ตอนที่สอง ใช้ชีวิต
ตอนที่สอง
ใช้ชีวิต
ชินานางหรือชิงชิงต้องออกมาขายถังหูลู่ตามบทบาทหลายวันแล้ว ทุกวันสาวน้อยชิงชิงมุ่งมั่นตะโกนขายอย่างตั้งใจและได้เงินมาไม่น้อย
“วันนี้ขายดีมาก เอ้า...เอาเงินไป”
ป้าเกาซึ่งคอยทำถังหูลู่มาให้ชิงชิง แบ่งเงินให้สาวน้อยตามสมควร ชิงชิงมองเศษเงินในมือขณะคิดคำนวณ
เงินแค่นี้อย่างมากก็ซื้อแผ่นแป้งปิ้งได้ไม่กี่แผ่น
แม้อยากซื้อข้าวสารไปหุงกินซึ่งน่าจะประหยัดเงินได้ไม่น้อย แต่นางไม่สามารถก่อเตาจุดไฟได้แม้จะพยายามอยู่หลายหน จึงต้องยอมทนกินหมั่นโถวหรือแผ่นแป้งปิ้งเพื่อลดความหิวโหย
ผู้เขียนนิยายหรือเขียนบทย่อมไม่มีใครใส่ใจตัวประกอบ ยิ่งเป็นตัวประกอบไร้ความสำคัญอย่างชิงชิง เมื่อออกแสดงตามบทบาทแล้วก็จบกันไป เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะไปพัวพันอยู่กับพระเอก นางเอกและตัวร้ายหรือนางอิจฉาเท่านั้น
ชิงชิงใช้เวลาว่างเดินสำรวจโดยรอบตลาดทุกวันพบว่าผู้คนใช้ชีวิตเหมือนเช่นเดิมอย่างกับเป็นเครื่องจักรกล พวกเขาออกแต่เช้าเพื่อทำมาค้าขายตามบทบาทเมื่อเสร็จงานก็กลับบ้านวนเวียนกันไปเช่นเดียวกับป้าเกา
“ป้าเกา ท่านไม่มีลูกหรือสามีหรือ”
“เอ...ป้าเองก็จำไม่ใคร่ได้ อาจจะมี หรืออาจจะไม่มี ช่างเถอะ เพียงขายซาลาเปาได้เงินไม่อดตายก็เพียงพอแล้ว ไยต้องคิดให้มากเรื่อง”
ป้าเกาซึ่งมีบทบาทเพียงทำถังหูลู่มาให้ชิงชิงขายตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ชินานางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผู้แต่งไม่ได้เขียนบอกด้วยเป็นรายละเอียดของตัวประกอบผู้ไม่สำคัญ แม้แต่ว่าสาวน้อยชิงชิงใช้แซ่อะไร อายุเท่าไหร่ก็ยังไม่มีบ่งบอกเอาไว้ ชินานางจึงต้องคิดแซ่ให้ตัวเองโดยขอยืมแซ่ของนางเอกมาใช้คือแซ่’ว่าน’ ส่วนอายุ จากที่สำรวจร่างกายพบว่ายังโตไม่เต็มที่นัก จึงคาดเดาว่าน่าจะอายุ14-15ปีได้
หลังจากเดินไปเดินมาด้วยความหวังว่าอาจมีคนพลัดหลงเข้ามาเป็นตัวประกอบเหมือนเธอ จะได้ลองปรึกษาว่าจะออกจากที่นี่ได้อย่างไรแต่กลับไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครแตกต่างหรือทำตัวผิดแปลก ทุกคนล้วนทำทุกอย่างเป็นปกติจนไม่ผิดเพี้ยนไปจากทุกวัน
หากไม่ติดว่าต้องใช้เงินซื้อของกิน นางคงหยุดขายถังหูลู่เพื่อลองทำอย่างอื่นบ้างแล้ว
เฮ้อ...เบื่อ... เบื่อมาก
เมื่อไหร่จะออกจากฝันบ้าๆบอๆนี้ได้สักทีนะ
ขณะกำลังยืนเหม่อลอยพร้อมไม้ถังหูลู่ในมือนั่นเอง เสียงตะโกนอย่างตกใจพร้อมแรงปะทะรุนแรงก็พุ่งเข้าใส่จนร่างน้อยลอยละลิ่วหล่นลงกระแทกพื้นอย่างแรง
“โอ๊ย!”
“อ๊ายยยย”
“ว๊ายยยย”
“ฮี้ๆๆๆๆๆ”
เสียงกรีดร้องพร้อมการวิ่งหนีอลหม่านดังอยู่รอบข้างประสานกับเสียงร้องของม้าดังสนั่นจนชิงชิงฟังสิ่งใดไม่รู้เรื่อง นางรู้เพียงว่ายามนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนเจ็บปวด เจ็บมาก
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงชายหนุ่มดังขึ้นข้างตัวก่อนชิงชิงจะรู้สึกว่ามีคนมาพลิกร่างแล้วอุ้มลอยขึ้น
“เจ็บบบบบ ฮือๆๆๆๆ” สาวน้อยร้องไห้ผสมกับร้องด้วยความเจ็บปวด
“ข้าจะพานางไปหาหมอ” เสียงชายหนุ่มคนเดิมคล้ายบอกกล่าวคนรอบข้างก่อนที่ชิงชิงจะเจ็บจนทนไม่ไหวและสลบไปในที่สุด
สาวน้อยฟื้นขึ้นมาก่อนจะหลับไปอีกด้วยฤทธิ์ยา นางรู้สึกเพียงว่ามีหญิงสาวคอยเช็ดเนื้อตัวและป้อนยาให้แต่ด้วยความเจ็บปวดจึงไม่อยากลืมตา ได้แต่นอนทั้งวันทั้งคืนจนล่วงเข้าวันที่สี่
ชิงชิงค่อยๆลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดทุเลาลงมากแล้ว สาวน้อยพลิกตัวเพื่อมองดูโดยรอบอย่างชัดเจน
ที่นี่ที่ไหน?
ดูหรูหราอย่างกับวัง
เรื่องนี้พระเอกเป็นองค์ชายจึงมีฉากในวังอยู่หลายฉากจนชินานางจำได้ ยิ่งตอนที่พระนางพลอดรักและอุ่นเตียงกัน เธอถึงกับลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับที่นอนเพราะอยากเป็นนางเอกเสียเอง
“ตื่นแล้วหรือ ยังเจ็บที่ใดอยู่อีกหรือไม่” เสียงหญิงสาวทักทายก่อนร่างบางจะเดินเข้ามานั่งหน้าเตียง
“เจ็บอยู่บ้างแต่ไม่มากแล้ว” ชิงชิงตอบเสียงแห้งด้วยนอนอยู่บนเตียงมาหลายวัน
“จิบน้ำชาเสียหน่อย” สาวงามตรงหน้ายื่นถ้วยน้ำชาให้ราวกับรู้ใจ
ชิงชิงเอื้อมมือมารับถ้วยน้ำชาหรูหราแล้วส่งคืนพร้อมคำขอบคุณ
“ที่นี่ที่ไหนหรือเจ้าคะ” สาวน้อยเอ่ยถามเมื่อเห็นรอยยิ้มใจดี
“เจ้าจำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ” สาวงามเอียงคอถามขึ้น
“ข้ารู้เพียงเจ็บมากเจ้าค่ะ” ชิงชิงตอบอย่างใสซื่อ
“อืม...เจ้าบาดเจ็บมากอยู่ ท่านหมอต้องทำแผล ฝังเข็ม และต้มยาให้อยู่หลายวัน” สาวงามเอื้อมมือมาเปิดดูเพื่อสำรวจบาดแผลว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่ก่อนจะตอบคำถามของชิงชิง
“ เอาล่ะ ที่นี่คือวังขององค์ชายสิบ พระองค์ทรงขี่ม้าผ่านตลาดแต่ม้ากลับพยศจนควบคุมไม่อยู่จึงได้ชนเจ้าบาดเจ็บ พระองค์เป็นผู้พาตัวเจ้ามาดูแลและรักษาที่นี่”
หา! วังขององค์ชาย นี่เธอได้เข้ามาอยู่ในวังจริงๆหรือนี่ แม้จะจำไม่ได้ว่าองค์ชายสิบมีบทบาทอะไรในเรื่อง แต่ขอแค่ได้อยู่ในวังก็มีโอกาสได้เจอพระเอกแล้ว
