บท
ตั้งค่า

๗ ชีวิตเรียบง่าย (๒)

“แต่มันติดที่นี่แล้วนะคะ เลี้ยงไว้ไม่ได้หรือคะ” การที่นายสาวไม่ได้เอาแมวไปด้วย นั่นหมายถึงยอมให้พวกเธอเลี้ยงดูหรือเปล่า พากันลงความเห็นเช่นนั้น

“จัดการเองแล้วกัน”

นึกรำคาญจึงพูดตัดบทแล้วเข้ามาในห้องนอนแขกของตนเหมือนเดิม วางกระเป๋าไว้ปลายเตียงแล้วเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายที่มีแต่เหงื่อไคล สวมเสื้อผ้าสำหรับอยู่บ้านเพราะต้องการพักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานมาหลายวันแทบไม่ได้นอน

แต่ดูเหมือนว่าเขาคงไม่ได้พักเสียแล้ว เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์และชื่อที่โชว์หราจนต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ค่อยอยากรับสายสักเท่าไหร่

“สวัสดีครับ”

‘กลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้!’ พูดจบก็วางสาย ปล่อยลูกชายยืนยืนถือโทรศัพท์ค้างอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปเปลี่ยนชุดเพื่อขับรถกลับบ้านใหญ่ เขาเดาได้ในทันทีว่าท่านจะคุยเรื่องอะไรกับตัวเอง

ไม่คิดว่าบิดาของตนจะรู้ข่าวช้าขนาดนี้ เขาหย่ากับเธอไปหลายวันแล้วแต่เพิ่งมีโทรศัพท์จากครอบครัววันนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องการตัดขาดของสองครอบครัว ซึ่งเหมือนเป็นการทำลายเส้นทางธุรกิจของคุณฉันท์ทัต เพราะตำแหน่งของคุณธนเดชค่อยข้างเอื้อประโยชน์ต่องานของพวกเขาพอสมควร

แต่ใครให้ท่านทำธุรกิจโดยเอาชีวิตของเขาเป็นตัวประกันล่ะ ก็ต้องรับความเสี่ยงให้ได้หากวันหนึ่งตนจะทำลายกรงขัง...

“คุณพ่อมีธุระ...” เข้ามาภายในห้องทำงานของบิดาแล้วถามเสียงเหนื่อยหน่าย แต่ยังพูดไม่ทันจบใบหน้าก็หันไปตามแรงตบที่เต็มไปด้วยความโมโห จนเขาชาไปครึ่งหน้าแล้วค่อยเหลียวกลับมามองท่าน แววตาคมเฉยชาไม่ยินดียินร้ายสักนิด

เหมือนชินไปเสียแล้ว

เพี๊ยะ!!

“ใครใช้ให้แกหย่ากับหนูไหม!” ไม่ผิดจากที่เดาเอาไว้สักนิด เขายกยิ้มมุมปากแล้วตอบอย่างไม่แยแสเพราะเรื่องนี้ตนไม่ได้เอ่ยปากเอง เป็นหญิงสาวที่ท้าทายแล้วมีหรือที่อาชาไนยจะปล่อยโอกาสหลุดมือ ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้

“เขาขอหย่าเอง ผมเป็นพวกไม่ชอบบังคับจิตใจใครด้วยสิ มีธุระแค่นี้ใช่ไหมครับ หรือยังต้องการระบายอารมณ์อีกไหม ผมจะได้เสียสละเวลาอยู่ฟัง” ตอบกลับอย่างยียวนจนคุณฉันท์ทัตเกือบความดันขึ้น รีบไล่บุตรชายเพียงคนเดียวออกไป เกรงว่าตนจะลงไม้ลงมือมากกว่านี้

“จะไปไหนก็ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”

“ยินดีครับ” ค้อมศีรษะแล้วรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าเขาทำเหมือนไม่เจ็บ แต่ความจริงกรามเกือบโยกตามแรงตบของบิดาด้วยซ้ำ ไม่รู้ท่านจะโมโหอะไรนักหนาหรือเป็นเพราะฝ่ายนั้นยกเลิกสัญญาเรื่องธุรกิจ

นึกในใจอย่างฉงนระหว่างเดินออกจากบ้าน ก่อนเท้าหนักจะหยุดชะงักเมื่อพบมารดาเดินเข้ามาหา พร้อมเรียกชื่อลูกชายด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“ช้าง”

“คุณแม่ไปไหนมาเหรอครับ” รีบยกมือไหว้แล้วถามไถ่เพราะเห็นว่าคุณปวีณอรเพิ่งลงจากรถตู้คันใหญ่ของบ้าน ทว่าคำถามของลูกไม่เข้าโสตประสาทของแม่สักเท่าไหร่ ท่านรีบถามกลับเรื่องสำคัญที่เพิ่งทราบเมื่อไม่นาน

