บท
ตั้งค่า

บทที่ 4เคราะห์กรรมของลู่เพ่ย

27 ปีก่อน นครกลางหาว

นครครกลางหาว เป็นเมืองที่สวยงามเหล่าสัตว์อสูรและพฤกษาวิญญาณหนาแน่น ทุกสรรพชีวิตที่กำเนิดล้วนมีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง  แต่โชคร้ายที่พวกเค้าล้วนพลังปรานน้อยนิด ทำให้มีอายุไขที่สั้นกว่าคนเบื้องล่างในขณะที่คนเบื้องล่างมีอายุไขยืนยาวถึง 6,000 ปี  แต่ผู้คนของ นครกลางหาวกลับสามารถมีอายุไขได้เพียง 4,000 ปี 

สมัยก่อนราวๆ พันปีที่แล้วเมืองของพวกเค้าและนครเบื้องล่างสามารถไปมาหาสู่กันได้ โดยสัตว์เวทย์เหินเวหา แต่เพราะคนเบื้องล่างล้วนโลภโมโทสัน กระหายอยากได้คอบครองพลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หมายใช้พลังสร้างโอสถอมตะ จึงจับชาวนครกลางหาวหลายพันคนไปเป็นทาส บางคนทนทรมานและทารุณไม่ไหวตัดสินใจละทิ้งชีวิต เพราะพวกที่โดนจับมักจะมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง  (ยิ่งพวกเค้ามีพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งเท่าไร พลังปรานของพวกเค้ายิ่งอ่อนด้อย และส่วนน้อยไม่สามารถจับอาวุธสู้ได้ และน้อยคนที่สามารถเรียนเวทย์อาคม หรือกระทั้งหลอมโอสถได้ ) 

พวกเค้าโดนจับมาเพื่อทดลองสร้างยาดับวิญญาณ  เพื่อถ่ายเทพลังวิญญาณให้ผู้ใช้ปราน

พวกเค้าทนการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นไม่ไหว ตระกูลกวนแห่งนครกลางหาวรวบรวมผู้กล้า เหล่าผู้ใช้อาคมขั้น 4 ระดับสูง ร่วมกันสร้างเขตอาคมปิดกั้นที่ไม่มีวันทำลายได้ขึ้น แต่ในระหว่างที่ทำการผนึกเมืองนั้น  มิติเกิดการบิดเบี้ยว ทำให้มิติทำการดีดผู้มีพลังจิตออกจากเมือง และหนึ่งในนั้นก็คือบุตรสาวฝาแฝดของตระกูลกวน ที่เพิ่งถือกำเนิดยังไม่ครบวัน

อุ๊แว๊...อุ๊แว๊..

อุ๊แว๊...อุ๊แว๊..

" ฮูหยินเจ้าคะ ได้แฝดคุณหนูและคุณชายเจ้าคะ " หมอตำแยและเหล่าสาวรับใช้ ต่างพากันสาละวนวิ่งเข้าวิ่งออกเพื่อยกถังน้ำมากมายเข้าห้องของ กวนฮูหยิน

ครืดด. ...ครืด... เพล้ง! ...

เสียงพื้นดินที่กำลังโยกตัวอย่างรุนแรง ส่งผลให้ข้าวของภายในห้องหล่นแตกมากมาย

"ว๊าย!  แย่แล้วคุณหนูหายไป" (หลังการสั่นของพื้นดินสงบลง ก็ปรากฏลำแสงสีทองส่องมาที่เด็กหญิงตัวน้อย ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยจะหายไป) เสียงตะโกนของสาวใช้คนสนิทดังขึ้น ทำให้กวนฮูหยินที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นถึงกับเป็นลมหมดสติ

ผ่านไป 2 ชั่วยาม

นายท่านกวนฮุ่ยหมิงกลับมาถึงตระกูล หลังจากปิดผนึกมิติเชื่อมต่อโลกเบื้องล่างแล้ว

ภายในห้องของของ กวนฮูหยิน หรือเหลียนหนิงอ้าย  "อ้ายเอ๋อ ...พี่มาดูลูก ได้ข่าวว่าวันนี้เจ้าเหนื่อยเพื่อมอบบุตรให้เรา"

"ท่านพี่.....ฮึก! ...ฮึก!"

