บทที่ 8 โลกของเราสองคน
เวลา 8.00 คนินรีบมารับการิตาซึ่งเธอก็เตรียมตัวพร้อมด้วยชุดลำลองกางเกงยีนส์เข้ารูป กับเสื้อยืดสีโอโรสตัวใหญ่ที่มัดชายไว้ข้างๆ พร้อมเสื้อคลุมสีขาวทับไว้อย่างเก๋ๆ แม้จะดูธรรมดาแต่สำหรับคนินมันดูสบายตามากกว่าและน่ารักแบบใสๆ ซึ่งดีกว่าแบบจัดจ้านเป็นไหนๆ
“เป็นไงคุณ สวยพอที่จะนั่งข้างคุณได้ยัง” ว่าพลางหมุนตัวลิ่วๆ จนร่างเล็กปลิวเข้าสู่อ้อมแขนคนร่างใหญ่
“ความสวยพอได้ แต่ความซุ่มซ่ามไม่ไหวเลย” เขาว่าอย่างขำๆ พลางพยุงให้เธอยืนได้สะดวก
“ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่คุณบอกว่าสวยก็ปลื้มแล้ว” จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นรถสปอร์ตสีดำเป็นมันวาวสุดหรูทันที ซึ่งเขาก็ตามไปอย่างทันทีเหมือนกัน
“จะไม่ถามเหรอจะพาไปไหน” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นเธอเอาแต่กินขนมอย่างไม่หยุดปาก และไม่มีทีท่าว่าจะคุยอะไรกับเขา
“ถ้าอยากให้รู้ขนาดนั้น ก็พูดมาเลยสิคุณ” เสียงที่เหมือนมีอะไรในปากว่าอย่างไม่ยอมเคี้ยวให้หมด จนเขาต้องส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กของเธออีกครั้ง
“เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” แล้วก็ยื่นน้ำให้อย่างห่วงๆ
“ขอบคุณค่ะ” การิตารับน้ำมาดื่มอย่างรวดเร็ว “ตกลงคุณจะพาไหนเหรอ?”
“ขอบคุณที่ถาม”
“เอ๊ะคุณนี่ยังไง” การิตาว่าพลางกระเง้ากระงอด “นั่งรถเล่นไปเรื่อยๆ วิวสวยๆ ก็ถ่ายรูป บรรยากาศดีๆ ก็นั่งพักรับลม โอเคมั้ย” เธอพยักหน้าน้อยๆ เหมือนเข้าใจ
“คุณเคยมาทำอะไรแบบนี้กับผู้หญิงที่คุณรักบ่อยมั้ย” ทำไมเธอถึงถามอะไรแบบนั้นออกไปนะ เดี๋ยวเขาก็หาว่าก้าวก่ายหรอก ไม่รู้ดิมันอดคิดไม่ได้ว่าเขาเหงามากจนอยากมีเพื่อนแก้เหงา เธอห้ามเผลอไผลคิดไปเองมากนะ การิตา!
“กฎอีกของข้อของผมคืออยู่กับผมห้ามเอ่ยถึงผู้หญิงคนอื่น” คนินว่าอย่างเฉียบๆ ด้วยท่านิ่งๆ
“คนอื่นที่ไหน...” ต้องชะงักแค่นั้นเมื่อสบเข้ากับสายตาที่บ่งบอกอารมณ์ใต้ดวงตาคมที่ล้อมกรอบด้วยขนตายาวเป็นแพนั่น
“เวลาผมอยู่กับคุณ โลกของผมก็มีแต่ผมกับคุณเท่านั้นจำไว้” เวลาคุณอยู่กับคนอื่นก็เป็นโลกที่มีคุณกับคนคนนั้นเหมือนกันล่ะสิ
การิตาเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะพูดไปรังจะมีแต่ยืดเยื้อเพราะเขาคงไม่ยอมใครง่ายๆ เหมือนกัน จนกระทั่งรถคันหรูมาจอดเทียบที่ทุ่งดอกไม้แห่งหนึ่งที่มีผู้คนเดินไปมาอย่างขวักไขว่
“โห สวยจัง” การิตาทำหน้าดีใจจนเหมือนลืมเรื่องที่เหมือนข้องใจกับไว้ไปจนหมดสิ้น เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่คิดมากแต่ลืมง่าย ซึ่งคนินก็ไม่ได้พูดอะไรเขาเดินนำเข้าไปอย่างรวดเร็วแทบจะเหมือนไม่รอด้วยซ้ำ
“คุณควายหายรึยังไง เดินไม่มีการรอเลยนะ” น้ำเสียงงอนๆ ทำเอาเขาชะงักการเดินก่อนหันมามองอย่างเฉยๆ
“คุณโกรธฉันเหรอ?” เขาไม่ตอบแต่เดินไปจนถึงที่ที่เหมือนมีคนจัดเตรียมอะไรไว้ให้แล้ว ซึ่งเธอก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย โดยไม่วายตามไปนั่งใกล้ๆ เขาเหมือนง้อๆ อยู่ในที
“สัญญาได้มั้ยว่าจะไม่พูดแบบนั้นกับผมอีก”
“พูดถึงคนอื่นตอนอยู่ด้วยกันน่ะเหรอ”
“บุคคลที่สามที่ไม่น่าจะเอ่ยนั่นแหละ” เธอพยักหน้าเข้าใจก่อนรีบดูของกินที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างน่ารัก
“โอ้โห มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นของชอบฉันเลย คนเตรียมน่ารักอะไรอย่างนี้เนี่ย”
“ก็คนมันอยากเป็นคนรู้ใจนี่นา” หัวใจของการิตาสั่นระรัวอย่างกับกลองที่กระหน่ำอย่างเมามัน ต่างตรงที่ว่าหัวใจแทบไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว
“คุณนี่มันเจ้าชู้ใช้ได้นะเนี่ย” การิตาสูดกลิ่นแซนวิชสอดไส้สับปะรดจนเต็มปอด จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าทำไมชีวิตเขามีสิทธิ์ได้หัวเราะบ่อยอะไรขนาดนี้ด้วยเหรอ
“แล้วแต่จะคิด” ซึ่งการิตาก็ไม่ได้สนใจอะไรจัดการของกินตรงหน้า โดยไม่สนใจว่าโดนถ่ายรูปไปตั้งเท่าไหร่
“คุณตอนเด็กๆ ขนมอะไรที่คุณชอบที่สุด” เขามองด้วยสายตาที่แบบว่า ‘ถามถึงขนมในขณะที่ขนมไม่หมดเนี่ยนะ’ ซึ่งเจือปนไปด้วยความเอ็นดูมากมาย
“ไม่มี”
“แม่คุณไม่เคยทำขนมให้กินเลยเหรอ สู้แม่ฉันไม่ได้ทำจนฉันหน้าบานเป็นกระทะเลย ฮ่าๆ” เธอว่าอย่างเฮฮา โดยที่เขามีความหม่นในแววตา
“แม่ผมเหรอ? เวลาทั้งชีวิตคงอยู่แต่กับการช่วยเหลือสังคมมากกว่าดูแลลูก เพราะลูกยังไม่สำคัญเท่าคนอื่น” การิตาอึ้งสักพักเพราะแววตาที่สะท้อนความเจ็บปวดของเขามันเหมือนน้ำแข็งที่เกาะหัวใจน้อยๆ ของเธอไว้
“ไม่หรอกมั้งคุณ มันเป็นงานของท่านรึเปล่า ท่านทำงานอะไรเหรอ”
“พยาบาล”
“นั่นไง เป็นพยาบาลก็ต้องดูแลคนไข้ได้บุญเยอะแยะดีออก ฉันยังอยากเรียนเลยแต่สมองมันไม่ถึงน่ะสิ ฮิๆ”
“หึ ได้บุญ? คนที่รับบาปคือผม คนที่ครอบครัวตัวเองยังเอาไม่รอดคิดว่าจะช่วยใครให้ดีขึ้นได้อยู่หรอก”
“แต่แม่คุณก็ทำมันได้ดีนี่ใช่มั้ย” การิตาพยายามพาเขามองในมุมที่ดีของแม่เขาบ้าง
“จนต้องแยกทางกับพ่อ พ่อผมเป็นนายทหารไทยที่เพื่อประชาชนจนหน้าหมั่นไส้ คุณรู้มั้ยผมเกลียดพวกข้าราชการทั้งหมดเลยให้ตายสิ” แววตาแห่งความขมขื่นฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“หน้าคุณบ่งบอกว่าอิตาเลียนชัดๆ ทำไมพ่อคุณเป็นทหารไทย”
“ผมเป็นลูกติดท้องแม่น่ะ พ่อแท้ๆ ผมเป็นนักเขียนภาพของอิตาลีมีเชื้อสายกรีกด้วย ส่วนยายผมก็มีเชื้อสายจีน ผมก็เลยออกมาปนเปไปทั่ว” คนินยังไม่มีทีท่าว่าจะลบภาพเหล่านั้นได้
“แล้วคุณผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจได้ไงอ่ะ” คนินได้เพียงแต่ยิ้มให้กับคำถามโดยไม่ได้ตอบ แต่เธอก็ไม่ได้คิดคาดคั้นเอาคำตอบ เพราะถ้าเขาไม่อยากพูดเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้มันเหมือนกัน
“บ้านคุณทำงานอะไร” อยู่ๆ คนินก็โพร่งขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน สายตาคมก็ยังคงทอดไกลเหมือนกำลังหาจุดลงจอดของการมองเห็น แต่มันดูเลื่อนลอยจนเหมือนไม่มีทางเป็นไปได้
“ทำไร่บ้านนอกคอกนา” การิตาว่าอย่างแววตาเปล่งประกาย “บ้านฉันมีธรรมชาติสวยงาม มีควายด้วยนะคุณเคยเห็นเปล่า”
“ไม่” การิตามองเขาอย่างประหลาด “เสียชาติเกิดเลยจริงๆ คุณเนี่ยไม่เคยเห็นควาย” คนินได้แต่เพียงยิ้มๆ
“แล้วคุณจะช่วยผมกู้ชาติหน่อยมั้ยล่ะ”
“ขอคิดดูก่อนนะ เพราะว่า...สวรรค์บ้านนอกของฉันเนี่ยไม่ใช่ว่าใครจะไปก็ได้”
“ขนาดนั้นเชียว” แววตาของคนินเปล่งประกายเหมือนเห็นแสงสว่าง เพราะว่ารอยยิ้มที่เหมือนยิ้มทั้งใจและดวงตาของการิตามันทำให้เขารู้ว่าแสงตะวันสว่างและอบอุ่นแค่ไหน
“จริงๆ นะคุณ ยิ่งคุณเห็นตอนหมอกสีขาวล้อมรอบความเขียวสดของหุบเขา อื้อหือฉันไม่อยากจะบอกว่ามันให้ความรู้สึก...เหมือนกับปลดปล่อยอะไรออกไปอย่างนั้นเลย”
“แล้วทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่ที่สวรรค์ของคุณ”
“มนุษย์เรามักก็จะเป็นแบบนี้แหละ แสวงหาไม่มีคำว่าพอซึ่งฉันก็เป็นมนุษย์พันธุ์แท้ซะด้วย แต่ก็ดีนะอย่างน้อยเหนื่อยๆ ฉันก็กลับไปพักที่สวรรค์ได้ เพราะบางคนเขาอาจจะไม่มีแม้สวรรค์ให้ได้พักเวลาเหนื่อยด้วยซ้ำ” คนินพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ว่าคฤหาสน์ของพ่อหรือแม่ หรือแม้แต่ของตัวเองเขาไม่เคยกล้าเอ่ยว่ามันคือสวรรค์เลยซักครั้ง
“ฉันว่าเราเลิกเครียดเหอะไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันดีกว่า” และไม่มีรอให้เขาถามว่า ‘สนุก’ ของเธอมันคืออะไร ซึ่งทำได้เพียงแค่ขับรถไปยังที่หมายให้เท่านั้น
คนินและการิตาหลังจากไปเที่ยวสวนสนุกถ่ายรูปกันแบบขำๆ ก็ต่างคนต่างเพลีย หลังจากที่เขากลับไปแล้วเธอก็บอกกับตัวเองเบาๆ ว่า อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตฉันเคยมีนาทีแบบนี้กับคุณ มันก็คือสุดยอดปรารถนาของสาวสามัญชน ที่เคยคิดอาจเอื้อมเทพบุตรอย่างคุณ คนิน!