“หย่ากับหนูไหมจริงเหรอ ทำไมล่ะ”

“เราไม่ได้รักกัน หย่าก็ไม่เห็นแปลกเลยนี่ครับ” ตอบตามความจริงแต่ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นมาตรฐาน เขามั่นใจและแน่วแน่กับความคิดเป็นอย่างมากว่าหัวใจไม่มีปาลิตา ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามรักหล่อนเด็ดขาด

“แต่มันเพิ่งผ่านไปสี่เดือน แม่สงสารหนูไหม” แค่มาแต่งงานกับชายที่เป็นแฟนของพี่สาวก็โดนคนนินทาแล้ว ยังต้องหย่าทั้งที่แต่งงานไม่ถึงครึ่งปีอีก

“เลิกตอนนี้ดีกว่ายืดเวลาออกไป เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางรักเธอ...ผมขอกลับบ้านนะครับคุณแม่” ตัดบทอย่างรวดเร็วแล้วยกมือไหว้เพื่อเป็นการบอกลา ไม่ต้องการคิดเรื่องปาลิตาหรือได้ยินชื่อของหล่อนอีกต่อไป

เขาต้องการให้เรื่องราวของเราจบลงโดยเร็วที่สุด ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป

จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยกลับบ้านเพราะไม่ต้องการเจอหน้าภรรยา ต่างจากทุกวันนี้ที่เลิกงานก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ไม่ได้แวะไปหาเพื่อนหรือนอกลู่นอกทางที่ไหน ผ่านห้องรับแขกเพื่อขึ้นไปบนชั้นสอง ตาเหลือบมองเจ้าเหมียวที่นั่งอยู่หน้าห้องครัวแล้วจ้องมาที่เขา

พลันคิดถึงช่วงเวลาที่ไปช่วยเหลือมัน โดยมีหญิงสาวในชุดกระโปรงฟูฟ่องคอยโอบอุ้มแมวตัวน้อยเอาไว้ น่าแปลกที่การไม่เห็นหน้ากัน แต่กลับทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเด่นชัดในความรู้สึกจนเขาหงุดหงิดตัวเอง

เพราะเริ่มแยกไม่ออกว่าคิดถึงปาลินหรือปาลิตากันแน่...

“คุณช้างกลับบ้านเร็วจังเลยนะคะ” แม่บ้านที่เตรียมอาหารเย็นไว้ให้เจ้านายออกมาต้อนรับพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นคำประชดหรือเปล่า เขาก็คร้านจะสนใจจึงเลือกสั่งเสียงเรียบเพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องประท้วงด้วยความหิว

“ตั้งโต๊ะให้ด้วย ฉันหิว”

“ค่ะ”

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมางานหนักจนไม่ได้ตามข่าวสารรอบตัว พอหย่าขาดจากปาลิตากลับมาโสดอีกครั้งก็มีคนเข้ามาถามบ้าง เขาเลือกจะทำหน้านิ่งไม่บอกอะไร มีเพียงเพื่อนสนิทอย่างเหมต์เท่านั้นที่พอจะทราบเรื่องราว

ส่วนมากคนโจมตีฝ่ายหญิงว่าต้องการแต่งงานกับแฟนเก่าพี่สาวแต่ถูกเขาเขี่ยทิ้ง เคยเห็นหล่อนไปโรงพยาบาลไม่แน่ใจว่าพบแพทย์เพื่อปรึกษาสภาพจิตใจหรือเปล่า อยากพูดให้อาชาไนยฟังแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ต้องการทราบข่าวของภรรยาเก่า

เลิกรากันแล้วก็อยากตัดให้เด็ดขาดไม่ต้องรับรู้เรื่องราวของกันและกันอีก

“เมี้ยว”

“เมี้ยว” เสียงเจ้าแมวตัวน้อยร้องดังเหมือนอยากเรียกให้เขาสนใจ ดวงหน้าคมจึงก้มมองแล้วกลับมารับประทานอาหารต่อ คิดว่ามันจะหยุดร้องแล้วเดินหนีไปเอง ทว่าเขาคงคิดผิดเพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่ร้องประท้วงไม่หยุด

“ไปกินข้าวของแกสิ”

“เมี้ยว”

“กินไปเถอะ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ” คนใจแข็งกลับยอมใจอ่อนให้แมวลายวัวที่เคยเอ่ยปากอย่างหนักแน่นว่าไม่ชอบ แต่วันนี้กลับแบ่งเนื้อปลาราคาแพงให้มันกินจนตัวเองแทบไม่ได้แตะ เขาหยิบสลัดผักมากินสลับกับมองเอลล่าที่จัดการปลาเนื้อส้ม

