บทที่ 6 สัญญาณอันตราย
หลังจากงานเลี้ยงเลิกราทุกคนก็มัวแต่สนใจกับงานเบื้องหน้าที่กำลังรออยู่ การิตาก็เช่นกันงานกำลังจะเริ่มทำเป็นงานที่ถือว่ากดดันมาก เพราะผู้จัดการฝ่ายการควบคุมเสียงของรายการเป็นผู้ชายที่เนี๊ยบ อย่าบอกใคร เธอเลยต้องทำงานแบบกลั้นหายใจที...ทำงานที ผู้จัดการที่ใครๆ ก็เรียกว่า 'ลุงเกรียม' โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ ที่มาของฉายาเพราะเป็นคนผิวเข้มมากนั่นเอง
“สวัสดีค่ะพี่แอ๋ม” การิตาเอ่ยทักทายรุ่นพี่ที่เธอคุ้นอยู่บ้างตอนมาฝึกงานที่นี่
“มาแต่เช้าเชียวนะ เป็นไงบ้างไปพักผ่อนมา”
“ก็ดีค่ะสนุกดี” เธอตอบอย่างยิ้มเหมือนเด็กเกรงใจผู้ใหญ่
“พาดหนังสือพิมพ์เลยนี่ข่าวของน่านกับเจ้าของห้างดัง แหมพี่เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้” เธอตาพริ้มเหมือนเป็นตัวเองที่โดนขอแต่งงาน
“นั่นสิคะ ถ้าถึงวันงานพี่แอ๋มห้ามพลาดนะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ต้องไปเตรียมตัดชุดตั้งแต่วันนี้เสียแล้วสิ ฮ่าๆ” พี่แอ๋มของการิตาเป็นผู้หญิงร่างเล็กแลดูบอบบางแม้จะล่วงเลยวัยเจริญพันธุ์มาแล้วแต่กลับยังดูสาว คงเป็นเพราะอารมณ์ที่ดีสม่ำเสมอของหล่อนนั่นเอง เหตุที่แอ๋มรู้จักกับน่านราตรีเพราะทั้งสองเคยเจอกันแล้วตั้งแต่ตอนที่ การิตาทำงานอยู่ที่นี่
เมื่ออาหารมื้อเที่ยงลุล่วงไป ซึ่งมื้อนี้เป็นการกินที่เรียบง่ายคือก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ซึ่งเพื่อนกินข้าวของเธอคือนะนารีเพื่อนใหม่ที่ที่ทำงานแห่งใหม่แห่งนี้ แม้ไม่ได้มาฝึกงานด้วยกันแต่ความสนิทก็ก่อตัวอย่างไม่ยาก แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อมีดอกกุหลาบสีชมพูเข้มช่อโตวางอยู่บนโต๊ะทำงาน เธอไม่รีรอหยิบการ์ดเล็กๆ สีขาวมาอ่านทันที ‘หวังว่าคุณจะชอบ’ ไม่แม้แต่จะบอกกันหน่อยรึไงว่าใคร ฉันมันยิ่งโง่ๆ อยู่จะรู้อะไรมั้ยเนี่ย
“ว้าว สวยจังใครส่งมาให้อ่ะ” นะนารีรีบหยิบกุหลาบขึ้นมาดูอย่างพินิจ
“แพงด้วยอ่ะ เราเคยเห็นพี่ชายซื้อให้แฟนไม่ต่ำห้าพัน กุหลาบพันธุ์เนี้ย” การิตาตกใจกับราคาที่ได้ยิน เพราะตั้งแต่เกิดมากุหลาบสักกลีบก็ไม่เคยได้ แล้วจะหวังอะไรกับช่อละห้าพันขนาดนี้
“ฉันไม่รู้นะว่าโรคจิตที่ไหนส่งมา ฉันโง่จนนึกไม่ออกจริงเหรอเนี่ย”
“โถ ไม่หรอกเขาอาจจะแอบชอบแกอยู่ นึกดีดีสิว่าใครที่อยู่ใกล้ตัวหรือเคยรู้จักอะไรแบบนี้”
“จากที่ฉันเล่าเกี่ยวกับตัวฉันให้แกฟัง แกน่าจะรู้นะว่าไม่น่าเป็นไปได้” การิตาพยายามนึกแต่สมองที่กลวงบ้างเล็กน้อยของเธอไม่ได้ช่วยให้มีอะไรผุดขึ้นมาได้
“เอาน่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้นะ” การิตาได้แต่พยักหน้าไปตามเรื่อง เพราะงานตรงหน้าสำคัญกว่า
หลังเลิกงานการิตาก็นัดออกมาเจอกับ ทิชางามซึ่งเธอมั่นใจว่าเพื่อนจะต้องช่วยเธอได้
“อะไรนะ? ให้ตามหาคนซื้อดอกไม้ช่อนี้”
“เออดิ ช่วยหน่อยฉันไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ” ทิชางามในมาดของกุ๊กชื่อดังของโรงแรมกฤษณะเวอร์ล กำลังเพ่งมองดอกกุหลาบที่เพื่อนเธอมองว่ามันประหลาด
“แต่ฉันว่าของใครแกก็รับไปเหอะน่า นานๆ ทีมีเข้ามา”
“ฉันรู้สึกเหมือนมันคาใจไงไม่รู้ช่วยฉันมากๆ หน่อยนะ” ทิชางามเผลอหัวเราะกับท่าทีเด็กๆ ของเพื่อน
“แกจะรู้ตัวมั้ยว่าแกมันไร้เดียงสาได้น่ารักมาก” คำพูดของทิชางามเหมือนกับจุดประกายอะไรบางอย่างให้กับการิตา ‘คุณนี่มันไร้เดียงสาดีแฮะ ผมชักชอบ’ คำพูดนั้นกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งหรือจะเป็นเขา เพื่ออะไร?
“ฉันรู้แล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ” ไม่ทันจะพูดอะไรได้ต่อคนนั่งก็มองตามคนวิ่งออกไป โดยที่งงกว่าตอนแรกอีก
เสียงเตือนข้อความดังทำให้การิตามองอย่างประหลาดใจ เพราะรู้สึกว่าสองปีที่ผ่านมาไม่เคยได้รับข้อความอะไรเลยนอกจากวันสำคัญต่างๆ แต่วันนี้ไม่น่าจะเป็นวันสำคัญใดๆ สักนิด
‘ชอบมั้ยกุหลาบ’ เธอไม่รีรอตอบกลับทันที
‘คุณเป็นใคร’
‘แย่จัง จำกันไม่ได้’
‘ก็ฉันไม่ได้มีตาทิพย์นี่ ที่จะรู้ว่าใครทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้า หรือเสียง’ หลังข้อความนั้นถูกส่งไปก็ไม่ได้รับข้อความอีก เธอรู้สึกว่าตัวเองมองน้าจอทุกๆ สามวินาที
แล้วเสียงเรียกเข้าที่นานๆ จะดังทีก็ดังขึ้นจนเธอต้องสะดุ้ง เพราะลืมไปแล้วว่าตั้งเสียงอะไรไว้ อะไรกับฉันนักหนาเนี่ย ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง
“สวัสดีค่ะ การิตาพูดค่ะ”
“ผมเราท์เตอร์ หรือคนิน แต่ผมว่าคนินเพราะกว่านะคุณเรียก คนินแล้วกัน” การิตาพยายามข่มน้ำเสียงเล็กน้อย
“ส่งกุหลาบมาให้ฉันทำไม”
“ให้คุณเรียนจัดดอกไม้มั้ง”
“ทำไมต้องเรียนฉันไม่อยากจะจัดเป็นอยู่แล้ว” ทำเอาคนินอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินจนหลุดหัวเราะ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าผมประชดเหรอเนี่ย
“โอเค งั้นผมให้คุณเอาไปปลูกแล้วกัน”
“ปลูกได้ด้วยเหรอ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย”
“เอาเถอะคุณ ไม่รู้จะจบตอนไหน” เธอเงียบไปสักพัก “แล้วทำอะไรอยู่”
“ก็เรื่อยๆ ฉันเพิ่งเลิกงาน”
“อิจฉา” เสียงทุ้มต่ำทำเอาเธอวูบวาบไปทั้งตัว
“คุณยังไม่เลิกเหรอ”
“ผมมีประชุมต่อสามทุ่ม ตอนนี้ก็กำลังเคลียร์เอกสาร” เธอย่นหน้ากับสิ่งที่ได้ยิน เขาเป็นคนอยู่รึเปล่านะ
“งั้นคุณทำงานไปเถอะ ส่วนดอกไม้ฉันจะเอาไปทอดกินแล้วกัน”
“เฮ้ย คุณทอดได้เหรอ”
“ก็น่าจะได้นะ”
“ดอกไม้ที่มีแต่สารพิษเนี่ยนะ ไม่รู้ล่ะกุหลาบผมต้องอยู่ในสภาพดีไม่งั้น ผมก็จะจับคุณเด็ดกลีบเหมือนกุหลาบเลยคอยดู” เขาร่ายยาวอย่างไม่ค่อยจริงจัง ลองพูดเหมือนคนไม่มีความคิดบ้างก็คงจะรู้สึกดีนะ คนิน
“คุณส่งดอกไม้ให้ฉันแบบนี้ไม่ดีนะ คุณก็กำลังจะเป็นแฟนบาล์มแบบนี้ฉันไม่โดนข้อหามือที่สามอีกแย่หรอ”
“ผมชอบบาล์มด้วย? แต่ไม่รู้สิผมอยากส่งให้คุณ”
“ส่งมาให้ฉันมันก็ไม่ดีไรขึ้นหรอก เพราะฉันก็เป็นฉันที่ไม่ชอบดอกไม้อยู่วันยังค่ำ” เขาทำเสียงในลำคอเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวอะไร
“ก็ผมจะส่ง”
“ตามใจ ฉันขี้เกียจค้านแล้ว” นาฬิกาสีเดิมที่แขวนอยู่บอกเวลาพอสมควร “คุณแค่นี้นะ”
“จะไปทำอะไร”
“ก็กำลังจะไปซักผ้า ทำงานบ้านแล้วคุณก็เข้าประชุมด้วย”
“สั่งอย่างกับแม่ โอเคหวัดดีครับ” พอวางสายรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นจากคนทั้งคู่ ความรู้สึกดีมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