"ร้องไห้ทำไมอ้ายเอ๋อ เจ็บตรงไหนบอกพี่สิ " กวนฮุ่ยหมิงทำอะไรไม่ถูกในขณะที่เห็นเมียรักเอาแต่เศร้าโศกร้องไห้ไม่หยุด

"ฮือ.......ฮือ"

สาวใช้คนสนิทฮูหยินด้วยกลัวเจ้านายสะเทือนใจจึงรวบรวมความกล้าบอกความแกผู้เป็นนาย. "นายท่าน....คืออย่างงี้เจ้าคะ วันนี้ฮูหยินให้กำเนิดแฝดเป็นคุณหนูและคุณชายเจ้าคะ......" สาวใช้หยุดพูดเพื่อมองหน้าผู้เป็นนาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยความกลัว

" ในระหว่างที่บ่าวผลัดผ้าให้คุณชายห้อง พื้นดินก็เกิดสั่นไหว หลังจากนั้นก็มีแสงสีทองส่องบริเวณที่คุณหนูนอน  ....จา..กนั้นคุณหนูก็หายไปเจ้าคะ"

ปึ้งงง!...ตุบ! นายท่านกวนล้มทั้งยืน  มือไม้สั่น เขารู้แล้วเหตุใดเมียรักถึงร้องไห้  เขาไม่คิดว่าการปกป้องนครกลางหาว จะต้องแลกกับการที่ลูกของเขาถูกมิติอันบิดเบือนดึงออกจากเมือง

"ท่านพี่....ท่านพี่ต้องช่วยลูกนะเจ้าคะ ฮึก ฮึก..."

"พี่สัญญา.... พี่จะหาทางพาลูกกลับมา..."

-----------------------------

โลกเบื้องล่างแคว้นซุน

จวนคหบดีลู่

อุ๊แว๊!.....อุ๊แว๊!......อุ๊แว๊!

เสียงเด็กน้อยร้องกระจองงองแงราวจะขาดใจบริเวณข้างๆจวนคหบดีลู่

"เสียง เด็กที่ไหนนะ....หมอมอ"

"ไม่ทราบเจ้าคะฮูหยิน... เอ๊ะ! ...ทางนั้นเจ้าคะ"

หลังจากนั้นหมอมอคนสนิท ลู่ฮูหยิน ก็เดินหาตามเสียงเด็กที่กำลังร้อง จนพบเด็กน้อยดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ผิวพรรณขาวผุดผ่อง มีผมขึ้นแซมรำไร ถูกห่อด้วยผ้าแพรอย่างดีสีแดงปักลายดอกเหม่ย

ลู่ฮูหยินได้พบก็ถูกชะตานัก...ด้วยตนแต่งเข้าสกุลลู่มาก็หลายปี ไหนจะอนุของนายท่านลู่อีกเต็มเรือน ก็ยังไม่มีใครมีบุตรให้นายท่านลู่ได้สักคน จึงตัดสินใจรับเด็กน้อยในอ้อมอกไปเลี้ยง

"จากนี้ เจ้าเป็นลูกของแม่นะคนดี เพ่ยเอ๋อ แม่จะตั้งเจ้าชื่อว่าเพ่ยดีไหมลูก"

แอะ!..แอะ!.. เด็กน้อยในอ้อมอกส่งเสียงเล็กๆกับยิ้มตาหยีให้ จนลู่ฮูหยินถึงกับยิ้มหน้าบาน

หลังจากนั้นผ่านไป 17 ปี ลู่เพ่ยเติบโตเป็นบุปผางาม ที่ชายใดเห็นเป็นต้องหมายปอง และด้วยลู่ฮูหยินสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงดังเดิม เนื่องด้วยตรอมใจที่เมื่อห้าเดือนก่อน

