5
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณน้องขา...” เสียงเรียกเชิงปลุก ของบลูเบอร์รี่ทำเอา คนที่หลับสนิทค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปยังด้านหน้าร้านที่สว่างโร่
เธอไม่พบร่างสูงใหญ่ของพวกผู้ชายที่ฉุดเธอมาที่นี่แล้ว
“อย่าบอกนะ ว่าเขาจะทิ้งให้เราเสียเงินจ่ายเองทั้งหมดน่ะ เท่าไหร่กันเนี่ย” เธอโอดขึ้นราวกับไม่ได้รู้สึกดีใจที่ตัวเองจะหลุดพ้น หรือควรจะหนีไปเมื่อได้โอกาส
เพราะถ้าเธอจะโวยวายหรือคิดหนี คงทำไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไง!
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณน้องขา พอดีทางร้านเรามีเสิร์ฟกาแฟปิดจ๊อบให้ลูกค้าตอนเช้าทุกราย พากันดื่มอยู่มุมนั้นค่ะ” คำตอบของเจ้าของร้านทำเอาเธอโล่งใจไป
“นี่อย่าบอกนะคะว่าร้านกาแฟนั่นก็ของพี่ด้วย”
“เปล่าหรอก ของเพื่อนๆ กันน่ะ...ปิดร้านเสริมสวยก็ต่อด้วยเปิดร้านกาแฟเลย แต่ใช้พื้นที่ร่วมๆ กันจ้ะ” เล่าให้ฟังแบบเปิดเผย ตามด้วยยื่นใบเสร็จค่าใช้จ่ายทั้งหมดส่งให้เธอ
“แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายไปนะคะคุณหนู เพราะว่าพวกคุณๆ เขาชำระเรียบร้อยแล้วจ้ะ” เธอรับใบเสร็จนั้นมาดูอย่างอยากรู้ว่าจะหมดสักเท่าไหร่
“ฮะ? สามหมื่นเลยเหรอ?” ดวงตารียาวเบิกกว้างขึ้น พร้อมจับหน้าตัวเองไปมา
“ใช่สิจ๊ะ เล่นทำทั้งตัวขนาดนี้...แต่พี่ว่าทำได้อีกนะ สวยได้กว่านี้อีก นี่เหมือนแค่แคะๆ อะไรออกไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ที่สาวประเภทสองที่สวยกว่าผู้หญิงคนนี้พูดมานั้นไม่ได้เกินจริงไปเลย
เธอไม่เคยเข้าร้านบำรุงผมหรือผิวมาก่อนเลยในชีวิต แค่ปัญญาจะซื้อครีมบำรุงสักตัวให้ตัวเอง ยังประหยัดแล้วประหยัดอีก
“ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะพี่” เธอยกมือไหว้พร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากร้านไป และก็พบว่าสองหนุ่มตัวยักษ์ใหญ่ กำลังยืนสงบมองมายังเธอแบบพร้อมเพรียงกัน
“พวกพี่ จับฉันมาเพื่ออะไรเหรอคะ?” เธอเดินเข้าไปใกล้พร้อมถามในสิ่งที่อยากรู้ แต่ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
เพราะคงไม่มีคนร้ายที่ไหน จับตัวคนมาเข้าร้านเสริมสวยหรอก!
“ขึ้นรถเถอะครับ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะพาไปหาคำตอบถึงที่เลย” เมื่อเลือกอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องตามนั้น
“เดี๋ยวค่ะคุณน้อง นี่นามบัตรคุณพี่ค่ะ...มีอะไรโทรมาปรึกษาได้นะคะ เสื้อผ้าหน้าผมพี่ช่วยจัดให้ได้ ยังไงก็อย่าลืมกันนะคะ” เธอรับนามบัตรนั้นมาพร้อมพยักหน้า ไม่รู้เลยว่าชะตาต่อจากนี้ของตัวเองจะต้องเจอกับอะไร!
แม้จะนอนมาแล้วทั้งคืน แต่พอขึ้นรถตู้คันใหญ่มาแล้ว ปิ่นมณีก็เผลอหลับไปอีกระลอกใหญ่ มารู้ตัวอีกที...ก็ตอนที่ประตูรถตู้ได้เปิดออกแล้ว
“ถึงแล้วเหรอคะ?” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เหมือนเด็กพึ่งจะตื่น จนบอดี้การ์ดต้องเผยยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนโค้งคำนับให้เธอหนึ่งครั้งเหมือนพวกบอดี้การ์ดทั่วไปในละคร
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เมื่อก้าวลงมาจากรถตู้คันใหญ่ มองไปยังคฤหาสน์สีขาวเบื้องหน้า ที่จัดตกแต่งสวยงามราวกับเป็นราชวัง
เธอยืนอึ้งและจ้องอยู่แบบนั้น พร้อมหันไปมองหน้าสองคนที่ยืนเอามือกุมประสานกันไว้อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
จนมีสาวใช้ที่เดินออกมาต้อนรับและเชื้อเชิญเธอเข้าไปข้างใน และเธอก็จำต้องเดินตามเข้าไปด้วยใจอันเบาโหวง
เธออยากจะเอามือตบหน้าตัวเองดูอีกสักครั้ง ว่าไม่ได้กำลังนอนหลับฝันอยู่...เพราะความรู้สึกชาในปากเหมือนคนเพิ่งตื่นนี่ มันทำให้เธอแอบเข้าข้างตัวเองว่า กำลังฝันไปแน่ๆ
“เชิญนั่งรอตรงนี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเตรียมเครื่องดื่มมาให้” เธอค้อมศีรษะรับเชิงเกรงใจ วางตัวไม่ถูก...แอบหยิกตัวเองแล้วก็พบว่าเจ็บได้จริงๆ นี่เธอไม่ได้กำลังฝันไป แต่ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหนเหมือนกัน!