“ผักสดดี ซื้อมาจากตลาดเหรอ” กินสลัดผักจนเกลี้ยงแล้วเรียกแม่ครัวมาเก็บจาน เขาใช้โอกาสนั้นถามอีกฝ่ายถึงผักที่ตนรับประทานเข้าไปจนหมด

“แปลงผักหลังบ้านที่คุณไหมปลูกไว้ค่ะ กำลังงามเลย” ดวงหน้าคมเรียบเฉยยามได้ยินชื่อของอดีตภรรยา เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนแม่บ้านต้องรีบเก็บจานชามออกจากห้องอาหาร เหลือเพียงเจ้านายหนุ่มหล่อกับแมวเหมียวที่นั่งเลียขาตัวเองหลังกินปลาจนหมด จากนั้นค่อยเดินสะบัดก้นเข้าห้องครัว ทิ้งร่างสูงไว้เพียงลำพัง

“คุณช้างจะให้เก็บห้องของคุณไหมหรือเปล่าคะ”

“ไม่ต้อง เอาไว้แบบนั้นแหละ...แค่หากุญแจมาล็อคก็พอ” เขายังคงนอนห้องเดิมของตัวเองไม่ได้เข้าไปยุ่งกับห้องของปาลิตาที่ถูกปิดตาย ไม่มีคนเข้าไปใช้มีเพียงแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดห้องไม่ให้ฝุ่นเกาะก็เท่านั้น

อาชาไนยทำเหมือนมีเยื่อใยแต่ไม่ยอมไปตามเธอกลับมา จนทุกคนสับสนกับความรู้สึกของเขา ไม่รู้อีกฝ่ายคิดอะไรกันแน่

“ยังไงเธอก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ครึ่งหนึ่ง เป็นเพราะเธอทำให้ฉันได้ออกจากกรงที่ขังเอาไว้” พึมพำกับตัวเองแล้วเดินขึ้นชั้นสองอย่างรวดเร็ว การแต่งงานที่ทุกคนได้ผลประโยชน์แต่ปราศจากความรัก มันควรจบลงสักที

5 ปีผ่านไป

แต่ละเดือนมักจะมีวันที่ครอบครัววัฒนารุ่งเรืองเลือกมารับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านใหญ่ ลูกหลานส่งเสียงดังวิ่งเล่นกันไม่หยุด หลังจากที่อากงและคุณย่าจากโลกนี้ไป คุณฉันท์ทัตก็ขึ้นกุมบังเหียนธุรกิจในเครือของวัฒนารุ่งเรืองทั้งหมด กลายเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ตามระบุในพินัยกรรม

ถึงพวกเขาจะเป็นครอบครัวคนจีน แต่ฝั่งคุณย่าเป็นคนไทยผู้ดีเก่าจึงได้รับวัฒนธรรมไทยค่อนข้างเยอะ จนแทบไม่มีความเป็นจีนสักนิด

บิดาของเขามีพี่น้องทั้งหมดสามคน ยังไม่รวมรุ่นลูกและหลานที่เยอะจนเก้าอี้เกือบไม่พอนั่ง ถึงชายหนุ่มจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผู้สืบทอดกิจการ แต่น้าและอาคนอื่นก็มีลูกที่อายุพอๆ กับเขา ซึ่งตอนนี้มีหลานให้อุ้มเรียบร้อยแล้ว

คนที่โสดก็เห็นจะมีแต่อาชาไนยกับปวัตร...

“นั่นรูปเด็กที่ไหน” เดินผ่านลูกพี่ลูกน้องพอดีจึงเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่เป็นรูปปวัตรกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เห็นเด็กน้อยจากทางด้านหลังไม่ได้เห็นหน้า จึงไม่ทราบว่าน่ารักมากแค่ไหน

“ลูกสาวผมเองครับ” รีบตอบวาจาฉะฉานราวกับกลัวบางอย่าง

“หือ...นายไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“แค่อยากเป็นน่ะครับ แต่เหมือนแม่เขาไม่อยากให้ผมเป็นสามีเนี่ยสิ” บอกเสียงเบาไม่ค่อยมั่นใจจนร่างสูงนึกเห็นใจ ถึงได้ให้กำลังใจคนที่อายุไม่ค่อยห่างจากตนเท่าไหร่ ทั้งตอนนี้ยังโดนมารดาพูดกรอกหูไม่หยุดเรื่องคู่ครอง