อนุคนใหม่ของนายท่านลู่ให้กำเนิดบุตรชายคนโตคนเดียวของจวน ด้วยนายท่านลู่ยังคงหลงบุตรคนแรกและอนุใหม่ก็ยังสาว ทำให้หลงคำอนุ  ขับอดีตฮูหยินไปเป็นอีเหนียง และยกอนุขึ้นเป็นเอกแทน โดยใช้กฎ 7 ขับ และข้อที่ลู่ฮูหยินปฏิเสธไม่ได้นั่น คือ ไม่มีบุตร  ทำให้ถูกขับจากตำแหน่งเป็นเพียงอี๋เหนียง และฮูหยินคนใหม่เข้ามาดูแลจัดการจวนแทน และยักยอกทรัพย์สินของฮูหยินเอกคนเก่ามาเป็นของตน  จนในที่สุดอดีตลู่ฮูหยินก็เสียชีวิต

ฮูหยินคนใหม่จึงอ้างส่งลู่เพ่ยไปวัดร้าง โดยให้เหตุผลว่า ลู่เพ่ยใจกตัญญูต้องการสร้างกุศลโดยการไว้ทุกข์ให้มารดา  นายท่านลู่ไม่ติดใจที่ฮูหยินบอก จึงให้ฮูหยินใหม่จัดการตามสมควร

ผ่านไป 2 ปีกว่า กิจการนายท่านลู่กำลังพบวิกฤต ทำให้ไม่สามารถจ่ายภาษีคลังให้ได้เต็มจำนวน และถ้าไม่สามารถจ่ายในปีนี้ได้เห็นทีคงต้องโดนทางการริบทรัพย์ 

นายท่านลู่หาทางออกไม่ได้จึงตัดสินใจถามความเห็นกับฮูหยิน

" เฮ้อ!.. พี่เหนื่อยใจเหนื่อยกายนัก"

"ท่านพี่กลัดกลุ้มเรื่องอันใดเจ้าคะ" ฮูหยินเอกเข้ามาบีบนวดผ่อนคลายให้ผู้เป็นสามี อย่างเอาอกเอาใจ

"ก็จะอะไรซะอีกละ....ปีนี้แล้งนัก  ไหนจะทางใต้ประสบภัยพิบัติ ทำให้สินค้าพวกผ้าแพร และอาหารขายไม่ได้ แถมยังถูกปล้นชิงกลางทาง ทำให้พี่ขาดทุน ไปหลายพันตำลึงทองนะสิ"

"แค่นั้นยังไม่หมด ไหนจะภาษีปีนี้ ต่อให้พี่ขายจวนทั้งหลังยังไม่พอจ่าย ถ้าภายในสิ้นปี ยังไม่มีอีกกรมคลังคงสั่งริบทรัพย์เราแน่แล้ว"

"ตายแล้ว!!....ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ"

"ก็จริงนะสิ  พี่ไม่เอาเรื่องนี้มาพูดเล่นหรอกนะ"

"อืม... ยังพอมีทางเจ้าคะท่านพี่"

"ทางไหนรึ..ยอดรักของพี่" พูดไปพลางดึงเมียมานั่งที่ตัก ค่อยๆหอมไล้ตามซอกคอเมียสาว มือไม้ทั้งสองก็ไม่อยู่นิ่ง ข้างขวาโอบบีบคลึงยอดบัวงาม  อีกข้างลูบไล้เข้ากลางหว่างขาขาว..อือออ เสียงครางอย่างพอใจของนายท่านลู่ บริเวณลำคอของฮูหยิน

"อือ... อือออ ท่านพี่หยุดก่อนสิเจ้าคะน้องจั๊กจี้"

"อือ....อืม... น้องก็พูดมาสิพี่ฟังอยู่ " ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่มือยังคงสาละวนไม่หยุด

" น้อ..งได้ยิน...อ๊าาาา (เสียงกระเซ้า เพราะมือนายท่านลู่ที่ยังคงอยู่ในจุดพิเศษ) มาว่าเสนาบดีหลี่ เสนาบดีกรมคลัง ชื่นชอบสาวงาม ...อ๊าาา...โอ๊ยย!! ท่านพี่ น้องงงจะไม่มีแรงบอกต่อแล้วนะเจ้าคะ"

นายท่านลู่ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ยอมหยุด " ว่าต่อสิ"

" ท่านพี่ยังคงจำ บุตรีบุญธรรม อีเหนียงที่ตายไปได้ใช่ไหมเจ้าคะ"

