บทที่ 1
[กลับมา ณ ปัจจุบัน]
ด้วยเหตุฉะนี้ ฉันถึงต้องจำใจจำยอมเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเกาหลีเมืองกิมจิอย่างเลี่ยงไม่ได้ นับจากวันนั้นที่ฉันกลายเป็นหนึ่งเดียวที่ต้องมาเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนนรกเมิน สวรรค์ชัง โลกมนุษย์รังเกียจนั่น ผู้คนทั่วสารทิศก็ต่างพากันให้กำลังใจฉันอย่างไม่ขาดสาย ราวกับว่ามันจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้พูดคุยพบปะกันยังไงยังงั้น บางคนถึงกับร้องห่มร้องไห้พร้อมกับตะโกนดังลั่นให้ฉันไปที่ชอบๆ อย่าได้มาหลอกหลอนกันเลยก็มี
แล้วนี่ถ้าฉันบอกว่าฉันมาเรียนหนังสือหาความรู้ใส่สมอง ไม่ได้มาทำสงครามโลก จะมีใครสนใจคำพูดของฉันบ้างไหมเนี่ย
สวบ!
กรี๊ด ว้าย ตาเถรตกหล่น!
เพราะความซุ่มซ่ามที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบวกกับพระเจ้ารังแก ทำให้ฉันที่ตั้งใจว่าจะค่อยๆ ถอยห่างออกจากสองกลุ่มอันธพาลเลือดร้อนพวกนั้นอย่างช้าๆ แต่ทว่าขาเจ้ากรรมดันก้าวไม่ดี จึงเป็นเหตุทำให้ฉันล้มหน้าคะมำลงบนพุ่มหญ้าข้างๆ ทันที
“เฮ้ย! นั่นเสียงอะไรวะ!” หนึ่งในยี่สิบของอันธพาลสุดโหดพูดขึ้นทันทีขณะที่ฉันกำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนและเตรียมเผ่นหนีไปให้ไกลถึงขั้วโลกใต้ แต่ทว่าขาเจ้ากรรมดันกลัวจนก้าวไม่ออกซะอย่างนั้น
ปัดโธ่เว้ย!
ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้สวยจนซวยงามไส้อย่างนี้นะเนี่ย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูพวกเขายกพวกตีกันสักหน่อย ฉันแค่กำลังเดินหาที่พักอยู่แล้วเกิดพลัดหลงเดินเข้ามาในมุมตึกบัดซบนี่ก็เท่านั้นเอง ถ้ารู้ว่าที่นี่คือลานประลองฝึกวิทยายุทธ์ของไอ้พวกบ้านั่นแล้วล่ะก็ ให้ตายฉันก็ไม่มีวันย่างกรายเข้ามาแน่
“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะรีบวิ่งหนีให้สุดกำลังเกิดเลยนะจะบอกให้” จู่ๆ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นบนหัวฉัน แต่เปล่า! เสียงที่ว่านั่นมันไม่ได้เกิดจากความคิดหรือจินตนาการของฉันผู้นี้แต่อย่างใด เพราะเสียงฉันคงไม่เข้มและทรงพลังอย่างนั้นแน่!!
คำถามในเวลานี้คือ...ใคร!
เสียงคร้ายยยยยยย!
ฉันหันซ้ายที หันขวาที พยายามเพ่งหาต้นตอของเสียงประหลาดที่ว่านั่น แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยสักกะคนไม่มีแม้กระทั่งหมาสักตัว
“ใครวะ! โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ย้ากกก! ช่างมันเถอะ จะเป็นเสียงวิญญาณของผีเร่ร่อนที่ไหนก็ช่าง เวลาแบบนี้ฉันต้องหนีก่อนล่ะ วงจรชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนของนางสาวคิมเซรัน ทำไมถึงได้เริ่มต้นด้วยการวิ่งมาราธอนแบบนี้กันนะ เริ่มต้นก็ตื่นเต้นจนอยากจะวิ่งไปสนามบินแล้วจองตั๋วกลับประเทศ แล้วจุดจบจะขนาดไหนกันล่ะเนี่ย
เมื่อรวบรวมความกล้าเป็นที่มั่นเหมาะแก่ใจแล้ว ฉันไม่รอช้า ค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละนิดไม่ให้คนพวกนั้นไหวตัวและจับได้ ค่อยๆ ย่อง ย่อง และ..
พรึ่บ!
“อื้อ!” ฉันร้องอู้อี้ทันทีที่ถูกปิดปากจากด้านหลัง ก่อนจะโดนลากเข้าไปหลบในพุ่มหญ้าข้างทาง
“ฉันไม่มีเงินหรอกนะ ถ้าจะปล้นกันล่ะก็ ขอบอกว่าพวกแกคิดผิดแล้วล่ะ แถมตอนนี้พ่อยังป่วยหนัก แม่หนีตามชายชู้ คุณปู่เป็นลมพิษ ความลับของตระกูลก็ยังปิดไม่มิด นี่ฉันพูดบ้าอะไรอยู่นะเนี่ย~” ฉันสติแตกไปในทันทีที่มือปริศนาคลายตัวปล่อยฉันให้เป็นอิสระ ก่อนจะจับจ้องไปยังร่างสูงตรงหน้าด้วยความสงสัย
“ฮึ! เธอนี่ตลกดีแฮะ ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับไอ้บ้าเลือดพวกนั้นหรอกนะยัยเซ่อ ทางที่ดีเธอควรจะไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน” ว่าจบร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีทองก็ยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าจากไป เหลือไว้แต่ฉันที่กำลังสงสัยอยู่เต็มพิกัดว่าทำไม ทำไมหมอนั่นถึงได้หล่อนะ
แต่เดี๋ยวก่อน! นี่มันไม่ใช่เวลาที่แกจะมามัวพร่ำเพ้อนะยัยเซรัน ไม่ได้การล่ะ รีบไปก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะหาฉันเจอดีกว่า
มาวันแรกก็เจอกับพวกนักเลงอันธพาลแล้ว ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆ ไปที่ยังมาไม่ถึงเลย
[โรงเรียนมัธยมฮันนัมวาน]
ฉันไม่เคยคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเท่ากับวันนี้มาก่อนเลยจริงๆ ใครจะบอกได้ไหมล่ะว่า หากเพียงฉันก้าวล้ำเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้ายตรงหน้านี้แล้วชีวิตฉันจะปลอดภัย รู้งี้ก่อนมาที่นี่ฉันน่าจะทำประกันชีวิตชั้นหนึ่งเอาไว้กันพลาดก็ดีหรอก
แค่เพียงแต่คิดถึงหนังสือคำแนะนำ หรือจะเรียกให้ถูกมันก็คือหนังสือรวบรวมวีรกรรมของบุคคลที่ร่ำเรียนอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ฉันก็แทบจะหยุดลมหายใจตัวเองซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
โรงเรียนแห่งนี้ดูภายนอกโอ่อ่ากว้างขวางร่มรื่นน่าสิงสู่ แต่ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยเหล่าลูกหลานเหลนโหลนมาเฟียชื่อดังของแก๊งชายโฉดต่างๆ ไปซะเกือบครึ่ง พ่อแม่ของนักศึกษาในโรงเรียนนรกเมินสวรรค์ชังแห่งนี้ล้วนแต่ทำงานด้านมืดทั้งนั้น
น่าแปลกที่ทำไมโรงเรียนของฉันจะต้องส่งนักเรียนมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ฉันตั้งใจว่าจะมาหาประสบการณ์ต่างแดน แต่นี่มันเลวร้ายไปไหม ฉันคงต้องเข้าไปจริงๆ แล้วสินะ
สายลมแห่งโชคชะตาที่รันทดพัดโฉบผ่านหน้าไปด้วยความเร็วสูง ทำเอาฉันขนลุกเกรียวไปเป็นแถบๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเก็บกักความกลัวเอาไว้ที่ปอด พร้อมกับเร่งฝีเท้าหาห้องผู้อำนวยการให้เจออย่างเร็วที่สุด
“นี่ๆ ได้ข่าวว่าวันนี้จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาที่นี่สินะ เฮ้อ~ เหยื่อรายใหม่ที่พวกเรารอมานานเมื่อไหร่จะมาถึงสักทีล่ะเนี่ย ฉันอุตส่าห์มารอต้อนรับแล้วแท้ๆ” ฉันแทบจะพุ่งหลาวเข้าพุ่มไม้ข้างทางเดินแทบจะไม่ทันเมื่อเสียงหวานพูดขึ้น ทันทีที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในระยะปลอดภัยดีแล้ว ฉันจึงค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ทำเอาความกล้าที่มีเหลืออยู่น้อยนิดแทบจะหมดไป หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับฉันประมาณห้าคนเห็นจะได้กำลังยืนลูบไม้หน้าสามอยู่ ใบหน้าขาวเนียนท่าทางดูเหมือนจะใจดีมีเมตตานั้นไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกกลัวจับใจของฉันลดน้อยลงเลยสักนิดเมื่อคิดถึงประโยคที่เธอเพิ่งจะพูดออกไป
เหยื่อรายใหม่ที่ว่า...หมายถึงฉันงั้นสินะ!
“เอาไงดี มีจอง ฉันว่ามันคงรู้ตัวแล้วหาทางเข้ามาจากที่อื่นแน่ๆ เลย”
