๙ ครอบครัวพร้อมหน้า (๑)
๙
ครอบครัวพร้อมหน้า
เพียงแค่ได้มองดวงหน้าคมของสามีเก่าก็ทำให้หล่อนหัวใจเต้นแรง ต้องรีบกำมือแน่นไม่ให้ตื่นเต้นไปมากกว่านี้ พยายามทำสีหน้าเรียบเฉยราวไม่รู้จักคนตรงหน้ามาก่อน กว่าห้าปีที่ไม่ได้พบกัน ไม่ทราบข่าวคราวของอาชาไนยถึงจะเจอกับปวัตรบ่อยครั้ง อีกฝ่ายก็ไม่พูดถึงลูกพี่ลูกน้องให้หล่อนฟัง
เคยอยากรู้ข่าวของชายหนุ่ม แต่พอได้เลี้ยงลูกก็หลงลืมเรื่องของเขาไปบ้าง เธอมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันจนคิดว่าสามารถลืมร่างสูงได้แล้ว อีกไม่นานคงสามารถใช้ชีวิตโดยที่หัวใจไม่โหยหาอดีต
จนกระทั่งวันนี้ที่กลับมาพบกันโดยบังเอิญ...
พี่ช้างของเธอยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยน แต่เพราะอายุมากขึ้นและทำงานกลางแจ้งแทบทุกวัน สีผิวที่เคยขาวก็เข้มขึ้น พร้อมไรหนวดตามคางบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองมากนัก หญิงสาวเผลอจ้องเขานานไปหน่อย จนแทบไม่ได้ยินเสียงของพ่อเลี้ยงที่พูดกรอกหู
“คุณไหมครับ นี่คุณช้างเป็นวิศวกรที่มาทำรีสอร์ทให้ผม ส่วนนี่คุณไหมเป็นเจ้าของร้านกาแฟด้านหน้าครับ” พอทราบว่านคินทร์กำลังจะสร้างรีสอร์ทซึ่งเป็นอีกกิจการของไร่แสงฉาน แต่ไม่คิดว่าคนที่มารับงานจะเป็นอาชาไนย
ความจริงหล่อนก็แทบไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องงานของอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนที่เราแต่งงานกัน แม้จะเป็นสามีภรรยาก็มีเส้นกั้นความสัมพันธ์ชัดเจน พอลองย้อนกลับไปมองก็เห็นว่ามีเพียงแค่เธอที่ไล่ตามภาพฝันที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
“ครับ” วิศวกรหนุ่มตกอยู่ในอาการตะลึง เขาเบือนหน้าห่างจากกรอบหน้าหวานแล้วตอบรับเสียงเบา ไม่ได้อธิบายหรือขยายความถึงความสัมพันธ์ในอดีต เลือกจะยืนนิ่งท่ามกลางแดดที่เริ่มอ่อนแสงลง ค่อยผินหน้ากลับไปมองปาลิตาอีกครั้ง
หลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าหล่อน หญิงสาวเปลี่ยนไปค่อนข้างมากในความรู้สึกของเขา ไม่ว่าจะแววตาที่สดใสกว่าเดิม รูปร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวล
ราวกับคนมีความรัก...
“ไหมต้องไปทำงานของตัวเองบ้างแล้ว ไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” เสียงที่ขาดหายไปชั่วครู่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง รีบหลบสายตาที่จ้องตนราวกับจะมองให้ทะลุกาย นำข้าวของทุกอย่างใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่พลางค้อมศีรษะให้คนอายุมากกว่า
ยอมรับว่ายังไม่พร้อมพบหน้าอดีตสามี เขามาไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ถึงจะรู้ดีว่าอาชาไนยคงไม่สนใจตัวเองก็ตาม
“คุณไหมครับเดี๋ยวผมไปส่ง” พ่อเลี้ยงรีบอาสาอย่างรวดเร็ว กำลังจะเดินตามเธอโดยลืมเสียสนิทว่ามีงานต้องทำ อาชาไนยจึงเอ่ยถามอย่างฉงน พอจะมองออกว่าเจ้าของไร่แสงฉานคิดอย่างไรกับภรรยาเก่าของตน
“แล้วผมล่ะครับ” ถามหน้าตายจนนคินทร์นึกเสียดาย พรุ่งนี้เขาก็ต้องไปต่างประเทศแล้วคงไม่ได้เห็นดวงหน้าหวานอีกหลายสัปดาห์ อุตส่าห์มีเวลาอยู่ด้วยกันกลับต้องพลาดโอกาส หากรู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไร่คงให้คนงานพาอาชาไนยไปดูสถานที่แล้ว
“เอ่อ เดินทางปลอดภัยครับ”
“ค่ะ” ค้อมศีรษะให้คนทั้งสองแล้วรีบเดินออกจากไร่แสงฉานอย่างรวดเร็วไม่คิดหันหลังกลับ หัวใจเต้นแรงระหว่างทางกลับบ้าน
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดอาชาไนยจึงยังมีอิทธิพลกับหัวใจมากขนาดนี้ ทั้งที่เขาไม่เคยทำดีกับเธอสักครั้ง แต่ใจไม่รักดีก็ยังถวิลหาเพียงพ่อของลูกไม่เคยลืมเลือนได้สักครั้ง
หรือหล่อนเสพติดความเจ็บปวด...
ระยะทางกว่าสามร้อยเมตรที่เธอเดินจากไร่แสงฉานมายังบ้านของตัวเองไม่ได้เหนื่อยจนทำให้ใจเต้นแรง แต่เป็นเพราะเรื่องของอาชาไนยต่างหาก หล่อนกังวลไปหมดว่าการปรากฏตัวของเขาครั้งนี้จะเป็นเรื่องลูกหรือเปล่า
ชายหนุ่มรู้เรื่องพิมพ์พิชชามากน้อยแค่ไหน หรือมาเรื่องงานอย่างเดียวไม่มีเรื่องของหล่อนกับลูก
ความคิดตีกันสับสนจนต้องปลอบตัวเองให้นิ่ง “ใจเย็นไหม ใจเย็น...” ลูบที่กลางอกพลางผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ ค่อยเดินเข้ามาในรั้วบ้านหลังงามที่ตั้งใจสร้างเพื่ออยู่กับลูกสาวเพียงสองคน ส่วนร้านกาแฟมีเด็กดูแลจึงไม่ค่อยห่วง
“หม่าม้าขา” เปิดประตูเข้ามาข้างในก็พบกับลูกสาวที่วิ่งมากอดขาอย่างรวดเร็ว รีบเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างผนังก็พบว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนของเด็กหญิง แล้วเหตุใดพิมพ์พิชชาถึงกลับมาบ้านเร็วกว่าปกติ
“น้องพิมพ์ กลับมานานหรือยัง ทำไมวันนี้กลับเร็วคะ” รีบย่อกายเพื่อคุยกับบุตรสาว
“น้องดีน่ากับน้องคอปเตอร์ไม่ไปโรงเรียนค่ะ คุณครูเลยมาส่งหนูก่อนเพื่อน หนูได้ขนมเพิ่มด้วยค่ะเดี๋ยวแบ่งหม่าม้านะคะ หม่าม้าจะกินด้วยหรือเปล่า ชอบไหมคะ ถ้าหม่าม้าไม่ชอบหนูกินคนเดียวได้ค่ะ” หนูน้อยถอดกระเป๋าสะพายระหว่างอธิบายว่าเหตุใดจึงได้กลับเร็ว
คาดว่าโรงเรียนน่าจะเลิกเร็วกว่าทุกวันอาจเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนในสัปดาห์นี้ แล้วจำนวนนักเรียนที่กลับโดยรถโรงเรียนมีน้อย จึงมาส่งลูกสาวของเธอก่อนเวลา ปาลิตาสรุปกับตัวเองในใจแล้วจึงมองขนมที่หนูน้อยหยิบออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย
“กินเถอะลูก” ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดูแล้วค่อยผละไปวางกระเป๋าของตนบนโซฟานุ่มสีขาวที่ประจำ ส่วนหนูน้อยก็วางของทุกอย่างของตนไว้บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา ก่อนโถมกายเข้าไปกอดเจ้าสุนัขแสนรู้ที่ทิ้งตัวนอนอยู่บนเบาะไม่ยอมลุกไปไหน
“น้องงงง คิดถึงจังเลย”
“โฮ่ง” เห่ารับเหมือนเป็นการตอบ
หล่อนหันมาจ้องมองความน่ารักตรงหน้าที่ทำให้ลืมเรื่องของอดีตสามีไปได้ทันที ไม่รู้ว่าเขาจะแค่มาทำงานหรือมีเหตุผลอื่นใด เธอก็พยายามกล่อมตัวเองไม่ให้สนใจ แค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขในทุกวันก็พอ
หรือบางทีตนอาจจะคิดมากไปเอง คนอย่างอาชาไนยคงไม่มาสนใจเรื่องของเธอหรอก เขาแค่บังเอิญมาทำงานให้นคินทร์แล้วเจอหล่อนก็เท่านั้น
“น้องเหลืองเสร็จไหมหม่าม้า” เล่นกับเจ้าสัตว์แสนรู้จนพอใจจึงเดินมาหามารดา พลางถามด้วยประโยคกำกวมแต่คนเป็นแม่เข้าใจดี จึงได้พยักหน้าแล้วบอกบุตรสาว
“ม้ารีดไว้ให้แล้วค่ะ หนูไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนะ” น้องเหลืองคือชุดกระโปรงผ้าสีเหลืองแขนตุ๊กตา เป็นตัวโปรดที่เด็กหญิงมักจะใส่ประจำเพราะชอบสีเหลืองเป็นทุนเดิม อาจได้อิทธิพลมาจากการชอบตุ๊กตาเป็ดก็ได้
“อาบน้ำแล้วออกข้างนอกได้ไหม”
“ไม่ได้ค่ะ” ทำหน้าเศร้าทันทีเมื่อคิดว่าอาบน้ำเสร็จก็ต้องอยู่ภายในบ้าน ไม่สามารถออกไปเล่นคลุกดินคลุกฝุ่นข้างนอกได้
