3.3
“คุณหนูเจ้าคะ เหม่ออะไรเจ้าคะ ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ทำไมไม่เข้าเรือน” ชิงเฟยเรียก ในมือของนางเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง นางเกือบจะเข้าคฤหาสน์ไม่ได้แล้ว ดีนะที่นางพกป้ายห้อยเอวของจวนตระกูลจ้าวไว้ ไม่อย่างนั้นคงต้องนอนข้างถนน คุณหนูของนางเล่นใจร้อนสั่งให้นางลงไปซื้อของก่อนเข้าเมือง กว่าจะซื้อเสร็จก็ต้องคลำทางมาที่คฤหาสน์นี้อีก
“เข้าเรือนก่อนเถอะ” จ้าวเสวี่ยเฟิงช่วยสาวใช้ถือของ “เย่ไคกับเย่ฟงไปไหน ทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว” นางถามถึงบ่าวรับใช้คนสนิทของจ้าวจิ่นกวางและจ้าวจิ่นติ้ง
“เย่ไคออกไปทำธุระกับเย่ฟงอีกรอบเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าเป็นคำสั่งคุณชายรอง คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะเก็บไว้ที่ไหน”
จ้าวเสวี่ยเฟิงแยกของตามหมวดหมู่ ก่อนจะบอกชิงเฟยว่า “กองนี้ใส่ในตู้เสื้อผ้า ส่วนกองนี้เอาไว้ในลิ้นชักหน้ากระจก อืม...อันนี้เก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องจัดของนะ เวลาขนย้ายจะลำบาก” นางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน
“เจ้าค่ะคุณหนู แล้วคุณหนูไม่กินอาหารเย็นหรือเจ้าคะ? นี่ก็มืดแล้ว”
จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็ถอนหายใจ ทำหน้ามุ่ย รินน้ำชาที่เย็นชืดก่อนจะยกขึ้นมาจิบ “รอพี่รองกับพี่สามก่อนก็แล้วกัน เจ้ารีบทำเข้าเถอะ”
เย่ไคกับเย่ฟงเป็นเด็กที่บิดาของนางเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่นางเกิด ครอบครัวของทั้งสองถูกโรคภัยในช่วงสงครามรุมเร้า ท้ายที่สุดก็ต้องไร้บ้าน จึงตัดสินใจตามบิดาของนางกลับมายังเมืองไคเฟิง ระหว่างที่พวกนางขึ้นเขา ทั้งสองคน ไม่สิ รวมชิงเฟยด้วย ชิงเฟยเป็นสาวใช้ที่ขายตัวฝังศพบิดามารดาจากภัยสงคราม ทั้งสามคนได้รับการสอนหนังสือและถ่ายทอดวรยุทธ์บางส่วนจากแม่ทัพจ้าว ฝีมือด้านวรยุทธ์จึงเข้าขั้นยอดเยี่ยม กลายเป็นองครักษ์ควบตำแหน่งคนรับใช้ แย่หน่อยที่ชิงเฟยเป็นหญิง จึงถูกมารดาของจ้าวเสวี่ยเฟิงลากไปสอนงานบ้านงานเรือน งานของชิงเฟยนับว่าเหนื่อยที่สุด
เรื่องราวบางอย่างช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ นางมาถึงลั่วหยางได้สามวันยังไม่ทันเที่ยวทุกตรอกซอย ก็มีประกาศรับบัณฑิตจากสำนักศึกษาหมื่นอักษร มีการสอบคัดเลือกขั้นพื้นฐานเพียงแค่สามข้อ ที่เหลือเป็นการสอบขั้นพิเศษเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิชาการ จิตรกรรม การแสดง หมากล้อม การทำนาย รวมไปถึงความสามารถเชิงยุทธ์ ท้ายประกาศยังลงหมายเหตุไว้ว่า การทดสอบพิเศษเอาไว้คัดสรรเด็กให้แก่อาจารย์ผู้ดูแล
ราชสำนักในปัจจุบันมีความคิดที่ทันยุคสมัย ยอมรับข้าราชการหญิงให้ทำงานในตำแหน่งต่างๆ มากขึ้น แม้ว่าการไต่เต้าถึงระดับขุนนางขั้นหนึ่งจะเป็นไปได้ยาก แต่ตำแหน่งข้าราชการระดับสูงที่ทำงานเกี่ยวกับพิธีการและห้องเครื่องล้วนเป็นไปได้ จ้าวเสวี่ยเฟิงคิดถึงห้องเครื่องแล้วก็น้ำลายสอ ในวังมีอาหารรสเลิศมากมาย หากนางได้ชิมทุกวันคงจะมีความสุขพิลึก
แต่…สำนักศึกษาไม่ได้สอนงานครัว ความฝันของนางยังไม่ทันเริ่มก็พังทลาย แม้แต่โอกาสที่จะชิมอาหารรสเลิศจากโรงเรียนทำอาหารก็ไม่มี คิดแล้วหัวใจก็พลันห่อเหี่ยว
“เฟิงเอ๋อร์เจ้าว่าพี่สามสอบความสามารถพิเศษอะไรดี” จ้าวจิ่นกวางถาม ในมือของเขาคือประกาศรับสมัครบัณฑิตใหม่จากสำนักศึกษาหมื่นอักษร หูของจ้าวเสวี่ยเฟิงพลันได้ยินเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คน
ที่แท้นางกับพี่สามก็อยู่ในโรงเตี๊ยม เนื้อวัวตุ๋นในปากนางพลันจืดชืดขึ้นมากะทันหัน ท้ายที่สุดก็คายใส่ชาม “เฮ้อ พี่สามก็สอบให้หมดนั่นแหละ พอตอนหางานหรือสอบจอหงวนจะได้มีประวัติไว้อวดคนอื่น”
จ้าวจิ่นกวางที่กำลังจิบชาถึงกับสำลัก “จะบ้าหรือ ให้ข้าไปรำให้กรรมการดูหรือไงล่ะ!” แต่พอเห็นสายตาของคุณหนูคุณชายทั้งหลายในโรงเตี๊ยม จ้าวจิ่นกวางก็ปรับท่าทีให้สุขุมเยือกเย็นทันควัน ใช้พัดป้องปากพูดกับน้องสาวเสียงเบาว่า “น้องสี่ เจ้าต้องพูดให้คนเป็นพี่ชายเช่นข้าดูน่าเกรงขามหน่อยสิ ผู้อื่นจะได้คิดว่าข้าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว”
จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินจ้าวจิ่นกวางพูดก็คิดจะเอาพัดเคาะศีรษะพี่ชาย ทว่าจ้าวจิ่นกวางไวกว่าจึงใช้พัดปัดป้องได้ นางไม่ยอมรามือ เกร็งลมปราณหมายจะใช้ปลายพัดสกัดจุดแกล้งพี่สาม คนด้านนอกจึงมองเห็นเพียงว่ามีคุณชายฝาแฝดรูปงามผู้มีกำลังภายในล้ำลึกกำลังประมือกันโดยที่ไม่ได้ขยับตัว มีเพียงแขนขวาเท่านั้นที่ผลัดกันโจมตี ผ้าม่านโปร่งสีขาวที่เป็นฉากกั้นสะบัดไหวเพราะกระแสลมปราณของทั้งสอง
มุมหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม บุรุษหนุ่มสามคนกำลังให้ความสนใจไปยังคุณชายฝาแฝดทั้งสอง ทั้งสามคนแต่งกายเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ทั่วไป หนึ่งในนั้นกล่าวว่า
“การแสดงปาหี่ละสิ คนพวกนี้มีทุกปี” คุณชายชุดเขียวพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน เขาอายุราวสิบเก้าปี รูปร่างสูงโปร่งแบบคนทางเหนือ ดวงหน้าหล่อเหลา กรามเด่นชัด ริมฝีปากอิ่มหนายกยิ้ม จิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
คุณชายอีกคนโบกพัดในมือไปมา ชุดสีขาวของเขาโบกสะบัดตามแรงลม ประกอบกับหน้าตาหล่อเหลาราวกับหยกสลักจึงทำให้ดูสูงส่ง “เป็นผู้มีฝีมือจริง นั่นน้องสามกับน้องเล็กข้าเอง มู่หนิงเทียน”
พรวด!!!
คุณชายชุดเขียวสำลักชา ดีที่จ้าวจิ่นติ้งเอาพัดบังหน้าไว้ ส่วนคุณชายอีกคนสะบัดพัดขึ้นมาบังไว้ได้ทันท่วงที มู่หนิงเทียนรีบเอามือทุบอกพลางกล่าว “น่ะ...นั่น...น้องเจ้าหรือ” ในใจก็ร่ำร้องว่าแย่แล้ว มีปีศาจรุ่นใหม่โผล่มาทีเดียวสองตน
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม หยางหลงยังไม่เห็นตกใจเช่นเจ้า” มู่หนิงเทียนหันไปมอง ‘หยางหลง’ เจ้าตัวเพียงจิบชาอย่างสบายอารมณ์เท่านั้น ชุดสีเทาเดินดิ้นทองที่สวมดูธรรมดาเมื่อเทียบกับชุดของคุณชายตระกูลใหญ่ทั่วไป ทว่ากลิ่นอายสูงศักดิ์กลับแผ่ซ่านให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงอยู่หลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ทว่าดวงตากลับหวานซึ้ง ริมฝีปากได้รูปเป็นสีชมพูโดยธรรมชาติ ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูสูงส่งราวกับเทพเซียน
หยางหลงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ ดวงตาจับจ้องสองคนที่กำลังต่อสู้กันอีกฟากของโรงเตี๊ยม หารู้ไม่ว่าหญิงสาวจำนวนมากจดจ้องพวกเขาด้วยกิริยาขวยอาย
“พอใจหรือยังพี่สาม” จ้าวเสวี่ยเฟิงที่อยู่ในชุดบุรุษถามขึ้น นางที่ถูกมองว่าเป็น ‘คุณชายฝาแฝด’ สื่อสารกับจ้าวจิ่นกวางผ่านลมปราณ
“พอแล้วๆ พี่สามปวดมือแทบตายแล้ว” ได้ยินดังนั้นจ้าวเสวี่ยเฟิงก็แสร้งปล่อยให้จ้าวจิ่นกวางปัดพัดในมือกระเด็นไปปักเสาโรงเตี๊ยม นางแสดงท่าเสียอกเสียใจพลางกล่าวเสียงดังว่า
“พี่สามฝีมือลึกล้ำนัก ข้ามิอาจเป็นคู่มือ” เหล่าคุณชายที่ตอนแรกคิดว่าทั้งสองเล่นตลกก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เพราะพัดที่ปักอยู่กับเสานั้นแทบทะลุ
จ้าวจิ่นกวางแสร้งทำหน้าขรึม แล้วกล่าวว่า “น้องสี่ออมมือแล้ว กลับกันเถิด” พูดจบก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้คิดเงิน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบยัดเงินก้อนใหญ่ใส่มือเสี่ยวเอ้อร์
“ไม่ต้องทอน” เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็ตาโต กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่
“คุณชายทั้งสองเดินทางดีๆ นะขอรับ”
พอก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมทั้งสองก็หัวเราะคิกคัก จ้าวเสวี่ยเฟิงถามจ้าวจิ่นกวาง “ว่าแต่เราสองคนจะทดสอบอะไรดี ที่จะสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วสำนักศึกษาหมื่นอักษร”
จ้าวจิ่นกวางหัวเราะพลางโบกพัดไปมา “ทำสิ่งใดก็ทำให้สุด ดังคำที่อาจารย์กล่าวไว้ ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์มิได้อยู่ที่การเอาชนะผู้อื่น แต่อยู่ที่การเอาชนะตัวเอง การเอาชนะใจตนเองได้ สิ่งใดก็มิอาจสั่นคลอน ผู้อื่นแคลงใจแต่เราบริสุทธิ์ใจ"
“อา...พี่สามพูดจาแบบนี้ดูดียิ่งนัก” น้องสาวครางเสียงแผ่ว มองพี่ชายด้วยความชื่นชม
เสียงพูดคุยเล่นหัวของสองพี่น้องค่อยๆ แผ่วลงตามระยะทาง
สายตาคู่หนึ่งมองตามทั้งสองไปตลอดทาง บุรุษชุดขาวอีกคนที่ยืนมองอยู่นานแล้วจึงถามขึ้น “มีอะไรรึ”
บุรุษชุดเทาหัวเราะเสียงแผ่ว “น่าสนใจ”
ครั้นคนถามได้ยินคำตอบ หางคิ้วก็กระตุก “จะเริ่มแล้วรึ?”
บุรุษชุดเขียวเห็นว่าตนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยก็โวยวาย “เจ้าสองคนมันอะไรกัน ผู้อื่นไม่เข้าใจแม้แต่กระผีกเดียว” แต่เขาก็ต้องหงุดหงิดใจกว่าเดิมเพราะทั้งสองคนทำเพียงแค่หัวเราะ แล้วต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง ปล่อยให้มู่หนิงเทียนงุนงงต่อไป