"จำได้ ...แล้วยังไง" นายท่านลู่รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เอ่ยถึงอดีตฮูหยินเอก ทำให้ตอนนี้สีหน้าดำคล้ำจนแทบจะกลั่นหมึกออกมาได้เลยทีเดียว

ฮูหยินใหม่จึงต้องรีบพูดเพื่อให้นายท่านลู่คลายโทสะ...." เมื่อสองปีก่อน นางงดงามจนแม่สื่อวิ่งเข้าออกจวน เพื่อสู่ขอมิใช่หรือเจ้าคะ  แต่เพราะอี๋เหนียงยังคงห่วงหาบุตรมิพร้อมให้ออกเรือน จึงยังมิได้ออกเรือนกับผู้ใด"

"แถมอี๋เหนียงยังมาสิ้นใจไป บุตรสาวก็มิได้ออกเรือน แถมตอนนี้ใจกตัญญูสวดภาวนาไว้ทุกข์ที่วัดให้มารดามาก็จะสามปีแล้ว"

"ตอนนี้เพ่ยเอ๋อร์ ก็จะเป็นสาวเทืออยู่แล้วนะเจ้าคะท่านพี่....มิสู้ให้นางแต่งเป็นอนุเสนาบดีหลี่ บางทีนายท่านหลี่อาจจะยอมลดภาษีให้เราไงเจ้าคะ...แถมเพ่ยเอ๋อก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา  อีเหนียงของนางคงจะดีใจมิน้อย"

"ความคิดเจ้าช่างล้ำเลิศนัก  บอกสิจะให้ข้าตอบแทนเจ้าอย่างไรดี" ว่าแล้วนายท่านลู่ก็อุ้มเมียรักออกจากห้องหนังสือ เดินตรงเข้าสู่ห้องนอน บรรเลงเพลงรักกันทั้งคืน  เหล่าบ่าวหน้าห้องที่เฝ้ายามได้ยินเสียงครวญครางที่ลอยมา ได้แต่ก้มหน้า หูแดงแก้มแดงกันเป็นแทบๆ

เช้าวันต่อมานายท่านลู่ส่งสารขอพบเพื่อเจรากับเสนาบดีหลี่เรื่องบุตรสาว  ในตอนแรกเสนาบดีหลี่จะปฏิเสธ  ด้วยมิเคยเห็น จึงกลัวจะมิงดงามดังคำกล่าวอ้าง

"คารวะ  ท่านเสนาบดีหลี่"

"ตามสบาย นายท่านลู่" ว่าพลางภายมือเพื่อเชิญนั่งสนทนา"

" วันนี้ข้าน้อย มาเจราเพื่อขอให้ท่านเสนาบดีช่วยเหลือ" นายท่านลู่ยกชาขึ้นจิบช้าๆ

"เรื่องอันใดที่ข้าสามารถช่วยท่านได้กัน นายท่านลู่ออกจะเก่งกาจเรื่องการค้า ข้าเองยังนึกอิจฉา"

" ฮ่า! ฮ่า! ท่านเสนาบดีหลี่กล่าวเกินไปแล้ว"

"ปีนี้ภัยแล้งใหญ่หลวงนัก...เมื่อต้นปีข้าน้อยขนสินค้าไปขายแทบทางเหนือ ไม่ว่าจะส่งไปกี่รอบ ต่อกี่รอบ ก็ถูกโจรป่าดักปล้น.."

"โอ้ว..มีเรื่องเช่นนี่เกิดขึ้นด้วย หากนายท่านลู่มิกล่าว ข้าก็มิทราบ "

นายท่านลู่ถึงกับเหงื่อกาฬไหลซึม ฝ่ามือเย็นเยียบ ด้วยความหมายของจิ้งจอกเฒ่านี้คือไม่เคยได้ยินเรื่องโจร เหมือนจะสื่อความในว่าตัวเค้าปั้นเรื่อง  นายท่านลู่จึงเปลี่ยนมาเข้าประเด็นหลักทันที

" ข้าได้ยินข่าวว่า ท่านเสนาบดีหลี่ชื่นชอบสาวงาม ...ด้วยข้าน้อยเองก็มีบุตรีผู้นึงงดงามดุจดอกโบตัน หากเสนาบดีหลี่มิรังเกียจว่านางเป็นเพียงบุตรบุญธรรม อยากให้ท่านเสนาบดีรับนางเป็นอนุสักคน ท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร "

"ข้าได้ข่าวว่านางเป็นสาวเทือ ที่ไม่มีใครสู่ขอ แล้วแบบนี้ยังมีค่าพอเป็นอนุข้าอีกรึ"

ปึง! เสนาบดีหลี่ทุบโต๊ะ จนน้ำชากระเด็น แก้วชาบางใบถึงกับหล่นแตก

เพล้ง!

