป๋เฟิงซีมองสามีของนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า หลังจากห่างเหินกันไปเนิ่นนาน วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายมาหานางด้วยตัวเอง
“เจ้าเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เขาเอ่ยถาม สีหน้าของเขานั้นอ่านไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
นางยกยิ้มบาง ๆ “หากมิใช่หม่อมฉันแล้วจะเป็นใครได้เล่า”
“เหตุใดจึงทำเช่นนี้”
คำถามของเขาทำให้หัวใจของนางบีบรัดแน่น แต่ไป๋เฟิงซีกลับเพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้เบื้องหลังใบหน้าเรียบนิ่ง
“หม่อมฉันเป็นชายาของท่าน การช่วยเหลือสวามีของตนเองมิใช่เรื่องที่สมควรทำหรือ” นางย้อนถามกลับ
จวิ้นอ๋องจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “พูดราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องหน้าที่”
นางเพียงแค่พยักหน้า “แล้วมิใช่หรือเพคะ”
ความจริงแล้ว นางรู้ดีว่าการช่วยเหลือเขาขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าที่ แต่มันเป็นเพราะ หัวใจของนางยังคงมีเขาอยู่เสมอ
ไป๋เฟิงซีพยายามอย่างหนักมาโดยตลอด เพียงเพื่อหวังว่าเขาจะหันกลับมามองนางอีกครั้ง
นางหวังว่าหากนางช่วยเขา หากนางมีคุณค่าในสายตาเขา เขาอาจจะหันกลับมาสนใจนางอีกครั้ง อาจจะนึกถึงช่วงเวลาก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของนางเท่านั้นหรือไม่
“เจ้าเปลี่ยนไปมากเฟิงซี” จวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้น สายตาของเขามองนางด้วยความรู้สึกบางอย่างที่นางเองก็ไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใด
“หม่อมฉันเป็นเช่นเดิม” นางกล่าวเสียงเรียบ “เป็นพระองค์ต่างหาก ที่เปลี่ยนไป”
เซียวเหวินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เพียงแค่หัวเราะเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา
ไป๋เฟิงซีแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางรู้ดีว่า…
ต่อให้ช่วยเขา ต่อให้พยายามแค่ไหน หากหัวใจของเขามิได้อยู่กับนางแล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป… อาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ แต่ดีกว่าไม่พยายามสิ่งใดเลย
ไป๋เฟิงซีมองดูแผ่นหลังของสามีที่เดินจากไป หลังจากการสนทนาในวันนี้ นางควรจะยินดีที่ในที่สุดเขาก็ยอมมาพบ แต่ในใจของนางกลับรู้สึกว่างเปล่า
“พระชายาเพคะ” อาหลิวกระซิบเรียกเสียงเบา “จวิ้นอ๋อง… จะกลับมาหาพระชายาอีกหรือไม่”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน”
ในอดีต นางเคยคิดว่าเพียงแค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ วันหนึ่งเขาอาจจะเห็นค่านาง แต่มาวันนี้ นางเริ่มสงสัยว่า…
คนที่เดินจากไปแล้ว จะหวนกลับมาได้จริงหรือ
หลายวันผ่านไป ข่าวลือเรื่องการสนับสนุนของตระกูลไป๋เริ่มแพร่กระจายไปทั่วราชสำนัก อำนาจของจวิ้นอ๋องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างกล่าวว่า วันที่เขาจะได้เป็นรัชทายาทคงอยู่ไม่ไกล
ไป๋เฟิงซีนั่งฟังข่าวเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ
คืนหนึ่ง ขณะที่นางกำลังนั่งอ่านตำราในเรือน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
“จวิ้นอ๋องเสด็จ!”
ไป๋เฟิงซีชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ก้าวเข้ามา นางไม่คิดว่าเขาจะมาเยือนเรือนของนางโดยไม่ให้คนแจ้งล่วงหน้าเช่นนี้
“ดึกป่านนี้จวิ้นอ๋องเสด็จมา มีสิ่งใดหรือเพคะ” นางถามอย่างสงบ
เขาไม่ได้ตอบในทันที เพียงเดินเข้ามาใกล้ แล้วจ้องมองนางราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง
“ข้าควรจะกล่าวคำขอบคุณเจ้าหรือไม่”
“ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนของพระองค์หรือเปล่า”
แต่เหตุใด หัวใจของนางกลับว่างเปล่าลงเรื่อย ๆ แม้จะได้รับคำชมจากเซียวเหวิน แต่สายตาที่เขามองนางยังคงเย็นชา รอยยิ้มก็มิได้ยิ้มให้นางดั่งเช่นก่อนที่จะแต่งงานกัน ไป๋เฟิงซีวางพู่กันลง ก่อนจะเงยหน้ามองเขา
“หากท่านคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควร ก็ทำเถิดเพคะ”
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้ว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้าในยามนี้” เขาถาม
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “หม่อมฉันควรจะตอบอย่างไรดีเพคะ พระองค์เคยรักหม่อมฉัน แต่บัดนี้ หม่อมฉันไม่แน่ใจแล้ว”
เขาเงียบไป สายตาของเขามีบางอย่างที่นางอ่านไม่ออก
“หรือบางที พระองค์อาจจะไม่เคยรักหม่อมฉันตั้งแต่ต้น”
คำพูดของนางเงียบสงัดไปในอากาศ
ไป๋เฟิงซีมองใบหน้าของสามี นางเคยคิดว่าเพียงแค่พยายาม ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่วันนี้…
นางเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่นางต้องการมาตลอดนั้น ยังมีความหมายอยู่หรือไม่
จวิ้นอ๋องไม่ได้ตอบคำถามของไป๋เฟิงซี เขาเพียงยืนนิ่ง จ้องมองนางด้วยสายตาที่นางอ่านไม่ออก
ไป๋เฟิงซีรู้สึกได้ถึงความเย็นชาและความห่างเหินระหว่างกัน ถึงแม้เขาจะอยู่ตรงหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม
“ข้าควรกลับไปได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจากไป
นางมองแผ่นหลังของเขา พลันความรู้สึกบางอย่างพรั่งพรูขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ทำไมกัน ทำไมท่านถึงไม่มองข้าเหมือนเดิมอีกแล้ว เซียวเหวิน” นางเผลอเรียกเขาออกไปโดยไม่ทันคิด
เขาหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับมา
“เจ้าต้องการอะไรจากข้า” เสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า
ไป๋เฟิงซีกำมือแน่น ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง
“ไม่มีอะไรเพคะ” นางกล่าวเสียงเบา “เพียงแค่… ข้าเคยคิดว่า หากข้าทำเพื่อท่านมากพอ ท่านอาจจะหันกลับมามองข้าอีกครั้ง”
บรรยากาศเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านประตูเรือนที่เปิดแง้มไว้
จวิ้นอ๋องไม่ได้ตอบอะไรอีก เขายืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
ไป๋เฟิงซีหลับตาลง หัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง
“น่าสมเพชนัก”
นางพยายามอย่างหนักเพียงใด สุดท้ายเขาก็ยังคงเลือกเดินจากไปอยู่ดี
คืนนั้น นางนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับเงาของตัวเองที่ติดอยู่กับสถานที่แห่งนี้
“บางที ข้าควรหยุดเสียที”
แต่หัวใจของนาง… ยังปล่อยเขาไปได้จริงหรือ
ข่าวคราวเรื่องจวิ้นอ๋องกำลังได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก อำนาจของเขากำลังมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่า เขาไม่ต้องการไป๋เฟิงซีอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อตอนแรกที่นางแต่งงานเข้ามา แต่ตระกูลไป๋กลับไม่หนุนหลังเขาอย่างที่ควรจะเป็น เขาจึงใช้ความหึงหวงระหว่างชายหญิง ทำให้ไป๋เฟิงซี พยายามทำถูกอย่างเพื่อดึงใจเขาที่ออกห่างกลับคืน
และนางก็ทำตามหมากที่เขาวางเอาไว้
ไป๋เฟิงซียืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกทองเหลือง นางเคยเป็นสตรีที่มั่นใจในตัวเอง เคยคิดว่าตราบใดที่นางยังอยู่เคียงข้างเขา เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนาง
แต่นางคิดผิด…
“พระชายาเพคะ” อาหลิวเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ “วันนี้จวิ้นอ๋องเสด็จไปยังเรือนของหนิงอวี้ และจะพำนักที่นั่นทั้งคืนเพคะ”
ไป๋เฟิงซีหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว “เช่นนั้นหรือ”
“เพคะ พระชายา…” อาหลิวเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความกล้า “หรือว่าพระชายาจะเสด็จไปพบจวิ้นอ๋อง”
นางมองสาวใช้ของตน ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไปเพื่ออะไรเล่า”
“เพื่อให้จวิ้นอ๋องรู้ว่าพระชายาก็สำคัญ”
“สำคัญหรือ” นางตัดบทพลางหัวเราะเย้ยหยัน “หากข้าสำคัญจริง เหตุใดข้าต้องพยายามให้เขาหันมามองข้าด้วย”
อาหลิวเงียบไป ไม่กล้าตอบ
ไป๋เฟิงซีหลุบตาลง กำมือแน่น นางทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอำนาจ หรือการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขาได้เป็นรัชทายาท แต่สิ่งที่นางได้รับคืออะไร
“ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเขาเท่านั้นใช่หรือไม่”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็เริ่มเข้าใจความจริงที่ปฏิเสธมาโดยตลอด
เขาไม่เคยมีข้าอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย
และไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันเปลี่ยนความจริงข้อนี้ไปได้…
หนิงอวี้ยิ้มบาง ๆ ก่อนก้าวเข้ามายืนตรงหน้าไป๋เฟิงซี ดวงตาของนางไม่ได้เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา หากแต่ฉายแววเวทนา นางก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นใจ
“ข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงสิ่งใดจากท่าน” หนิงอวี้เอ่ยเสียงนุ่ม “แต่ใจของเขา… ข้ามิอาจห้ามได้”
ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงปนเประหว่างความเย้ยหยันและขมขื่น “เจ้ากำลังบอกว่า ข้า… คือคนที่ขวางทางรักแท้ของพวกเจ้างั้นหรือ”
หนิงอวี้สบตานางก่อนเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ข้ารักเขามาก่อนท่าน…”
ไป๋เฟิงซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาเย็นชาไร้ความรู้สึก “แล้วอย่างไร”
หนิงอวี้เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้ารู้ดีว่าท่านแต่งเข้าจวนนี้เพราะอำนาจของตระกูล ไม่ใช่เพราะความรัก และสิ่งที่ข้ากับเขามี… คือสิ่งที่ท่านไม่มี แม้จะอยู่ในฐานะชายาเอกก็ตาม”
ไป๋เฟิงซีบีบมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนมานาน
“เจ้าจะรู้อะไร ก่อนจะมีเจ้า ข้ากับเซียวเหวินรักกัน เขารีบไปสู่ขอข้าแทบจะในทันทีที่รู้ว่าครอบครัวข้าคิดจะหมั้นหมายข้ากับเฉินจ้าวหลง”
หนิงอวี้มองไป๋เฟิงซีด้วยสายตาเวทนา
“ท่านป้าของข้าเป็นคนพูดเช่นนั้น แต่เคยมีผู้ใดล่วงรู้หรือไม่ คุณชายเฉินเคยรู้ตัวหรือไม่ว่าต้องหมั้นหมายกับท่าน”
ไป๋เฟิงซีชะงักไป ดวงตาแข็งกร้าว
“ท่านแม่ใหญ่เป็นคนบอกข้าเอง!” นางยืนยันอย่างมั่นใจ มารดาเลี้ยงเป็นผู้เรียกนางไปพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายกับเฉินจ้าวหลง แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เรื่องนี้ไม่เคยมีใครจากสกุลเฉินอยู่ในเหตุการณ์เลยสักครั้ง
“ข้ากับจวิ้นอ๋อง… ข้าหมายถึงรัชทายาท เราคบหากันมาตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชาย แต่ข้ารู้ตัวดีว่าตนไม่มีผู้ใดหนุนหลัง และไม่อาจส่งเขาไปถึงจุดที่มุ่งหวังได้ ทว่าหากเป็นลูกเลี้ยงของท่านป้าของข้าอย่างท่าน… นั่นย่อมเป็นไปได้”
“เจ้า…” ไป๋เฟิงซีถึงกับหูอื้อตาลาย
“ใช่แล้ว ข้าเป็นคนให้รัชทายาทเข้าหาท่าน และท่านป้าของข้าก็ช่วยเหลือข้า”
“ท่านแม่ใหญ่จะทำเช่นนั้นเพื่อสิ่งใด หากข้าแต่งและได้เป็นชายาของรัชทายาท อย่างไรสกุลไป๋ก็ต้องรุ่งเรือง…”
“สกุลไป๋ก็แค่บ้านสามี จะมาเทียบกับสกุลเดิมอย่างสกุลหนิงได้เช่นไร”
ไป๋เฟิงซีกำมือแน่น เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหนิงอวี้ยังก้องอยู่ในหู
“ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นได้แค่อนุ ไม่อาจก้าวขึ้นมาเคียงข้างเขาได้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เจ้ายอมทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
หนิงอวี้ยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“หากการได้อยู่ในหัวใจเขา ต่อให้ต้องรอจนถึงวันที่เขาสมปรารถนา ข้ายอม เหมือนกับท่าน ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักจากเขาคืน และสุดท้าย… ไม่ใช่ข้าหรือที่เป็นฝ่ายชนะ”
นางยิ้มเย็น ก่อนกล่าวคำสุดท้ายทิ้งไว้
“กอดตำแหน่งของท่านเอาไว้ให้ดีเถิด สักวันอนุที่ท่านดูแคลนผู้นี้… จะกระชากท่านลงมาเอง”
คำพูดนั้นทิ่มแทงไป๋เฟิงซีจนลึกถึงหัวใจ นางรู้ดีว่าสิ่งที่หนิงอวี้พูดนั้นไม่ผิด ความโดดเดี่ยวภายใต้ฐานะชายาเอกที่สูงส่ง ไม่ต่างอะไรจากกรงทองที่ขังหัวใจของนางเอาไว้
เมื่อหนิงอวี้หมุนตัวเดินจากไป ไป๋เฟิงซีได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ดวงตาสั่นไหว ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้…
ไป๋เฟิงซีรู้สึกเหมือนถูกแทงกลางใจ ความเจ็บปวดที่นางไม่เคยยอมรับ ความโดดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสง่างามในฐานะชายาเอก
