บทที่ 2 เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง
หลังจากที่คนินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ก็ไม่พบเจ้าของร่างที่เย้ายวนใจเขาทั้งคืนแล้ว เขาใจหายวาบพยายามเรียกหาแต่ไร้ซึ่งวี่แวว ทำให้เลือดในกายที่สงบพลุ่งพล่านราวน้ำพุร้อนกลางแสงแดดระอุ ...แม่เสือสาวนี่คุณอยากลองดีกับผมงั้นสิ! ได้แล้วเราได้เจอกันแน่...
“แกอยู่ไหนวะ” คนินยกโทรศัพท์แนบหูเมื่อเสียงเรียกเข้าดัง เพราะเขาปิดเครื่องตั้งแต่เมื่อคืนเสียงข้อความ สายที่ไม่ได้รับเป็นร้อยสายก็เลยกรูกันเข้ามาราวกับรอชิงรางวัลอะไรซักอย่าง
“มีอะไร” ตามแบบฉบับเจ้าชายเย็นชา มาดของเขาก็ให้ความจริงกับคำกล่าวนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
“งานเลี้ยงค่ำคืนสุดสำคัญและพิเศษสำหรับฉัน” แซมมี่เพื่อนชายวัยเดียวกันที่เขาให้ความสนิทที่สุดเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เหมือนกับว่าคุ้นเคยกับตัวตนของเขามากพอ
“ฉันไม่มีทางลืมหรอก”
“ดี งานนี้สาวๆ เขาจะได้ไม่เก้อกัน” แซมมี่หัวเราะโดยไม่เกรงใจ “โดยเฉพาะสาวไทยใสบริสุทธิ์ที่ฉันพร้อมภูมิใจถวายพานให้แกเลย เราท์เตอร์!”
“ฉันอาจจะตามไปช้าสักหน่อย มีเรื่องนิดหน่อย” เสียงสงบตามแบบฉบับแต่ทว่าเพื่อนรักอย่างแซมมี่ก็สังเกตถึงน้ำเสียงแห่งความเป็นกังวลได้
“เรื่องของนายเหมือนจะสำคัญมากนะเนี่ย”
“มากๆ ต่างหาก”
“ว้าว อย่างนี้ชักอยากรู้แล้วสิว่าสาวนางใด” คนินเหลือบมองนาฬิกาแขวนสีทองราคาไม่ต่ำสิบล้าน ที่แขวนอย่างสง่าอยู่ข้างฝาสีเทาอ่อนระเรื่อ ก่อนตัดบทวางสายไป พลางคิดไปถึงว่าแม่เสือสาวของเขาตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนและเขาจะตามหาเธอเจอหรือไม่ แต่เขามั่นใจว่ายังไงเธอไม่มีทางหลุดมือไปได้
การิตา หลังจากที่กลับมาถึงห้องก็อาบน้ำนอนเหมือนไม่ได้นอน โดยการส่งข้อความไปบอกเพื่อนรักอย่าง น่านราตรี ว่าเธออาจจะโผล่ไปสักเกินเที่ยง แม้งานเลี้ยงจะเริ่มคืนนี้ก็เถอะ ขอนอนดีกว่า ไม่น่าเชื่อว่าการมีอะไรกับผู้ชายนี่มันทำให้เหนื่อยจนตัวแทบขาดเป็นชิ้นๆ ขนาดนี้ แล้วทำไมฉันต้องไปคิดถึงคุณด้วยเนี่ย
“หือ มาสายโด่งแบบนี้แกไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ’ ก๋ากั่น’ ” พินยา หรือ พินนี่เพื่อนหนึ่งคนในแกงค์สนิทเอ่ยอย่างหยอกๆ เมื่อเห็นเพื่อนสาวเข้ามาในบ้านของน่านราตรี ในสภาพที่แบบว่า...ถ้าแกมีแฟนฉันฟันธงว่าแกไปมีอะไรกับผู้ชายมาแน่ๆ เธอลอบคิดอย่างขำๆ
“ก็กะว่าอย่างนั้น แต่กลัวโดนตัดออกจากเพื่อนประจำชีวิตของยัยน่านน่ะสิ” การิตาว่าพลางหาวหวอดใหญ่ก่อนทรุดลงบนโซฟาสีฟ้าสดซึ่งเป็นสีโปรดของเจ้าของบ้าน
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องนอนเลยนะมาช่วยฉันจัดดอกไม้นี่มันจะบ่ายสองโมงอยู่แล้ว” พินยาแทบกรี๊ดกับท่าทางที่แบบว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนของเพื่อน
“แล้วพวก น่าน บาล์ม ปริม ทิวลี่ วันเวย์ ยังไม่มาอีกหรอ?”
“โอ๊ยยังหรอก คุณน่านเธอก็ไปทำผมตั้งแต่เช้าโน่น พวกยัยบาล์มกับปริมก็ไปแต่งสวยกันตามเรื่อง ส่วนทิวลี่คงไปจัดการเรื่องอาหารอยู่ทางโรงแรมคุณกฤษโน่นมั้ง วันเวย์มันก็ยังไม่เสร็จงาน ฉะนั้นแกเป็นคนเดียวที่ต้องช่วยฉัน” พินยาร่ายยาวโดยไม่ได้หยุดการจัดดอกไม้ ส่วนเจ้าของคำถามก็ยังคงนั่งตาปรือเหมือนจะหลับซะให้ได้
“จัดดอกไม้เนี่ยนะแกก็รู้ว่าฉันไม่ได้เรื่อง”
“ถ้าคิดแบบนั้น แกก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดีเพราะตั้งแต่คบกันมาแกไม่เคยทำอะไรไม่ได้เรื่องสักกะอย่าง"
“นั่นไง! ก็ไม่ต้องให้ฉันทำ ฉัน...เพลียๆ อ่ะ” ประโยคหลังเธอพูดไม่เต็มเสียงนัก
“หือ? แกไปทำอะไรมา” พินยาวางดอกไม้สวยในมือแล้วเดินมาจ้องเพื่อน ที่กำลังนั่งตาปรือแบบว่าหน้าเริ่มเป็นสีระเรื่อ
“ก็...ไปผับอ่ะแดนซ์เยอะไปนิดส์” การิตายอมรับว่าพูดความจริงแต่ไม่ทั้งหมด ขืนให้ยัยพินนี่รู้มีหวังตายก่อนวัยอันควรแน่ฉัน ไม่ทันได้แต่งงานจริงๆ แน่
“แน่ใจเหรอ ฉันดูท่าแล้วเหมือน...ช่างมันเหอะอย่างแกไม่หน้าเป็นไปได้” การิตาลอบถอนหายใจ พร้อมกับส่งเสียง ‘เยส!’ เบาๆ ในใจ รู้สึกภูมิใจใจปมด้อยก็วันนี้นี่แหละวะ
“งั้นฉันให้แกพักไปเหอะ แล้วนี่เตรียมชุดมาด้วยแล้วป่ะ”
“หือ ต้องด้วยเหรอแค่งานครบรอบเป็นแฟนกันมา ห้าปีของยัยน่านนะ ไม่ใช่งานฉลองบวชลูกชายมัน” การิตาส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจความเวอร์ของความรัก เธอไม่ชอบอะไรที่มันดูยุ่งยาก ซึ่งใครๆ ในกลุ่มก็บอกว่า ‘เปิ่น เชย ไร้ความรู้สึก’ สมควรที่ขึ้นคาน
“ก็แกมันไม่เคยมีแฟนจะเข้าใจได้ไง ว่าการที่เราจะมีใครสักคนข้างๆ มันดีแค่ไหน ยิ่งความรักที่มีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แบบนี้ ยิ่งน่ายินดีใหญ่ ...แกคงตายด้านและขึ้นคานแบบนี้ตลอดไปแน่ๆ ว่ะ” เมื่อเห็นว่าการิตาทำหน้าเหนื่อยหน่ายกับคำพูดของตัวเอง เธอก็ลงท้ายประโยคสุดท้ายด้วยการขำเบาๆ
“จ้า แม่คนมีคู่ ฉันมันไม่มีนี่ เชอะ!” เธอว่าอย่างไม่จริงจังก่อนล้มตัวนอนอย่างกับตายสนิท ภาพนี้สร้างรอยยิ้มในแววตาของพินยา เธอเอ็นดูเพื่อนอย่างการิตาหรือ ก๋าเสมอ และเธอคิดว่าใครๆ ก็คิดแบบเธอเพราะเป็นคนที่กล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่คิดว่าใช่ และมักทำให้คนอื่นหัวเราะกับคำพูดที่ใครๆ ก็ไม่กล้าพูดของเธอ ที่สำคัญความเปิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
“โอ๊ย!!” เสียงร้องอย่างดังของการิตาทำให้กลุ่มเพื่อนสนิทที่เริ่มทยอยมาช่วยกันจัดเตรียมงานที่กำลังจะเริ่มในเวลา 19.00 วิ่งกรูมาที่โซฟาสีฟ้าสดอย่างพร้อมเพรียง กลุ่มเพื่อนสนิทที่ว่าคือ บารีน่าหรือบาล์ม ปาริตาหรือปริม ทิชางามหรือทิวลี่ วัชราหรือวันเวย์ และพินยา ขาดก็แต่เจ้าของบ้านอย่างน่านราตรีที่ยังมาไม่ถึงเพราะมัวแต่อยากสวยที่สุดในงาน
“แกเป็นอะไรของแกไอ้ก๋า” ปาริตาว่าอย่างไม่ทันมอง
“เฮ้ย แกยังไม่เลิกนอนขี้เซาอีกเหรอเนี่ย ฮ่าๆ” บารีน่าสาวสวยที่สุดในกลุ่มเอ่ยอย่างขำๆ พลางพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้น ซึ่งเจ้าตัวหน้าตายังไม่ได้ตื่นสักนิด
“ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะ ดูแลตัวเองหน่อยสิ” วัชราเพื่อนชายคนเดียวในกลุ่มที่ถือว่าแมนมากเอ่ยอย่างเครียดตามแบบฉบับ
“แหมๆ ออกอาการเชียวนะพ่อหนุ่มของพวกเรา ฮิ้ว” ปาริตาเป็นแกนนำโห่แซวนำความสนุกสนาน ใครๆ ก็ทราบดีว่าเขาเป็นผู้ชายที่ห่วงใยเพื่อนทุกคน จึงไม่ค่อยมีใครคิดว่าเขาคิดมากกว่าเพื่อนกับการิตา มีแต่การแซวเรียกเสียงเฮฮาเท่านั้น
“นอนทำไมที่โซฟา แล้วไปทำอะไรมาถึงนอนไม่รู้เรื่องแบบนี้” คำว่า ‘ไปทำอะไรมา’ ทำเอาวัวสันหลังหวะอย่างการิตาชะงัก! ซึ่งถ้าเป็นปกติเธอต้องเถียงคำไม่ตกฟากแน่นอน ทำเอาเขาแปลกใจ
“อะไรกันเนี่ยเพื่อนเจ็บรึเปล่าไม่มีใครถามกันเลยรึไง ไหนๆ ดูหน่อยสิอะไรหักบ้าง” ทิวลี่ว่าพลางสำรวจอาการเพื่อน โดยแทรกระหว่างวัชรากับการิตาออกจากกัน
“ไม่เป็นไรมากหรอก ฉันมันก็ชินไปกับเรื่องแบบนี้ไปตั้งนานแล้ว” คนพูดได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะเธอรู้สึกไม่ดีตั้งแต่คำถามของวัชราแล้ว ซึ่งเขาก็คอยสังเกตพฤติกรรมตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกเราจะได้หมดห่วงนี่ยัยน่านก็ยังไม่กลับมาเลย รีบๆ ไปแต่งตัวกันดีกว่างานใกล้เริ่มแล้ว แขกไฮโซๆ ทั้งนั้น” พินยารีบกระตุ้นเพื่อนๆ ทันที
“ใช่ๆ คืนนี้ฉันต้องหายโสดให้ได้!” ปาริตาว่าด้วยสายตาแวววาว เธอเป็นคนผิวขาวสวยร่างที่สูงโปร่งรับกับหุ่นอย่างกับนางแบบมืออาชีพหลังจากเลิกกับแฟนไปได้ไม่ถึงเดือน เธอก็เริ่มเดินหน้าหาแฟนใหม่ทันที โดยถือคติว่า ‘ผู้ชายหาง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก’ ซึ่งต่างกับการิตาลิบลับการหาแฟนเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
“ฉันไม่ดีกว่า โสดแบบนี้สบายดี คบหลายๆ คนก็ดีไม่ต้องกลัวแฟนจับได้” บาล์มพูดด้วยทีท่าปกติ เธอเป็นคนสวยที่เต็มไปด้วยความน่ารักผสมกับสายเลือดอิตาลีในกายทำให้ดูสวยแบบหาจับตัวยาก นิสัยที่ดูเข้ากับคนง่ายทำให้เป็นคาสโนวี่ดีเริ่ดไปอีกแบบ แตกต่างกับการิตาอีกแล้วไม่ได้โสดดูดีขนาดนั้น แม้ไม่ได้ขี้เหร่เวอร์แต่ก็ไม่ได้สวยสะดุดตา แบบว่าธรรมดา...สามัญชน
“แต่ได้ข่าวว่าเพื่อนแซมมี่คนนี้ระดับฮอลลีวู้ดยังอายเลยนะ ถ้าฉันไม่มีคุณกฤษอยู่ทั้งคนสู้ไม่ถอยแน่” ทิชางามว่าอย่างเสียดายก่อนปรายสายตาไปให้เพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่เปิ่นที่สุด “แกลองโปรยเสน่ห์ดูสิเผื่อจะได้เห็นขาอ่อนเขา ไอ้ก๋า ฮ่าๆ” คำพูดแรงๆ แบบไม่เกรงใจเป็นเรื่องปกติของกลุ่มที่ไม่มีใครถือความกัน ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“ขอบใจในความหวังดี ถ้าฉันจะขึ้นคานตลอดชีวีก็ยอม”
“แต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีไปมีอะไรกับผู้ชายใช่มั้ย แกนี่มันโบราณใช้ได้นะเนี่ย” ปาริตาไม่ทราบเลยว่าคำพูดของตนเป็นยิ่งกว่าหอกแหลมรับอย่างดี ที่ได้ทิ่มแทงจนทะลุหัวใจของเพื่อนไปแล้ว
“ช่างฉันเหอะน่า ฉันขอไปนอนต่อดีกว่า”
“ไปนอน!” ทุกคนพูดเหมือนนัดกันอย่างพร้อมเพรียง “นี่แกงานจะเริ่มแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวลงมาต้อนรับแขกเร็วเลย” พินยารีบดันตัวเพื่อนที่ทำท่าจะนอนต่อ ให้รีบขึ้นไปแต่งตัว แล้วทุกคนก็แยกไปเตรียมความพร้อมส่วนตัว