"ท่านเสนาบดีใจเย็นก่อน  ถึงนางจะเป็นสาวเทือ  แต่ใช่ว่าจะมิงดงาม หากท่านเสนาบดีได้พบจำต้องตรึงตรามิลืมเลือนแน่นอนขอรับ "

"หึ...ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง"

"อีก 7 วันนางจะเดินทางกลับมาถึงจวน กระหม่อมจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ  หวังว่าท่านเสนาบดีจะให้เกียรติ ไปร่วมงานนะขอรับ" ว่าแล้วนายท่านลู่ ก็ขอตัวลากลับ

งานเลี้ยงจวนคหบดีลู่

ขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังเดิมกินเพื่อฉลองต้อนรับ. ลู่เพ่ยอยู่นั้น 

เสนาบดีหลี่เดินเข้ามาในงานอย่างองอาจด้วยชุดสีน้ำเงินสลับขาว เนื้อผ้าไหมอย่างดีใบหน้าหล่อเหล่าสมชายวัยกลางคน ดวงตาเหลียวแหลมดุจจิ้งจอกกวาดมองผู้คนรอบงาน จนสะดุดเข้ากับหญิงงามนางนึง

นางช่างงดงามนัก ใบหน้าเรียวขาวดุจหิมะ คิ้วคมดวงตาเรียวหงส์ นัยตาสีฟ้าน้ำทะเลมองแล้วชวนให้ลุ่มหลงยิ่งนัก ไหนจะอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ชวนมองให้ตราตรึงนี้อีก...เสนาบดีหลี่ได้แต่ตกอยู่ในภวังความงาม  จนนายท่านลู่เข้ามาเชิญไปด้านใน

นายท่านลู่ที่แอบมองสายตาเคลิบเคลิ้มของเสนาบดีหลี่อยู่นาน ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

" อะแฮ่ม !!...ข้าน้อยต้องขออภัยที่มาต้อนรับช้า .....เชิญทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะพาบุตรสาวมาแนะนำ"

หลังจากเสนาบดีหลี่นั่งที่โต๊ะแล้วยังคงจิบชา  และจ้องมองสาวงามมิวางตา  ได้แต่คิด ถ้าได้มาครอบครองจะดีเพียงใด

ผ่านไปราวจิบชา นายท่านลู่ พาสาวงามคนที่เสนาบดีหลี่สนใจเข้ามา 

"ลู่เพ่ย..นี้ท่านเสนาบดีหลี่ "

"ลู่เพ่ย คารวะท่านเสนาบดีหลี่เจ้าคะ" ในจังหวะที่ย่อกายทำความเคารพนั่น เสนาบดีหลี่รีบเดินเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้น

"ลู่เพ่ย ไม่เคยใกล้ชิดบุรุษจึงพยามขยับออกห่างอย่างเป็นธรรมชาติ

นายท่านลู่ปล่อยให้บุตรสาวอยู่ดูแลท่านเสนาบดีหลี่จนจบงาน

วันถัดมาก็มีแม่สื่อพร้อมพ่อบ้านของจวนเสนาบดีหลี่มาทาบทาม ลู่เพ่ยเป็นอนุ พร้อมจดหมายผนึกส่วนตัวให้นายท่านหลี่ ที่ระบุจะทำเรื่องลดหย่อนภาษีทูลเสนอฝ่าบาทให้ 3 ปี แลกกับลู่เพ่ยแต่งเป็นอนุ

นายท่านลู่ตอบตกลงในทันที  และอีก 2 เดือนถัดมาก็จัดงานแต่งงาน ส่งตัวลู่เพ่ยเข้าจวนเสนาบดีหลี่.....

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel