บทที่ 10 ราชโองการ
จริงอยู่ที่หวงหยางหมิงจะแยกจวนออกมา แต่อย่างไรหนิงซูก็ยังไม่ไว้วางใจ เพราะกว่าที่นางจะขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกประจําตระกูลหวงได้ นางลงทุนลงแรงไปไม่น้อย อีกอย่างนางไม่ยอมให้บรรดาบุตรของนางต้อง ด้อยไปกว่าหวงหยางหมิงอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันอยู่นั้น ไม่ได้รับรู้เลยว่าคําพูดที่พวกนางพูดคุยกันได้ถ่ายทอดให้อีกบุคคลฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คําเดียว
หวงหยางหมิงที่สวมเสื้อผ้าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรนัก เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชุดที่มัดไม่เรียบร้อยทําให้ท่อนบนเห็นแผ่นอกที่เปลือยเปล่าดวงตาเข้มจ้องมองดูพระจันทร์ที่ส่องแสงทั่วนภา มือหนึ่งข้างกําลังถือจอกสุราส่วนอีกข้างก็พาดไว้ที่ขอบเก้าอี้อย่างเกียจคร้านขณะที่กําลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์ของตนเอง
“ท่านแม่ทัพจะทําเช่นไรต่อไปหรือขอรับ” องครักษ์เอ่ยถามนาย ของตนเองหลังจากที่รายงานเรื่องทุกอย่างให้ฟังเรียบร้อยแล้ว หวงหยางหมิงหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน แม้ว่ามือข้างหนึ่งจะถือจอกสุราอยู่แต่ก็ไม่ยอมปล่อย
“จะฆ่าทิ้งคงจะไวเกินไป อีกอย่างนางก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียของบิดาข้า แม้ว่านางจะไม่ชอบข้าแต่นางก็ยังทําหน้าที่ภรรยาและฮูหยินของจวนได้ดี คงรักบุตรชายตนเองมากเกินไปถึงทําเช่นนี้”
“แล้วท่านแม่ทัพ....”
“ปล่อยไปก่อน ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าสตรีที่นางแต่งมาให้ข้าจะมีความสามารถขนาดไหน อีกอย่างตอนนี้ข้ามีเรื่องสําคัญกว่าที่ต้องทํา”
มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นอย่างอดมิได้ เมื่อคิดถึงเรื่องสําคัญที่เขาจะต้องทําในไม่ช้า
หลายวันต่อมา....
เซียวเหม่ยอิงออกมาตรวจกิจการของตระกูลตนเอง ปกติแล้วนางจะมีหลงจู๊ที่ไว้วางใจช่วยดูแลกิจการต่าง ๆ ของนางได้เป็นอย่างดี ทําให้นางไม่ต้องคอยออกมาตรวจเท่าใดนัก มีเพียงครั้งคราวเท่านั้นหรือหากรู้สึกเบื่อหน่ายเซียวเหม่ยอิงถึงจะมา
ขณะที่กําลังเดินเข้าไปในร้านอาหารของตนเองก็พบกับน้องสาวของนางที่กําลังพากันทานอาหารกันอยู่กับเหล่าบรรดาสหาย เซียวเหม่ยอิงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
น้องสาวของนางเป็นคนจิตใจดีชาวบ้านชาวเมืองนั้นรับรู้ได้ เพราะเซียวลี่หงชอบนําอาหารที่ร้านไปแจกทานแก่คนจนคนจรโดยมีบรรดาสหายของนางไปร่วมด้วย ครั้งนี้เองก็เช่นกัน นางกับบรรดาสหายคงเพิ่งกลับมาจากแจกทาน ถึงได้พาสหายมานั่งทานอาหารเช่นนี้
หลงจู๋เห็นเซียวเหม่ยอิงมาที่ร้านก็มีสีหน้าหนักใจ รีบเดินเข้ามาหาเซียวเหม่ยอิงทันที
“คุณหนูใหญ่ขอรับ เอ่อ....คุณหนูเล็ก....”
“ไม่เป็นไรท่านลุงฉี ให้หงเอ๋อร์กับสหายทานอาหารเหมือนเช่นเคยเถิดเจ้าค่ะ”
ฉีห่าวอี้หรือหลงจู๊ประจําร้านแห่งนี้ เขาทําหน้าที่ของตนได้อย่าง ขยันขันแข็งไม่ขาดตกบกพร่อง เขียนรายงานและสรุปยอดขายที่เกี่ยวกับ ร้านไม่ตกหล่นรวมถึงเรื่องที่เซียวลี่หงทํา ฉีห่าวก็เขียนลงบัญชีด้วยเช่นกัน
แม้ว่าตระกูลเซียวจะร่ำรวยแต่เซียวเหม่ยอิงก็ไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องเงินทองในส่วนที่ควรเป็นกําไรของตระกูล กําไรจากการค้ากิจการนั้นจะเข้าคลังกองกลาง ทําให้บ่อยครั้งที่เซียวเหม่ยอิงต้องยอมควักเงินตําลึงของตัวเอง ที่ได้จากเบี้ยหวัด ใส่เข้าไปในกองกลางแทนกําไรที่ขาดหายไปจากการกระทําของเซียวลี่หงน้องสาวของตนเอง
หลังจากดูความเรียบร้อยภายในร้านแล้ว เซียวเหม่ยอิงก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อไปตรวจบัญชีที่หลงได้ทําไว้ ขณะที่นางกําลังจะเดินขึ้นบันได ก็มีเสียงที่คุ้นเคยทักนางเสียก่อน
“พี่ใหญ่... ท่านมาถึงนานหรือยังเจ้าคะ” เป็นเซียวลี่หงที่เอ่ยทัก นางยืนอยู่ตรงกลางบรรดาสหายของตน
“ข้าเพิ่งมาถึงว่าจะขึ้นไปตรวจบัญชีเสียหน่อย” เซียวเหม่ยอิงยิ้มให้น้องสาวของตนเองกําลังจะก้าวขึ้นบันได ทว่าโดนมือน้องสาวตัวเองฉุดดึงไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ ท่านอย่าตําหนิข้าเลยนะ ที่ข้าพาสหายมาที่ร้านของเราเพราะพวกนางช่วยข้าแจกทานแก่ผู้ยากไร้ ข้าเลยอยากเลี้ยงอาหารพวกนาง เพื่อเป็นการขอบคุณ”
บรรดาคนที่ได้ยินต่างพากันรู้สึกเห็นใจเซียวลี่หง เพราะน้ำเสียงของนางไม่สู้ดีเท่าใดนัก ต่างจากเซียวเหม่ยอิงที่ถอนหายใจรอบแล้วรอบเล่ากับคําพูดน้องสาวตนเอง คําพูดนางช่างดึงดูดให้คนสงสารเก่งเสียจริง
เซียวเหม่ยอิงเห็นว่าพวกนางเริ่มเป็นจุดสนใจของคนในร้าน นางก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองทันที โดยไม่ได้สนใจกลุ่มน้องสาวตนเลยแม้แต่น้อยเพราะนางคิดว่าไม่จําเป็นต้องอธิบายเรื่องราวให้คนอื่นฟัง
นี่ฮวานั้นเป็นคนรักสหาย นางรู้สึกว่าเซียวลี่หงกําลังหวาดกลัวก็เข้าไปกุมมือเป็นการปลอบพร้อมกับเอ่ยคําปลอบโยนสหายตนเอง
“หงเอ๋อร์พวกข้าขอโทษนะ ที่ทําให้เจ้าต้องโดนพี่สาวเจ้าตําหนิเป็นเพราะพวกข้าแท้ ๆ เลย”
เซียวลี่หงยิ้มบางให้สหายของตนเอง “ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้าเสียหน่อย อีกอย่างท่านพี่ยังไม่ได้ตําหนิข้าพวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“เจ้ายังปกป้องพี่สาวเจ้าอยู่อีกรี ข้าว่าพี่สาวเจ้ากําลังไม่พอใจเจ้าอยู่เป็นแน่ ถึงได้เดินหนีไปเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพอเจ้ากลับไปถึงจวนแล้วโดนพี่สาวเจ้าเรียกไปตําหนินะ”
เซียวลี่หงได้แต่มองไปยังชั้นสอง ชั้นที่พี่สาวนางเดินขึ้นไป ก่อนจะหันมาคุยกับสหายของตัวเอง “ไปเดินเล่นกันเถิด”
ทุกคนยอมตามเซียวลี่หงไปแต่โดยดี ไม่ได้พูดหรือเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้ว หากเซียวลี่หงไม่อยากเอ่ยให้ฟัง พวกนางก็ไม่ซักไซ้ถามต่อเช่นกัน เพราะไม่อยากให้เซียวลี่หงรู้สึกไม่ดีจนเกินไป
ตั้งแต่ที่ไปตรวจร้านค้าในวันนั้น ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์ที่เซียวเหม่ยอิงไม่ได้ออกไปไหน นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาเช่นเคย
ขณะที่เซียวเหม่ยอิงกําลังนั่งจิบชาเพื่อฆ่าเวลา เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามนางต้องไปเตรียมมื้อเย็นให้บิดามารดาของตัวเอง เซียวเหม่ยอิงกําลังจิบชาเพลิน ๆ อยู่นั้น จินก็วิ่งมาหาคุณหนูของตนด้วยสีหน้าที่แตกตื่น
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูมีราชโองการมาเจ้าค่ะ” ลี่จินที่วิ่งมาหายใจด้วยความลําบาก
เซียวเหม่ยอิงได้ยินว่ามีราชโองการมายังจวนก็รีบเดินไปยังเรือนรับรองทันที เดินมาถึงก็เห็นว่าบิดามารดาและน้องสาวตนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว พร้อมกับมีรถม้าของพระราชวังจอดอยู่หน้าจวน เซียวเหม่ยอิงก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ บิดามารดาทันที
กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีราชโองการมาด้วย กางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...”