แต่ปวัตรกลับไม่สนใจใคร เอาแต่ทำงานของตัวเองอย่างเดียว มีวันหยุดยาวก็หายหน้าหายตาไปหลายวัน กลับมาอีกครั้งพร้อมของฝากจากเมืองเหนือ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มารดาของเขาเล่าให้ฟังทั้งสิ้น จึงสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจไปติดใจสาวดอย

“สู้หน่อย เดี๋ยวก็ชนะใจ” เงยหน้ามองอาชาไนยนิ่ง ราวกับต้องการจะหาว่าคนตรงหน้ามีดีอย่างไร ทำไมใครบางคนจึงยังรักปักใจไม่เสื่อมคลาย

“ขอบคุณที่แนะนำครับ ผมก็หวังว่าสักวันจะเอาชนะใจเขาได้เหมือนกัน เพราะผมแอบชอบเขามานาน...นานมากแล้ว” น้ำเสียงเจือความน้อยใจจนเขาต้องให้กำลังใจอีกครั้ง การแอบรักก็ไม่ได้แย่เสมอไป บางทีปวัตรอาจสมหวังก็ได้

“ฉันเชื่อว่านายจะต้องสมหวัง”

“ครับ”

โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงที่ลูกพี่ลูกน้องของตนหลงรักเป็นใคร...

“สองพี่น้องคุยอะไรกัน...กินผลไม้หน่อยสิจ๊ะ” คุณน้าเดินมาเสิร์ฟผลไม้เอง พวกเขาจึงยิ้มแล้วรับจานมาวางไว้บนโต๊ะ ถึงจะไม่ค่อยได้คุยหรือสนิทสนม แต่ก็สามารถนั่งพูดคุยเรื่องทั่วไปได้ อย่างเช่นงานที่แสนวุ่นวายของปวัตร พร้อมล้วงความลับว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงชอบไปภาคเหนือนัก

ทว่ายังไม่ทันจะได้รู้เรื่อง คุณฉันท์ทัตก็เดินเข้ามาแตะบ่าบุตรชายแล้วกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน เพราะเรื่องที่จะพูดค่อนข้างสำคัญ

“ช้าง มาคุยกันหน่อย” ร่างสูงบอกลาน้องชายแล้วเดินตามท่านเข้ามาในบ้านหลังงาม เลือกเปิดประตูห้องทำงานแล้วปิดลงเสียงเบา

หลังจากที่คุณย่าจากไปแล้วมอบทุกอย่างให้อยู่ในความดูแลของฉันท์ทัต ก็ได้อาชาไนยเข้ามาช่วยงานและเริ่มงานบริหารอย่างเต็มตัว เมื่อก่อนเขารับเพียงแค่งานควบคุมการก่อสร้างเท่านั้น ทว่าตอนนี้ได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทควบด้วย ทำให้บนบ่าต้องแบกรับภาระหนักกว่าเดิม

“คุณพ่อมีอะไรครับ”

“โครงการที่เชียงใหม่ ฉันว่าจะให้แกเป็นคนรับผิดชอบ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย งานที่มีก็ล้นมือแล้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องส่งเขาไปดูแลงานที่อื่นด้วย

“กำจรเป็นดูแลอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือพ่อไม่เชื่อใจเขา”

“ฉันให้คนไปสืบเรื่องประมูลก่อสร้างอาคารครั้งก่อน พบว่ากำจรเป็นคนเอาข้อมูลทุกอย่างของบริษัทเราให้คู่แข่ง จนเราพลาดงานคราวนั้น” ยังคงโกรธแค้นไม่หายที่พลาดงานใหญ่ระดับประเทศให้บริษัทคู่แข่ง จึงให้คนตามสืบเงียบๆ จนรู้ตัวคนทำผิด

คิดจะลงโทษให้สาสมจึงหย่อนเบ็ดรอให้เหยื่องับเล่น พร้อมส่งลูกชายที่ไว้ใจได้ไปดูแลงานสำคัญแทน ซึ่งอาชาไนยไม่ใคร่อยากจะไปสักเท่าไหร่

“ทำไมไม่จับส่งตำรวจ”

“ส่งทำไม...ขยี้เองแล้วค่อยโยนเป็นอาหารจระเข้ดีกว่า” สำหรับคุณฉันท์ทัตแล้วอยากเห็นคนที่ทรยศต้องหมดหนทาง ทั้งอยากสาวไปถึงตัวนายใหญ่เพื่อใช้หลักฐานหมัดอีกฝ่ายให้แน่นหนา จะได้รู้ว่าอย่ามาเล่นกับคนอย่างเขา

“พ่อส่งเอกสารมาให้ผมแล้วกัน แต่งานอื่น...”