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งก้าวเข้ามา เธอหันไปมองในทันที แต่แล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง...
ใบหน้าเรียวยาวคมคร้าม ที่มีสันเคราเขียวครึ้มขึ้นสองข้างแก้มและรอบริมฝีปาก ตัดกับผิวสีแทนละเอียดนั้น มีประกายตาคมกริบที่แสนจะเรียบเฉย
ริมฝีปากกระจับสีอ่อนโดดเด่นจนดึงดูดให้เธอจดจ้องอยู่นานกว่าบริเวณอื่น ไล่รับกับปลายจมูกโด่งคมเกินมาตรฐานชายไทย ที่สันดั้งระหว่างคิ้วพุ่งสูงจนทำให้ดวงตาคมลึกลงไปจนดูดุดัน
ปิ่นมณีกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เมื่อแววตาคมที่สามารถจะเชือดเฉือนทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ได้สบกับแววตาของเธอตรงๆ เข้า
เส้นคิ้วที่เรียงตัวเข้มอยู่เหนือดวงตาคมกริบ ยิ่งส่งเสริมให้พลังอำนาจของเขาดูน่าเกรงขาม..จนหญิงสาวเริ่มหายใจติดขัด
“เป็นใบ้เหรอ” เขาพูดออกมา ในขณะที่ได้ทรุดลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ แบบลวกๆ ไม่ได้เป็นทางการหรือระมัดระวังท่าทีเท่าไหร่
พอนั่งแล้วก็ยกขาขึ้นไขว่ห้างสบายๆ แบบเป็นกันเองจนเธอแอบตกใจ ว่าตัวเองไปรู้จักกับเขาตอนไหน
“สวัสดีค่ะ” และเธอก็เลือกที่จะใช้มารยาทพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม
จนเกิดหยักยิ้มอ่อนๆ ที่มุมปากของคนมีเครา
“ค่อยยังชั่ว ไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก” เขาว่าอย่างสบายๆ มองสำรวจใบหน้าของเธอที่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ตั้งแต่เส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทที่ดูเรียบรื่น เป็นเงางาม เรียงตัวเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้ผูกพันจนยุ่งเหยิง
ใบหน้าที่ดูหมองคล้ำดูเนียนขึ้น แม้จะยังเห็นริ้วรอยของสิวอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เพราะทางร้านได้แต่งหน้ามาให้เธออ่อนๆ และปกปิดบางส่วนที่ยังต้องปกปิดอยู่
หญิงสาวตรงหน้าเขา เป็นคนที่ไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดูไม่ได้เลย...เครื่องหน้าของเธอค่อนข้างกระจุ๋มกระจิ๋ม น้อยๆ เรียบๆ แต่ลงตัว
ใบหน้ากลมที่เรียวมน ทำให้เธอดูอ่อนเยาว์กว่าวัย รับกับริมฝีปากเล็กๆ ที่มีความเป็นกระจับชัด เสริมรับกับจมูกสันเตี้ยแต่มีปลายที่เชิดขึ้นอย่างพองาม ทำให้เธอดูมีความรั้นเล็กๆ อยู่ในตัว
แต่ดวงตารียาวที่ดูเล็กจ้อย ฉายความหมองอยู่เนืองๆ นั้น มาตัดให้เธอดูน่าเห็นใจ...มากกว่าดื้อรั้น
“คุณสั่งให้คนจับดิฉันมาหรือคะ?” น้ำเสียงใสๆ ของเธอ หยุดยั้งดวงตาของนักสำรวจเอาไว้ได้...แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
เกริกหล้าจดจ้องเข้าไปในแววตาคู่ใส ที่ดูบริสุทธิ์ใจแม้จะฉายไปด้วยความหม่น รับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ดูไม่ได้มีพิษภัยและไม่ได้ดูโง่เขลาโดยพื้นฐาน
แต่ที่แสดงออกไปแบบนั้นก็น่าจะเป็นเพราะความรักบังตา
“ใช่” เขาตอบสั้นๆ ในขณะที่สายตาเริ่มสำรวจเรือนร่างของเธอ ที่ยังคงสวมชุดเก่าตั้งแต่เมื่อวาน แต่เหมือนมีการซักรีดใหม่ให้ดูดีขึ้น
“คุณจับฉันมาทำไมเหรอคะ?”
“ชื่ออะไรนะ ลืมถาม” เขาว่าอย่างเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เพราะไม่ได้ทำความรู้จักกับใครใหม่มาหลายปีแล้ว
“ชื่อเปลวค่ะ คุณละคะ?” กิริยาพาซื่อของเธอ ทำเอาเขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะวงการที่เขาอยู่ มันเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและต้องสังเกตเท่าทันกันอยู่ตลอดเวลา
เธอก็เลยดูต่างออกไป เป็นเหมือนสิ่งแปลกใหม่ที่ทำให้เขาหายใจหายคอโล่งขึ้น
แต่พอถูกเธอถามชื่อกลับแบบนี้ เขาก็ยิ่งไม่ชินใหญ่เพราะไม่ค่อยจะมีใครเรียกชื่อเขานานแล้ว
“คิดว่าหน้าตาอย่างฉันน่าจะชื่ออะไร” และเขาก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ เชิงอยากจะเล่นกับเพื่อนใหม่อย่างเธอ
แต่ไหนแต่ไรมา เกริกหล้าไม่เคยได้เรียนโรงเรียนปกติที่จะต้องพบเจอเพื่อนเยอะๆ เหมือนคนอื่นเขา เพราะเพื่อความปลอดภัยเขาจะมีครูมาสอนถึงบ้านและทำหลักสูตรให้จบอย่างมีมาตรฐานไปพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนเดียวคือองอาจ
“ไม่รู้สิคะ...”
“ลองเดาดู” ทีท่าผ่อนคลาย ใบหน้ามีความยิ้มเยือนอยู่ในทีของเขานั้น ยิ่งทำให้เธอไม่กล้าที่จะเดา...รู้สึกเกร็งมากกว่าจะผ่อนคลาย
เพราะต่อให้เขาดูจะใจดีแค่ไหน แต่ความน่ากลัวที่เจือไปทั่วอณูร่างของเขา มันช่างชัดเจนเกินกว่าที่จะทำให้เธอ ‘กล้า’ ที่จะเดาชื่อเขาไปแบบมั่วๆ
“จะดีเหรอคะ?”
“เธอคิดไม่ดีรึเปล่าล่ะ” ทีท่าของเขายิ่งทำเอาเธอต้องถอนหายใจ คนอะไรดื้อใช่หยอก
“เปล่าค่ะ...ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลย” หญิงสาวต้องรีบเม้มริมฝีปากเข้า เมื่อเผลอทำเสียงเข้มใส่เขาไป
“ลองดูก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วก็เริ่มสำรวจใบหน้าของเขาอย่างเต็มตาอีกครั้ง แบบตั้งใจ...และมีสติ
แววตาคมกริบที่สะท้อนความหยอกล้อออกมาอยู่ในทีนั้น ทำเอาเธอสะดุดเล็กน้อย จนต้องมองเลยมายังสันจมูกโด่งคมที่พุ่งตัวสูง ราวกับเขามีเชื้อแขกอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย ทั้งๆ ที่เครื่องเรือนในบ้านเขาออกไปทางเชื้อสายจีนมากกว่า
“น่าจะชื่อ...หนวดมั้งคะ”
“หนวด?” เกริกหล้าหลุดขำพรืดออกมา จนเผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบชัด จนเธอหน้าแดงปลั่ง
ไม่คิดว่าเขาจะหลุดขำและตลกกับชื่อที่เธอเดามากขนาดนี้
“คนอะไรจะชื่อหนวด”
“แถวบ้านเปลวมีนะคะ คนชื่อหนวดต้องสองสามคน เพราะว่าเขามีหนวดแบบคุณนี่แหละค่ะ” เธออธิบายเชิงโต้เสร็จก็ต้องเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้อีกครั้ง จนเขาต้องพยักหน้าและเชื่อแล้วว่าจมูกรั้นๆ ของเธอ น่าจะบอกนิสัยได้มากกว่าแววตาหม่นแสง
“ก็ได้ เธออยากจะเรียกฉันว่าหนวดก็ได้ ฉันอนุญาต”
“ไม่ได้หรอกค่ะ บอกชื่อจริงของคุณมาเถอะค่ะ ดิฉันจะได้เรียกถูก”
“ฉันชอบตอนที่เธอแทนตัวเองว่าเปลว แทนว่าเปลวเถอะ...น่ารักดี” ท้ายประโยคของเขาที่ออกมาจากใจ ไม่ใช่หยอดเล่นไปตามประสาคนเจ้าชู้ ทำเอาดวงตารีเล็กเบิกกว้างขึ้น
เขาเองผู้ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าพูดไปตามความคิด สะดุดเล็กน้อย...แต่ก็ไม่ได้แก้ต่าง มีเพียงใบหน้าสีแทนเท่านั้นที่แลดูจะเข้มขึ้น เข้มไปจนถึงใบหู...
“แล้วตกลง คุณจับดิฉันมาทำไมเหรอคะ?” ชายหนุ่มผู้เล่นมาเยอะแล้ว อยากจะเข้าโหมดจริงจังตอบไปแบบตรงๆ ว่า
“สะเดาะเคราะห์”
