บทที่ 2
เสียงโทรทัศน์ดังแว่วมาจากห้องนั่งเล่น ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่แก้วใสเดินเข้าตัวบ้านมา ดวงตากลมโตกวาดมองตู้โชว์และผนังซึ่งยังแขวนภาพเดิม ๆ ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกเท่าไหร่นัก
จะบอกว่าคิดถึงก็พูดไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก
ภาพเด็กสาวสองคนในชุดนักเรียน ถือช่อดอกไม้ในมือคนละช่อ ละอองดาวใบหน้าอมทุกข์ ผิดกับดุจดาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เธอถ่ายไว้เมื่อครั้งวันจบการศึกษามัธยมปลาย
“อ้าว แก้วใสมาถึงแล้วหรือ เข้าไปสิ คุณพ่อรออยู่ข้างใน”
เสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งร้องทักขึ้นมา ทำเอาแก้วใสหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองอีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะ”
เธอยกมือไหว้คุณปัท ปัทมา ผู้เป็นแม่เลี้ยงตามมารยาท โดยที่ไม่ได้ส่งยิ้มให้แต่อย่างใด แม้จะอยู่ในบ้านหลังนี้มาด้วยกันร่วมสิบปีก็ตาม
ความรู้สึกที่เธอมีให้คุณปัทมานั้น ไม่ได้ดีไปกว่าผู้เป็นบิดาเท่าไหร่นัก มีแต่ความรู้สึกห่างเหินเท่านั้น
ละอองดาวเดินเลี่ยงจากอีกฝ่ายเข้าห้องนั่งเล่นที่มีเสียงโทรทัศน์ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็เห็นว่าผู้เป็นบิดานั้นแทบไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยนอกจากเส้นผมเริ่มมีสีดอกเลาแซมเข้ามา กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว
เมื่ออีกฝ่ายเห็นผู้มาใหม่เดินเข้าห้องมาก็ขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง ดวงตาคมดุหลังแว่นสายตามองสำรวจบุตรสาวคนเดียวด้วยสายตาเรียบนิ่ง
เมื่อเห็นสายตาของคุณพ่อที่มองมา แก้วใสก็พยายามบอกตัวเองว่าให้อดทน ยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงที่โซฟาตัวข้างกัน
“สวัสดีค่ะ”
คุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับไม่ได้ยกมือขึ้นมารับไหว้บุตรสาวแต่อย่างใด เขาไม่ได้เห็นหน้าผู้เป็นลูกสาวมานาน
หลายปี นับตั้งแต่อีกฝ่ายออกจากบ้านไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ละอองดาวก็แทบจะไม่กลับมาที่นี่เลยสักครั้ง
