๘ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอ (๓)
“อาทิว! หนูคิดถึงอาทิวมากๆๆๆ เลยค่ะ ตอนไหนอาทิวจะมาหาหนูคะ อยากให้อาทิวเล่านิทานให้ฟัง หนูอยากฟังเรื่องสโนไวท์ค่ะ”
เสียงเจื้อยแจ้วพูดผ่านโทรศัพท์ที่เปิดให้เห็นหน้าปลายสาย เด็กหญิงจดจ้องหน้าของคุณอาแล้วพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการ ดวงตากลมกระพริบปริบหลังพูดจบ เล่นเอาคนที่เหนื่อยจากงานมีแรงขึ้นมาทันที
“อาทิวก็คิดถึงน้องพิมพ์มากๆๆๆๆ แต่อาทิวก็งานเยอะมากๆๆๆ ไม่ว่างไปหาน้องพิมพ์เลย แต่เดือนหน้าอาทิวจะไปหานะคะ อยากฟังเรื่องสโนไวท์เหรอ เดี๋ยวอาทิวแถมเรื่องนางเงือกน้อยให้ด้วยดีหรือเปล่า” เขาขยับเข้ามาใกล้หน้าจอมากกว่าเดิม พร้อมโต้ตอบแล้วพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อหาคนเป็นแม่
กลับไร้เงาของปาลิตาที่แสนคิดถึง ไม่รู้ว่าหล่อนไปหลบอยู่มุมไหนของบ้าน แต่ไม่นานก็เห็นร่างแบบบางผ่านเข้ามาพร้อมน้ำเสียงระอาที่พูดถึงบุตรสาว
“อาทิวใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ หนูรักอาทิวเท่าจักรวาลเลย” ช่วงนี้เรียนรู้คำศัพท์มาเยอะจึงชอบใช้เพื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดู แล้วปวัตรจะไปไหนรอดนอกจากหลงรักหลานสาวหัวปักหัวปำจนอยากเป็นพ่อของอีกฝ่าย
ดูท่าจะยากเหลือเกิน ปาลิตาคืออดีตพี่สะใภ้ที่มีลูกกับพี่ชายของเขา หากเราลงเอยกันคนนอกจะมองอย่างไร
ไม่สิ...แม้แต่คนในครอบครัวเขาก็คงไม่เห็นด้วย
“เรื่องเว่อร์ขอให้บอก” นั่งลงข้างลูกสาวแล้ววางจานผลไม้ไว้ตรงหน้า
“น้องพิมพ์กินแอ็ปเปิ้ลไหมคะ” ยื่นผลแอ็ปเปิ้ลที่ปอกเปลือกและทำเป็นชิ้นเล็กเพื่อสะดวกในการกินไปตรงหน้าพิมพ์พิชชา หนูน้อยรีบคว้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยตากลมวาวยามเห็นผลไม้ชิ้นโปรดของตัวเอง ลืมเรื่องที่จะพูดกับคุณอาไปครู่หนึ่ง
“กินค่ะ ของคุณลุงพ่อเลี้ยงเหรอคะ” ถามถึงคุณลุงใจดีที่ชอบนำผลไม้มาให้ประจำจนสนิทสนม โดยไม่รู้เลยว่าหนุ่มปลายสายเริ่มทำหน้าขรึมด้วยความไม่ชอบใจ
“ใช่ค่ะ”
“พ่อเลี้ยงมาบ่อยเหรอ” ถามเพื่อนสนิททันที
เขารู้มาว่าบ้านของเธออยู่ติดกับไร่แสงฉานของพ่อเลี้ยงนคินทร์ พ่อม่ายเนื้อหอมรูปหล่อมีสาวต่อแถวเข้าคิวเป็นแม่เลี้ยงกันยาวเหยียด หัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งแต่กลับไม่ชายตาแลใคร แล้วไม่รู้เหตุใดจึงต้องตาสาวคนเดียวกับตนซะได้
ปวัตรนึกหวงกลัวหล่อนจะตกลงปลงใจกับอีกฝ่าย อยากย้ายไปอยู่เมืองเหนือเสียเดี๋ยวนี้ ติดที่งานหล่นทับไม่ให้ตนได้หายใจ หากทิ้งไปก็ดูจะไร้ความรับผิดชอบ จึงทำได้เพียงภาวนาไม่ให้เธอมองใคร พร้อมทั้งพยายามแสดงตนเป็นมากกว่าเพื่อน
แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพื่อนของเธออยู่ดี
“อือ ก็ไร่ของพ่อเลี้ยงกับบ้านเราอยู่ใกล้กันนี่น่า งานหนักมากเลยเหรอ” มองขอบตาดำคล้ำของอีกฝ่ายก็นึกเป็นห่วง จนคนถูกถามยิ้มมีความสุขเมื่อเห็นว่าหล่อนสนใจตน
“มาก อยากลาออกทุกวัน เตรียมเขียนจดหมายยื่นแล้วเนี่ย ซองขาวพร้อมไปวางไว้โต๊ะหัวหน้า”
“ทำเป็นพูด บ่นมาหลายปีไม่เห็นจะลาออกเลย” ไม่ค่อยอยากเชื่อน้ำคำของชายหนุ่มเท่าไหร่
ยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ ชายหนุ่มสะดุ้งแล้วรีบหันไปมองเจ้านายที่เดินเข้ามาถามด้วยใบหน้าทมึงถึง ปาลิตาเห็นอาการของเพื่อนสนิทก็ได้แต่ปิดปากหัวเราะเสียงเบา แล้วกอดลูกสาวที่เอร็ดอร่อยกับผลไม้ไว้แน่น
“ทิว! งานของคุณนาถได้หรือยัง”
“ไปทำงานก่อนนะ” เขาโบกมือลาสองแม่ลูกอย่างรวดเร็ว
“บาย” ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว แต่ถ้างานยังไม่เสร็จก็อย่าหวังว่าจะได้กลับบ้าน เพราะอย่างนี้หล่อนจึงไม่ชอบกับการเป็นพนักงานออฟฟิศ สู้ทำงานที่บ้านเป็นนายของตัวเองดีกว่า ไม่ต้องพูดจากับผู้คนหลากหลายให้ปวดหัว
“อร่อยไหมคะ” ก้มหน้าลงเพื่อถามลูกสาวที่หยิบกินไม่ขาดปาก
“อร่อยมากค่ะ” เธอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วหยิบผลไม้มากินบ้าง โดยที่มีเจ้าสัตว์แสนรู้ป้วนเปี้ยนแถวนั้นไม่ยอมห่าง
พวกเขาเปิดโทรทัศน์ดูด้วยกัน ส่วนมากเป็นการ์ตูนที่เด็กหญิงชอบเป็นพิเศษ ระหว่างที่ดูก็พยายามมีปฏิสัมพันธ์กับลูก ไม่ให้จดจ้องอยู่หน้าจอจนเกินไป แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กหญิงพิมพ์พิชชาจะยังถามเรื่องที่คนเป็นแม่เลี่ยงตอบทุกครั้ง
“หม่าม้าขา ตอนไหนป่าป๊าจะทำงานเสร็จคะ หนูอยากเจอป่าป๊า” ดวงหน้าที่เคยยิ้มกลับสลดลงทันทีเมื่อลูกกำลังถามถึงพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง แต่ไม่รู้มีสายใยอะไรที่ทำให้เด็กหญิงคิดถึงอีกฝ่ายตลอดเวลา
“ม้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่คงอีกสักพักกว่างานของป๊าจะเสร็จ” ข้ออ้างเรื่องการทำงานน่าจะสมเหตุสมผลมากที่สุด
เธอไม่ได้โกรธแค้นอดีตสามีเพราะเขาไม่ได้ทำร้ายตน คนผิดคงเป็นเธอที่พยายามยื้อชีวิตคู่ที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม
“สักพักนานแค่ไหนคะ”
“หนูอยู่กับม้าไม่มีความสุขเหรอลูก ทำไมถึงถามหาป่าป๊าบ่อยจังเลย” ถูกต้อนให้จนมุมจึงตัดสินใจใช้ความเศร้าเข้าสู้ทำทีเป็นน้อยใจ จนหนูน้อยผู้รักมารดายิ่งชีวิตต้องรีบเปลี่ยนคำแล้วกอดปาลิตาเอาไว้แน่น
“หนูรักหม่าม้า หนูมีความสุขที่ได้อยู่กับหม่าม้าค่ะ หนูจะไม่ถามหาป่าป๊าแล้วค่ะ หนูจะตั้งใจดูพี่แมวกับพี่หนู แล้ว แล้วหนูจะเลี้ยงน้องค่ะ” ชี้ไปที่โทรทัศน์แล้วมองไปยังสุนัขแสนรู้ที่หลับอุตุอยู่บนเบาะ ไม่พูดถึงเรื่องของคนที่ไม่อยู่ในวงโคจรของพวกเราอีก
ไม่รู้ทำไมแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อาชาไนยก็ยังมีอิทธิพลกับใจของเธอเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
“ม้าอยู่ห้องครัว อยากได้อะไรเรียกนะคะ” อุ้มหนูน้อยลงจากตักแล้วลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู หวังจะหลบเข้าไปในครัวไม่ให้ลูกสาวเห็นร่องรอยความเสียใจในดวงตา ซึ่งพิมพ์พิชชาก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ” กัดผลไม้โปรดของตนเองแล้วจ้องหน้าจอโทรทัศน์
ไม่รู้ว่าทำไมอาชาไนยถึงติดอยู่ในใจของหล่อนไม่เลือนหายไปสักที...
รถยนต์คันใหญ่ขับผ่านร้านกาแฟที่ตนเคยอุดหนุนเมื่อไม่นาน เขาชอบรสชาติของกาแฟร้านนี้ คิดว่ากลับออกมาจากไร่อาจจะแวะซื้อสักแก้ว แต่ตอนนี้คงต้องรีบไปพบลูกค้าของตัวเอง ไม่อยากไปช้าจนดูเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา
ขับผ่านทางดินแดงที่มีควันขึ้นตลบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกเป็นแนวยาว ไม่แน่ใจว่ามีผลไม้ชนิดใดบ้าง แต่ที่เห็นชัดเจนคือส้มกับแอ็ปเปิ้ลและลิ้นจี่ ยังมีอีกหลายต้นที่อยู่ข้างในซึ่งเขามองไม่ถนัด ไว้คุยงานเสร็จแล้วคงขอทัวร์ไร่แสงฉานสักหน่อย
จอดรถลงที่หน้าสำนักงานของไร่แล้วถอดแว่นกันแดดมาเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอก ปิดประตูพร้อมล็อครถเสร็จสรรพค่อยก้าวเข้ามาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าอาคารพอดี เขาเห็นรูปของอีกฝ่ายและศึกษาประวัตินคินทร์มาบ้างจึงยกมือไหว้คนอายุมากกว่า
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง ผมช้างนะครับ เป็นวิศวกรที่จะมาดูแลรีสอร์ทของคุณ” แนะนำตัวอย่างรวดเร็ว
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณช้าง จำได้ว่าผมคุยกับคุณกำจรไว้...ไม่นึกว่าจะเปลี่ยนคน” เขาทำได้แค่ยิ้มแล้วบอกเหตุผลเท่าที่พอจะตอบได้
“มีปัญหาภายในนิดหน่อยครับ ผมเลยมาแทนคุณกำจร แต่ผมศึกษางานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รบกวนพาไปดูสถานที่จริงได้ไหมครับ” มาถึงไม่นานยังไม่ได้ดื่มน้ำท่าก็เร่งทำงานอย่างรวดเร็ว เขามีเอกสารที่ต้องเซ็นผ่านทางอีเมล ไหนจะต้องไปดูงานในตัวเมืองอีกต่างหาก
อะไรที่ย่นเวลาได้ก็ต้องรีบทำหน่อย
“ได้ครับ เชิญทางนี้เลย” ผายมือไปยังรถไฟฟ้าสี่ล้อที่จอดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
ร่างสูงขึ้นไปนั่งข้างเจ้าของไร่โดยมีคนงานเป็นผู้ขับ ระหว่างทางก็ได้กินลมชมวิวบ้างแต่เขาไม่ค่อยมีอารมณ์มองเท่าไหร่ เพราะอากาศตอนนี้ค่อนข้างร้อนทีเดียว จึงทำเพียงพยักหน้าแล้วยิ้มรับ ใจภาวนาอยากให้ถึงสถานที่โดยเร็ว
“จอดก่อนครับ” แต่กลายเป็นว่ารถถูกสั่งให้หยุดกะทันหัน
เจ้าของไร่เดินลงจากรถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาจึงมองตามด้วยความสงสัยว่าพ่อเลี้ยงกำลังทำอะไร แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายเดินไปหาหญิงสาวที่อาชาไนยเห็นเพียงแผ่นหลังแบบบาง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกคุ้นตา
จนกระทั่งได้ยินนคินทร์เรียกชื่อของหญิงสาว อยู่ดีๆ ขาของเขาก็ก้าวลงจากรถโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทันทราบด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“คุณไหม ถ้ามาไร่น่าจะบอกก่อนสิครับ ผมจะได้อยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไหมแค่อยากมาวาดรูปเป็นฉากของการ์ตูนไม่อยากรบกวนเวลางานของพ่อเลี้ยง” เสียงหวานที่ดังเข้ามาในโสตประสาท แม้ไม่เห็นใบหน้าก็คิดว่าต้องใช่อย่างแน่นอน เขาจึงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง
“ผมว่างครับ” พ่อเลี้ยงหลงลืมเสียสนิทว่าต้องพาใครบางคนไปดูงาน เพราะสายตาเอาแต่จดจ้องดวงหน้าหวานไม่ห่าง
“พ่อเลี้ยงครับ” จนได้ยินเสียงทุ้มดังจากทางด้านหลัง เรียกความสนใจจากคนทั้งสองให้เหลียวกลับไปมองอย่างพร้อมเรียง
‘พี่ช้าง’
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงหน้า ปากจิ้มลิ้มเผยอค้างแล้วจ้องกรอบหน้าคมที่ไม่ได้เห็นมาหลายปี
อาชาไนยมาที่นี่ได้อย่างไร!