“เดี๋ยวฉันส่งให้คนที่ว่างทำแทน แกก็รู้ว่างานที่เชียงใหม่ค่อนข้างเร่ง แล้วมูลค่าก็สูง ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากแก” บิดาเอ่ยปากเองอย่างนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า นอกจากตอบรับเพื่อให้ท่านสบายใจ

“ครับ”

สงสัยงานนี้ต้องห่างบ้านไปหลายสัปดาห์ แล้วอย่างนี้เจ้าแมวตัวป่วนของเขาจะอยู่อย่างไรล่ะ...

รถยนต์คันใหญ่ที่เหมาะแก่การขับขึ้นลงเขาจอดหน้าร้านกาแฟที่ไม่ค่อยมีคนเข้า ขึ้นเครื่องบินมาตั้งแต่เช้าเพื่อรับรถแล้วขับมาดูสถานที่ ตอนนี้อาคารหลังใหญ่ก่อสร้างไปได้กว่าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งมีปัญหาเรื่องวัสดุมาโดยตลอดจนเขานึกสงสัยว่าทำงานกันอย่างไร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จึงพลาด

มารู้ทีหลังว่าไม่ได้พลาดแต่ตั้งใจใช้วัสดุไม่ดีเพื่อจะได้ยักยอกเงินของบริษัท แทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำงานมานานจะหักหลังกันอย่างเจ็บแสบ

ถอดแว่นตาสีชาที่สวมบดบังแสงตรงหน้าแล้วเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านข้าง ก้าวเท้าเข้ามาในร้านที่เพิ่งเปิด กวาดสายตามองรอบร้านที่เป็นปูนเปลือยแล้ววาดภาพทับผนัง ลายเส้นสวยพอสมควรแต่เขาไม่มีเวลามาชื่นชมการตกแต่ง

“อเมริกาโน่เย็นหนึ่งแก้วครับ” เดินไปสั่งเครื่องดื่มอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวเองตื่น คาเฟอีนเข้าไปในร่างกายอาการง่วงน่าจะหายไป

“รอสักครู่นะคะ” จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วจึงพยักหน้า ค่อยเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างสำหรับลูกค้าที่รอรับเครื่องดื่มกลับบ้าน ยกมือขึ้นกอดอกระหว่างนั้นรอแล้วใช้โอกาสนี้มองรอบร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย พื้นที่ไม่กว้างแต่กลับดูโล่งสบายตา

แต่ที่ทำเขาทึ่งคือราคาของกาแฟที่ถูกกว่าปกติ แม้จะใช้เครื่องชงที่ราคาเกือบสองแสนก็ตาม เขาคิดว่าร้านน่าจะขายของเพื่อเอาสังคมมากกว่าหาผลกำไร

“พี่จ๋า! เห็นน้องไหมคะ” มองตามเสียงเล็กที่ดังทำลายความเงียบ

“ไม่เห็นค่ะ”

หนูน้อยหน้าตาน่ารักสวมชุดเอี๊ยมสีเหลืองพร้อมกอดตุ๊กตาเป็ดตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ผมสองข้างถักเปียอย่างเรียบร้อย กำลังเดินตรงเข้ามาหาหนุ่มร่างใหญ่ที่ไม่คุ้นหน้าค่าตา

“คุณลุงขา เห็นน้องหนูไหมคะ” อาชาไนยถึงกับงุนงงไม่เข้าใจกับคำถาม แต่เขาก็ไม่อยากถามย้ำจึงเลือกตอบแบบขอไปที ซึ่งน้ำเสียงค่อนข้างกุกกักไม่ค่อยเป็นตัวเอง

“ไม่ ไม่เห็น...” ส่ายหน้าพลางมองหนูน้อยที่หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คุ้นอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“น้องพิมพ์ น้องอยู่หลังบ้านค่ะ”

“โอ๊ะ หนูไปหาน้องก่อนนะคะ” พอได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งออกทางด้านหลังของร้าน หายไปอย่างรวดเร็วหลงเหลือเพียงเขาที่ทำได้แค่มองตามสุดสายตา นึกเอ็นดูเด็กหญิงขึ้นมาครามครันจนเผลอยกยิ้มมุมปาก

“อเมริกาโน่ได้แล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ลุกขึ้นไปรับแก้วน้ำสีเข้มมาดื่มแล้วเปิดประตูออกนอกร้าน ไม่ทันหันมามองเจ้าของร้านที่เดินเข้ามาจากทางด้านหลัง

พวกเขาจึงได้สวนกันราวกับพรหมลิขิตที่ไม่อนุญาตให้พบเจอ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel