บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 เรื่องระหว่างเราสองคน

บรรยากาศหลังเลิกงานเป็นไปอย่างอึมครึมเมื่อการประชุมเรื่องเปลี่ยนผู้บริหารของรายการ และเปลี่ยนที่สำคัญคือการเปลี่ยนรายการในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่รายการทางการแพทย์เหมือนเมื่อก่อน สำหรับการิตาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะไม่ว่าจะรายการไหนเธอก็สามารถทำงานที่เรียนมาได้ปกติ แต่ที่หน้าตกใจและใจหายแทนคือพิธีกรและเหล่านักคิดเกี่ยวกับรายการทางการแพทย์ที่เกิดการต่อต้าน จนเธอรู้สึกว่ากำลังอยู่ในสนามรบมาหมาดๆ และสถานการณ์ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง

การิตาเดินอย่างเลื่อนลอยไปตามริมฟุตบาทเพื่อเรียกแท็กซี่สักคันกลับคอนโด เธอยังไม่กล้าซื้อรถแม้ผู้เป็นพ่ออาสาออกรถให้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการขึ้นแท็กซี่หรือนั่งรถเมล์ เพราะระยะทางระหว่างคอนโดกับที่ทำงานถือว่าไกลกันพอสมควร แต่แล้วร่างบางในชุดทำงานที่ตามใจท่านของเธอที่ใส่สบายๆ กระโปรงสีครีมยาวกรอมเข่า กับเสื้อเชิ๊ตสีขาวสะอาดตาดูธรรมดาแต่กลับสะดุดตาเจ้าของรถสปอร์ตสีดำคันหรูทันทีที่เห็น จึงบีบแตรเรียกพร้อมจอดเทียบตัวเธออย่างรวดเร็ว

การิตาเอะใจกับเสียงแตรที่เธอไม่แน่ใจว่าเรียกเธอหรือเปล่า แต่พอได้พบใบหน้าคมเข้มที่เธอคิดถึงทั้งวัน ตอนที่เขาลดกระจกลงแล้วก็ระบายยิ้มออกมาน้อยๆ

“ขึ้นมาสิคุณ” การิตาขมวดคิ้วสงสัยกับการชวนของเขา

“ชวนฉัน?”

“เร็วสิ ตรงนี้เขาห้ามจอด” ได้ผลเธอรีบกุลีกุจอขึ้นรถทันที เพราะเธอไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ซึ่งไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าของรถคันที่เธอก้าวขึ้นไปนั่งกำลังมองมาอย่างขำๆ กับท่าทางของเธอ

“ทำไมคุณถึงผ่านมาทางนี้ได้” เธอเอ่ยถามขึ้นเมื่อรถแล่นออกมาสักพัก

“บริษัทผมอยู่ถัดจากบริษัทคุณไม่ถึงสองป้ายรถเมล์หรอก” การิตาพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วคุณกำลังจะไปไหนเหรอ” เธอถามอย่างซื่อไม่คิดอะไรมาก ซึ่งเขามองว่าแตกต่างจากที่รู้จักกันครั้งแรก ไม่น่าเชื่อเด็กไร้เดียงสาแบบนี้เคยชวนเขาขึ้นเตียงมาแล้ว

“มาชวนคุณไปกินไอศกรีม”

“เฮ้ย จริงดิหน้าอย่างคุณเนี่ยนะ”

“ทำไม? กินไอศกรีมต้องใช้หน้ากินด้วยเหรอ”

“ก็ฉันไม่เห็นว่าหน้าคุณจะปัญญาอ่อนตรงไหน” เธอว่าพลางควานหากระจกในกระเป๋าถือสีดำใบเขื่อง

“แล้วมันเกี่ยวกับปัญญาอ่อนยังไง” เขาเริ่มส่ายหัวให้กับผู้หญิงข้างๆ เธอคนนี้มีอะไรให้ค้นหาเยอะสินะ

“ก็เวลาฉันชวนพวกนั้นมากินไอศกรีม ก็มักจะหาว่าฉันปัญญาอ่อนโดยเฉพาะไอ้วันเวย์นะ หาเหตุผลมาเล่าให้ฟังเยอะแยะว่าโตแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ทำตัวยิ่งกว่าพ่อตลอด” การิตาไปยิ้มไปเพราะกำลังนึกขำ

“เวลาอยู่กับผมห้ามพูดถึงผู้ชายคนอื่นเข้าใจมั้ย” คนินตีหน้านิ่งน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยังดูเรียบๆ เหมือนไม่มีอะไร

“ผู้ชายอื่นที่ไหนเพื่อนฉันตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนะคุณ” คนินตวัดสายตาคมอย่างเคืองๆ ก่อนเหยียบคันเร่งบ่งบอกอารมณ์ที่มาคุ เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ

“คุณกำลังจะบอกว่าผมเป็นคนอื่น”

“คุณพูดเหมือนคุณงอนฉันเลยนะเนี่ย” เขาส่ายหน้าก่อนที่จะเลือกปิดปากเงียบตลอดทางจน การิตาเริ่มอึดอัด

“นี่คุณจะพาฉันไปกินไอศกรีมห้างไหน” รอยยิ้มสดใสส่งให้คนินเริ่มคลายอารมณ์ไม่ดีลงได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบ เธอจึงสงบปากไปตลอดทางเพราะกลัวว่าเขาจะโกรธ ถ้าเขาโกรธขึ้นมาเธออาจจะไม่ได้เจอเขาอีกก็ได้นะการิตา

เมื่อร่างสูงที่แสนเพอร์เฟคกับสาวร่างบางที่แสนธรรมดาดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองอย่างแปลกใจ ว่าทำไมผู้หญิงที่โคตรธรรมดารู้จักกับเทพบุตรเทวดาคนนี้ได้อย่างไร เขาพาเธอก้าวเข้าไปในร้านไอศกรีมในห้างหรูย่านกลางเมืองที่มีป้ายร้านตัวอักษรสีแดงสด ‘Ice Sweet Club’ ความจริงเขาไม่เคยเข้าร้านนี้ด้วยซ้ำ เพียงแค่รู้ว่าเธอชอบกินไอศกรีม เขาก็ให้เลขาจองร้านที่ดีที่สุดให้

“ว้าว วานิลลา! พี่คะทำไมถึงเป็นสีน้ำเงินล่ะคะ?” การิตาเอ่ยถามพนักงานบริกรเสียงใสราวกับเด็กห้าขวบ รอยขมวดคิ้วดูน่ารักน่าชัง

“เป็นสูตรพิเศษของทางร้านค่ะ เราผสมน้ำดอกอัญชันที่สกัดกลิ่นเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็นเมณูฮอตของที่นี่ตามที่คุณสั่งมาน่ะค่ะ” การิตายิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าสั่งตอนไหนเพราะตอนที่มานั่งก็มีคนมาเสิร์ฟเลย ครั้นจะถามเขาก็ได้รับเพียงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลับมา แต่เธอก็หาได้สนใจเพราะไอศกรีมที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า

ทางฝ่ายคนินเมื่อเห็นว่าสาวน้อยกำลังมีความสุขกับการกินไอศกรีมเขาก็ได้แต่มองเพลินด้วยสายตาที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ามันอ่อนโยนแค่ไหน

“ทำไมคุณไม่กินล่ะ อร่อยๆ ทั้งนั้นเลยนะ”

“กลัวคุณไม่อิ่ม”

“ก็ซื้ออีกสิ คุณดูท่าจะรวยนี่นาเป็นถึงเพื่อนของแซมมี่” การิตาตักช้อนไอศกรีมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ไม่รู้ตัวว่าปากเลอะไปด้วยไอศกรีม คนินเห็นดังนั้นจึงยื่นใบหน้าเข้าไปหาอย่างช้าๆ พร้อมกับมองตาหยีที่กำลังเบิกกว้างเชิงสงสัย ก่อนใช้ปลายลิ้นเช็ดที่ริมฝีปากเบาๆ ทำเอาการิตาตัวแข็ง ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำอะไรอย่างนี้ได้

“ไอศกรีมร้านนี้อร่อยนะคุณว่ามั้ย” คนินมองตาเธออย่างล้อๆ ซึ่งตอนนี้เธอแทบทำหน้าไม่ถูกแก้มใสเป็นสีเรื่ออย่างเด่นชัด

“ไหนคุณบอกว่ากลัวฉันไม่อิ่มไง ทำไมต้องแย่งฉันกินด้วย” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จนเขาไม่แน่ใจกับตัวเองว่ากำลังนั่งอยู่กับบัณฑิตใหม่ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว

“หึๆ คุณนี่มันไร้เดียงสาเป็นบ้าเลย” คนินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ไร้เดียงสานี่คุณหมายถึงเรื่องบนเตียงของเราน่ะเหรอ” การหัวเราะต้องชะงักลงแค่นั้น เขามองเธออย่างไม่อยากเชื่ออีกครั้ง

“นี่คุณคิดเรื่องระหว่างเราอยู่เหรอ”

“คิดสิ เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าคุณฉันก็นึกถึงเรื่องอับอายของตัวเองในวันนั้นตลอดเลย”

“มันไม่ประทับใจคุณสักหน่อยเลยเหรอ” เขาว่าอย่างล้อๆ จนเธอต้องฟาดเข้าที่แขนด้วยความขวยเขิน

“คุณนี่มันบ้าตลอด ทำให้ฉันอายได้อยู่เรื่อย” คนที่กำลังเขินพูดอย่างไม่มองหน้า

“ก็เวลาคุณเขินมันน่ารักนี่”

“เหรอ? ไม่เห็นมีใครเคยชมฉันสักคน”

“น่ารักสำหรับผมคนเดียวก็ดีแล้ว” ใบหน้าสีเรื่อก็ร้อนผ่าวหนักกว่าเดิมอีกระรอก

“ไม่เอาแล้วกินไอศกรีมดีกว่า เดี๋ยวฉันป้อนคุณเอง” ไอศกรีมรสมะนาวสีเลมอนก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผู้ชายที่ไม่เคยชอบกินไอศกรีมเลยมาทั้งชีวิต

“ถ้าคุณไม่กิน ฉันโกรธ!” แววตาที่พยายามทำหน้าเหี้ยมทำเอาเขาเผลอหัวเราะ เพราะมันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะที่เจ้าของแววตานั้นฉวยเอาไอศกรีมสีเลมอนเข้าปากเขาพอดี

“หือ? คุณ” เขาครางอย่างอยากจะเอาคืน

“เป็นไงอร่อยป่ะ” เธอว่าพลางตักเข้าปากตัวเองบ้าง เขาเลยถือโอกาสนำไอศกรีมที่เหลือป้ายลงบนใบหน้าของสาวน้อย ซึ่งเธอก็ไม่ยอมเหมือนกันกลายเป็นการเล่นสงครามไอศกรีมไปโดยปริยาย เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังได้เล่นของเล่นที่ถูกใจ นานเท่าไหร่แล้วที่แกไม่ได้หัวเราะแบบนี้ คนิน!

หลังจากสนามรบสงบลง คนินก็พาการิตามาส่งที่คอนโดของเธอ ซึ่งเธอก็กำลังง่วนหิ้วข้าวของลงรถโดยไม่สนใจแม้จะลาเขา

“จะไม่ชวนผมเข้าไปกินกาแฟหน่อยเหรอคุณ” เขาเอ่ยอย่างลอยๆ

“ห้องฉันไม่มีกาแฟหรอก ฉันไม่ชอบดื่มมันขม” ความซื่อทำเอาเขาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ผมหมายถึงจะไม่ชวนผมเข้าห้องหน่อย เหรอ ได้กินน้ำเปล่าก็ยังดี” เธอพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงอนุญาต

“ห้องฉันอาจจะดูรกไปหน่อยนะคุณ” การิตารีบแจ้งเพราะกลัวเขาเอากลับไปนินทาว่าเธอเป็นผู้หญิงซกมก

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ห้องผมก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่”

“ก็คุณเป็นผู้ชายนี่ แถมโสดห้องก็ต้องเป็นแบบนั้นเป็นธรรมดา” น้ำเย็นถูกวางลงตรงหน้าคนิน อย่างเรียบร้อย

“ผมไม่เคยคิดแบ่งแยกนี่ ผู้ชายกับผู้หญิงก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่ที่ความชอบใครมัน” เขาว่าอย่างไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการแบ่งว่าผู้ชายต้องเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงต้องเป็นอย่างนี้

“แต่แม่ฉันก็สอนมาตลอดเลยนะว่าเป็นผู้หญิงเราต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดี ปรนนิบัติสามีต้องดูแลบ้านช่องให้สะอาดเสมอ”

“แต่คุณก็ไม่ได้น้อมนำมาปฏิบัติ”

“ถูกต้องนะคร๊าฟฟฟ” เธอหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจกับคำพูดของเขา

“แต่เรื่องปรนนิบัติสามีนี่ผมซีเรียตนะ”

“ยังไงเหรอ?”

“ก็คุณต้องปรนนิบัติผมอย่างดีไงล่ะ” คำพูดที่ดูมีเลศนัยทำเอาแก้มใสเป็นสีเรื่ออีกรอบ

“บ้าเหรอคุณ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อย”

“แน้ คุณลืมเหรอนี่ผมต้องย้ำอีกใช่มั้ย” เขาว่าพลางก้าวเข้ามาหา จนเธอแทบกรี๊ด

“คุณกลัวผมเหรอ” เขาว่าอย่างอ่อนโยนจนเธอไม่เข้าใจตัวเองว่ารู้สึกยังไงกันแน่

“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากกลับไปมีความรู้สึกผิดอีก แค่นี้ฉันก็ไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่แล้ว”

“เด็กน้อยเอ้ย ผมก็แค่ล้อเล่น” เขาว่าพลางลูบหัวเธอเบาๆ

“ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ แม้ว่าเราอาจเคยมีความสัมพันธ์กันเกินเลยไปแล้ว แต่ฉันก็อยากเริ่มต้นรู้จักคุณใหม่ในมุมมองที่ดีกว่าครั้งนั้น มันอาจฟังดูงี่เง่าแต่ฉันแค่ไม่อยากเป็นผู้หญิงไม่ดี ตลอดชีวิตฉันก็ไม่เคยมีดีอะไรสักอย่าง...ก็แค่อยากมีความภูมิใจหลงเหลืออยู่บ้าง” น้ำใสๆ เริ่มเอ่อที่ขอบตาหยี

“ผมเข้าใจ ไม่เอาน่าอย่าร้อง” เจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนไล้นิ้วมือเรียวค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม

“สัญญาสิว่าคุณจะไม่รังแกฉันอีก”

“สัญญาครับ” เขาค่อยๆ กอดปลอบอย่างอบอุ่นซึ่งการิตาก็เพิ่งเข้าใจว่าการมีใครสักคนปกป้องมันเป็นแบบนี้นี่เอง จนลืมนึกไปว่าเขาอาจจะมีใครที่เป็นของเขาอยู่แล้วก็ได้

หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยกันหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องชีวิตประจำวันยันหางว่าวและเขาก็แนะนำอะไรหลายอย่างเพื่อให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นซึ่งเธอก็เต็มใจรับฟังและจะทำตาม

“วันเสาร์ผมว่าง ไปเที่ยวกันนะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเหมือนจะอ้อน จนการิตาต้องละสายตาจากการจัดหนังสือให้เข้าที่ เพราะเขาแนะนำว่าหนังสือถ้าจัดให้เรียบร้อยมันก็จะน่าอ่านมากขึ้น

“นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะว่าง” ได้ที การิตาก็ยักคิ้วให้เขาอย่างบอกให้เขารู้ว่า เธอเลียนแบบ

“คนน่ารักก็มักใจร้ายแบบนี้สินะ” ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนส่งสายตาอ้อนที่น่าสงสารให้คนที่ทำหน้ายุ่งอยู่ตรงกองหนังสือ

“ไม่ต้องมาแกล้งยอหรอก ฉันรู้ตัวดีพี่ชายฉันบอกว่า ผู้ชายที่ชมผู้หญิงบ่อยน่ะเจ้าชู้”

“ฮื้อ พี่ชายคุณนี่หวงน้องสาวใช่ย่อยเหมือนกันแฮะ” คนินลุกจากโซฟาสีครีมไปนั่งข้างๆ เธอแบบแทบชิด

“รู้ว่าพี่ชายฉันหวงคุณก็ยังกล้ามานั่งชิดฉันขนาดนี้เนี่ยนะ”

“ผมไม่เคยกลัวอะไรหรอกในชีวิตเนี้ย”

“ขอให้มันจริง พ่อฉันเนี่ยปืนโตใช้ได้เลยนะคุณและสมุนเพียบ”

“นี่แสดงว่าคุณเปิดใจรับผมแล้วสินะ” การิตาอุทานเบาๆ เมื่อรู้ตัวว่าพลาด ก่อนเบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างรวดเร็วเมื่อเขาทำท่าว่าจะจับคางมนให้ไปเผชิญหน้า

“ไปพบพ่อคุณวันไหนกันดี” แล้วคนินก็ทำสำเร็จเขาทำให้คนหน้าแดงมาเผชิญหน้าจนได้

“บ้าเหรอคุณ เพิ่งรู้จักกันเอง คุณเป็นคนยังไงทำงานอะไรฉันยังไม่รู้เลย”

“แล้วทำไมไม่ถาม”

“ฉันคิดว่ามันไม่สำคัญนี่ เพราะยังไงเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน” คนินพยักหน้ายิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พลางเลือกหนังสือดูว่าคนอย่างการิตาอ่านแนวไหนบ้าง

“คุณชอบอ่านหนังสือไหม” การิตาถามอย่างกระตือรือร้น

“อือ...ก็ชอบมั้งส่วนใหญ่ก็การตลาดอะไรทำนองนั้น นักธุรกิจไม่ค่อยได้อ่านอะไรที่มันคลายเครียดหรอก”

“โห่ย ชีวิตก็ Sad กันหมดพอดี” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนพบหนังสือนิยายเล่มใหญ่ที่มีตัวหนังสือเขื่องๆ สลักอยู่ที่หน้าปก ‘เจ้าชายยอดรัก’

“คุณชอบอ่านนิยายเหรอ” คนถูกถามขมวดคิ้วส่ายหน้าก่อนแย่งมันมาจากมือเขา ก่อนนั่งหัวเราะอย่างแสนขัน

“ทำไม? มันเป็นนิยายตลกเหรอ” เธอส่ายหน้าอีกและหัวเราะหนักขึ้น

“ถ้าคุณไม่หยุดหัวเราะผมจูบคุณจริงๆ ด้วย” เห็นท่าที่จะเอาจริงการิตาต้องชะงักอย่างเบรกหัวทิ่ม

“ก็ฉันนึกถึงตอนสมัยเรียน ม.ปลายน่ะ นิยายเล่มนี้ฉันรวมเงินซื้อกับไอ้น่านมัน ว่าไปชีวิตมันก็เป็นเหมือนในนิยายจริงๆ” คนพูดทำหน้าเหมือนย้อนเข้าไปในห้วงอดีต

“ผมไม่เข้าใจ”

“แหงสิก็คุณมันเครียดตลอดนี่ เอางี้เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง” การิตาก็เริ่มเล่าว่านิยายเรื่องเจ้าชายยอดรัก เป็นเรื่องที่นางเอกเป็นคนธรรมดาหน้าตาไม่เท่าไหร่ ได้เข้าช่วยเหลือเจ้าชายจนเจ้าชายขอแต่งงานเป็นเรื่องราวที่น่ารักมาก จนคนเล่าเล่าไปยิ้มไปทำเอาคนฟังขำอยู่ลึกๆ ในใจ ว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่ามันเขี้ยวมากๆ

“สุดท้ายไอ้แซมก็กลายเป็นเจ้าชายของคุณน่าน” คนินต่อให้อย่างรู้งานเมื่อเธอเล่าจบ

“เก่ง! สุดยอด” เธอปรบมือให้เขาแปะๆ เหมือนเด็กๆ

“แล้วเจ้าชายของคุณล่ะอยู่ไหน” เขาถามเสียงมีเลศนัยหน่อยๆ

“โอยคุณ คุณรู้อะไรมั้ยหลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบฉันกับไอ้น่านไม่คุยกันเป็นอาทิตย์” เมื่อเขาทำหน้าฉงนเธอก็เล่าต่อ

“ก็เพราะว่าฉันค้านว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่แต่ในนิยายชีวิตจริงมันไม่มีหรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไอ้น่านค้านหัวชนฝาบอกว่าสักวันมันจะเป็นแบบนั้นบ้างให้คอยดู ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกเพราะคิดว่าไม่มีทางแน่ๆ”

“ก็เลยโกรธจนไม่พูดกัน” เขาต่อให้อย่างรู้งานอีกครั้ง

“แต่สุดท้ายไอ้น่านมันก็ได้อย่างที่มันเชื่อ และฉันก็ไม่ได้อย่างที่ฉันเชื่อ ไม่รู้สินะฉันคิดว่าผู้ชายที่เพียบพร้อมหล่อ รวย เก่งเขาต้องการผู้หญิงที่สวย รวย เก่งนิสัยดี ดูฉันสิ...ฉันอาจจะอยากได้ผู้ชายที่เพอร์เฟคขนาดนั้นเหมือนกันแต่...ฉันไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควร ในโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ต้องเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” การิตาเอ่ยอย่างเศร้าๆ จนใจหนึ่งเขาอยากคว้าตัวเธอมากอดให้หายเศร้า แต่อีกใจก็อยากจับมาตีก้นที่คิดอะไรแบบเด็กๆ

“แล้วถ้าผมทำให้คุณเป็นไปได้ล่ะ”

“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณมันหล่อเลือกได้อาจจะพูดเพราะยังไม่เบื่อฉันเท่านั้นเอง”

“นี่คุณคิดว่าความรักมันเป็นเรื่องหยาบขนาดดูกันแค่ภายนอกที่ฉาบเอาไว้งั้นสิ”

“ใช่ เพราะฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าคุณไม่หล่อฉันคงไม่เดินไปขอมีอะไรกับคุณหรอก”

“นั่นมันไม่เรียกว่าความรักหรอก สักวันคุณจะเข้าใจมันเอง”

“ฉันมีโอกาสแบบนั้นด้วยเหรอ”

“อยู่ที่คุณจะเปิดรับมันหรือเปล่าต่างหาก”

“คุณเคยมีแฟนมากี่คน” เธอถามเพื่อหลุดออกจากเรื่องโอกาส เพราะหลายครั้งที่เธอไม่เคยยื่นมือเข้าไปรับโอกาสจริงๆ สาเหตุ? เธอไม่เคยรู้เลย

“ไม่เคยนับ แต่ที่ผมรักมีคนเดียว” ประโยคที่เอ่ยคำว่ารักของเขา การิตารู้สึกได้ถึงความคิดถึงมากมายในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้น

“เธอเป็นผู้หญิงที่ผมคิดว่าจะอยู่ไปด้วยตลอดชีวิต แต่ผมก็ทำให้เขาหลุดมือไป” น้ำเสียงแสนเศร้าทำเอาหัวใจของการิตาไหวหวั่น นี่เขาคงรักเธอมากสินะ ฟังแล้วจำให้ลึกๆ เลยนะการิตาจะได้ไม่เผลอคิดไปเองบ่อยๆ

“ทั้งๆ ที่คุณไม่มีทางจะลืมเธอสักวินาที”

“หึ ช่างมันเหอะผมไม่คู่ควรกับความรักของเธอจริงๆ นั่นแหละ” ทำไมฉันรู้สึกอิจฉาเธอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่คุณรักขึ้นมาแล้วสิ” การิตาว่าด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ค่อยสดใสเหมือนแรกๆ

“เหมือนคุณเครียดๆ ขึ้นเลยนะ เป็นไรรึเปล่า”

“เอ๋ เหรอ? ฉันมีท่าทีแบบนั้นเหรอ” คนินยิ้มแล้วยีหัวเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู เขาคงจะเหงาจนทำอะไรในทำนองที่เหมือนจะมีใจ ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรหรอกน่า การิตา!

“ผมจะกลับแล้ว ตกลงจะไปมั้ยเที่ยว”

“ที่ไหนเหรอคะ?”

“ตามใจผมเป็นไง”

“แล้วมันที่ไหนกันล่ะ”

“ไปเดี๋ยวก็รู้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel