บทที่ 11 ราชโองการ 2
กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีพระราชโองการมาด้วย กงกงกางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
“ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...
เซียวฟู่ซินนั้นดํารงตําแหน่งด้วยความชอบธรรม ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาว ทั้งสองคนให้รู้จักทําความดี มีคุณธรรม เมตตาต่อผู้อื่น มีคุณสมบัติ ครบถ้วนในสิ่งที่สตรีจึงมี ข้าขอมอบสมรสพระราชทานแก่บุตรสาวของ
ตระกูลเซียวกับแม่ทัพหวงหยางหมิงนับจากนี้อีกสามเดือน จบราชโองการ”
หลังจากที่กงกงอ่านพระราชโองการจบแล้ว เซียวฟูซินก็ยื่นมือไปรับพระราชโองการด้วยใบหน้าที่แข็งค้างกับเนื้อหาในพระราชโองการที่องค์ฮ่องเต้มอบให้ตน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี"
หลังจากที่กงกงมอบราชโองการให้แล้วเสร็จก็เดินขึ้นรถม้ากลับวังหลวงทันที เพราะภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายมาได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว
คล้อยหลังกงกงจากไป เซียวลี่หงทรุดลงกับพื้นทันทีดวงตางามเก็บน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้ยินราชโองการ นางเอื้อมมือไปจับแขนมารดาตัวเองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ท่าน... ทะ ท่านแม่” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้น
ฟางเหนียงรีบโอบกอดบุตรสาวทันที บุตรสาวที่น่ารักของนางเหตุโดถึงน่าสงสารถึงเพียงนี้
“โถ่....หงเอ๋อร์ของแม่” ฟางเหนียงปลอบบุตรสาวตนเองที่ร้องไห้สะอื้น
“ท่านแม่....อึกก ข้าจะต้องแต่งกับแม่ทัพปีศาจนั่นหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงเว้าวอนมารดาตนเอง ฟางเหนียงยิ่งฟังยิ่งปวดใจ บุตรสาวที่บอบบางของนางต้องแต่งงานกับคนที่มีฉายาว่าปีศาจจะมีชีวิตอย่างไร จริงอยู่ที่อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพตําแหน่งใหญ่โต แต่ใครบ้างที่จะไม่หวาดกลัวผู้นั้น ฟางเหนียงหันไปถามสามีตนเองที่ยังยืนถือราชโองการแข็งค้างอยู่ที่เดิม
“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ พระราชโองการนี้ท่านพี่รับรู้มาก่อนหรือไม่ แล้วเหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงได้พระราชทานให้กับบุตรสาวเรา” น้ำเสียงคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจสามีตนเอง ยิ่งบุตรสาวของนางร้องไห้ปานขาดใจคนเป็นแม่ก็ปวดใจไม่ต่างกัน
“ข้า ข้าก็ไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทานเหมือนกัน” เซียวฟูซินเอ่ยอย่างเหม่อลอย
“ท่านพี่แล้วเราจะทําอย่างไรกันดี หงเอ๋อร์ของเรา...."
“เข้าไปในเรือนกันก่อนเถิด”
สองสามีภรรยาช่วยกันประคับประคองเซียวลี่หงที่ยังร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ที่ได้ยินราชโองการ ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในเรือนใหญ่เพื่อปรึกษาหารือกันต่อไป
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ” ลี่จินเรียกคุณหนูของตัวเองเบา ๆ เพราะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาคุณหนู ของนางยังไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คําเดียว ได้แค่เพียงยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น
เซียวเหม่ยอิงได้ยินเสียงสาวใช้เรียกตนก็หันไปยิ้มให้เล็กน้อย
“ไปเตรียมอาหารเย็นกันเถิด” พูดจบเซียวเหม่ยอิงก็เดินไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้ครอบครัวตนเองทานดั่งปกติเช่นทุกวัน
แม้ว่าที่จวนจะมีแม่ครัวประจําไว้อยู่แล้ว แต่เซียวเหม่ยอิงชอบลงมือทําอาหารให้บิดามารดาตนเองมากกว่า เพราะนางรู้ว่าบิดามารดาของนางนั้นชอบกินอะไร รสชาติแบบไหน อีกอย่างอาหารที่ปรุงขึ้นด้วยความรักและความเอาใจใส่ นั้นดีกว่าคนที่ทําเพียงผ่าน ๆ ไปแต่ละครั้งอย่างแน่นอน
“คุณหนูใหญ่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่บ่าวเถิดนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าว จะตั้งใจทําให้สุดฝีมือเลยเจ้าค่ะ”
หัวหน้าแม่ครัวยิ่งเห็นคุณหนูตัวเองทํายิ่งละอายใจ ก่อนที่จะมาอยู่จวนนี้นางก็เคยประจําที่อื่นมาก่อน ทว่านางไม่เคยเห็นคนชั้นสูงคนไหนเข้าครัวบ่อยขนาดนี้ หากจะเข้าครัวก็จะเป็นโอกาสสําคัญ ๆ เสียมากกว่า
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเตรียมของให้ข้าดีกว่าเดี๋ยวตรงนี้ข้าทําเอง” เซียวเหม่ยอิงหันไปพูดกับแม่ครัวด้วยรอยยิ้มแล้วก็หันหน้ามาทําอาหารต่อ
“พวกเจ้าทําอาจจะไม่ถูกปากท่านพ่อท่านแม่ ข้าน่ะรู้ดีว่าพวกท่านทั้งสองคนชอบทานแบบไหน” เซียวเหม่ยอิงพูดไปทําไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
แม่ครัวเหล่านั้นเห็นก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกนางถูกปฏิเสธ คุณหนูของพวกนางลงมือทําเองเสมอ พวกนางนั้นได้เพียงแค่จัดเตรียมวัตถุดิบไว้ให้เท่านั้น
หลังจากที่เซียวเหม่ยอิงทําอาหารเสร็จแล้ว นางก็ไปชําระร่างกายเพื่อเตรียมทานอาหารกับครอบครัวเพราะตัวนางมีแต่กลิ่นอาหารและควันไฟที่เหลือจึงเป็นหน้าที่สาวใช้ที่จะเป็นคนจัดโต๊ะอาหารเย็น
เซียวเหม่ยอิงนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ไม่นานบิดามารดาก็เดินมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“หงเอ๋อร์ยังไม่มาหรือเจ้าคะ”
ฟางเหนียงส่ายหัวเป็นคําตอบ ตั้งแต่ที่ได้ยินราชโองการเซียวลี่หงก็ร้องไห้ไม่หยุด แม้กลับเข้าเรือนแล้วก็ยังคงร้องไห้พร่ำเพ้อกับนางจนหลับไป
ฟางเหนียงสงสารบุตรสาวตัวเองจับใจ บุตรสาวที่เปราะบางของนางคงเสียใจ และหวาดกลัวไม่น้อยที่จู่ ๆ ได้รับราชโองการเช่นนั้น ดรุณีน้อยที่สดใสในอดีตตอนนี้กําลังหม่นหมอง ยิ่งคิดก็อดซับน้ำตาที่หางตาตนเองไม่ได้
“เดี๋ยวข้าให้สาวใช้ยกสํารับไปที่เรือนหงเอ๋อร์ให้นะเจ้าคะ”
เซียวเหม่ยอิงเห็นท่าทางบิดามารดาก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ นางนั่งลงทานอาหารกับบิดามารดาเงียบ ๆ ทั้งสามคนทานอาหารกับบรรยากาศที่เงียบสงัด
ฟางเหนียงกินได้เพียงคําเดียวก็วางตะเกียบลง “ข้าขอตัวไปดูลูกก่อนนะเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงนาง” พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังเรือนที่เซียวลี่หงอยู่ เซียวฟูซินเองก็รู้สึกไม่อยากอาหารเช่นกันพูดกับเซียวเหม่ยอิงสองสามประโยคก็เดินไปห้องหนังสือตนเอง
โต๊ะอาหารตอนนี้จึงเหลือเพียงเซียวเหม่ยอิงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ลุก ไปไหน ลี่จินเห็นคุณหนูตนเองกินข้าวคนเดียวก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ อาหารยังเหลือเต็มโต๊ะเช่นเดิมยิ่งเห็นลี่จินยิ่งน้ำตาซึม
