3.2
บรรยากาศการพบปะญาติฝ่ายมารดาไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก อาจเพราะจ้าวเสวี่ยเฟิงกับพี่ชายขึ้นเขาตั้งแต่เด็ก ความผูกพันจึงน้อยนิด
ท่านตาของนางเป็นชายชราร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แม้ไม่ยิ้มแต่ใบหน้าก็อิ่มเอิบ ดูใจดี
ท่านลุงใหญ่ของนางเป็นบุรุษวัยกลางคนท่าทางสุขุม ใบหน้าติดจะเย็นชาอยู่บ้าง ต่างกับป้าสะใภ้ที่หน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน พวกเขามีบุตรด้วยกันสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เยี่ยเหยาเซิง บุตรชายนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ใหญ่ ท่าทางวางมาดใหญ่โต มองจ้าวเสวี่ยเฟิงด้วยประกายตาแปลกประหลาด ทว่านางหาได้ใส่ใจไม่ ส่วน เยี่ยเจินเจิน บุตรสาวนั้นน่าจะอายุเท่าจ้าวจิ่นติ้ง วางมาดหยิ่งยะโส นางเพียงปรายตามองคนทั้งสาม สีหน้าท่าทางเหยียดหยันชัดเจน จ้าวเสวี่ยเฟิงมาดหมายในใจ สตรีผู้นี้ไม่ควรยุ่งด้วยเป็นอย่างยิ่ง
นางยังมีท่านลุงรอง ที่หน้าตาคล้ายมารดาของจ้าวเสวี่ยเฟิงอยู่สามส่วน รูปร่างไม่ผอมไม่อ้วน ใบหน้าอิ่มเอิบเหมือนท่านตาของนาง ป้าสะใภ้รองเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตางดงาม แต่น่าเสียดายที่แต่งหน้าจัดเกินไปจนเหมือนเล่นงิ้ว ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนคือ เยี่ยจิงเอ๋อร์กับเยี่ยจิงหง อายุไล่เลี่ยกับนางและพี่สาม หน้าตางดงามสมวัย ส่วนสัดที่สมควรมีของสตรีล้วนเด่นชัด อากัปกิริยานุ่มนวลอ่อนหวาน อย่างน้อยก็ยิ้มจริงใจกว่าเยี่ยเจินเจิน
บรรยากาศในการต้อนรับช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก อย่างน้อยป้าสะใภ้ใหญ่ก็พูดขึ้นมา พวกนางสามพี่น้องได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วปลีกตัวมายังเรือนรับรองของตนเอง
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ดูไม่ออก แม้แต่คนตาบอดก็ยังรู้สึกได้ ลุงใหญ่กับลุงรองของนางนั้นไม่อาจเรียกว่ายินดีต้อนรับหลานนอกสกุล เพียงแต่ทำตามมารยาทที่พึงมี ป้าสะใภ้ใหญ่นั้นยิ้มแย้มก็จริง แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงการดูถูกเหยียดหยามชัดเจน ป้าสะใภ้รองกลับเป็นผู้ที่ดูออกง่ายที่สุด สีหน้าและท่าทางล้วนแสดงออกว่าไม่ยินดียินร้าย น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ผู้ที่ควรระวังที่สุดในตอนนี้น่าจะเป็นบุตรชายของลุงใหญ่
เยี่ยเหยาเซิงมีบุคลิกลึกลับ เยี่ยเจินเจินมีแต่รอยยิ้มอาบยาพิษ ส่วนเยี่ยจินเอ๋อร์กับเยี่ยจินหงเด็กพอกับนาง พิษภัยคงน้อยที่สุด
จ้าวเสวี่ยเฟิงลอบด่าตัวเองในใจ มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยไม่ทันไรก็ประเมินคนเสียแล้ว นับเป็นหนึ่งในนิสัยเสียของนางที่อาจารย์อยากซื้อทิ้งที่สุด
ทั้งสามเดินมาถึงเรือนหลังใหญ่ รอบๆ ปลูกต้นสาลี่และไม้ดอกไม้ประดับมากมาย ด้านข้างเรือนติดกับสระบัวใหญ่ ด้านหน้ามีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนว่า ‘จิน’ จ้าวจิ่นกวางเห็นชื่อเรือนก็หลุดหัวเราะ ‘金[ จิน (金) แปลว่า ทองคำ]’ ที่มีความหมายว่าทอง คิดว่าคงจะไม่มีเรือนที่หมายถึงเงินตราหรือสร้อยไข่มุก แต่เมื่อเขาเผลอสบตากับพี่รอง สีหน้ากระอักกระอ่วนนั้นก็ทำให้เขาผิดหวัง ใครกันช่างสิ้นคิดตั้งชื่อแบบนี้
จ้าวจิ่นกวางหารู้ไม่ว่านายท่านเยี่ยกำลังจามอย่างหนักอยู่ที่เรือนเฉียน[ เฉียน (钱 ) แปลว่า เงินตรา]
“เฟิงเอ๋อร์นะเฟิงเอ๋อร์ ไม่นึกว่ามาเยี่ยมญาติ ก็ยังต้องมาระแวงสัตว์มีพิษอีก” จ้าวเสวี่ยเฟิงหันไปมองพี่รองที่พูดขึ้นลอยๆ กำลังจะอ้าปากโต้กลับ ก็พบว่าทั้งสามเดินมาหยุดที่หน้าเรือนแล้ว
จ้าวเสวี่ยเฟิงคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปม ก่อนจะย้อนว่า “พี่รองนะพี่รอง ขนาดพี่รองยังไม่กลัวสัตว์พวกนี้ เฟิงเอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยกลัวอะไร ยังคิดว่าเล่นกับมันบ้างก็คงสนุกพิลึก”
จ้าวจิ่นกวางได้ยินน้องเล็กพูดเช่นนั้นก็เอาพัดเคาะกระหม่อมนางทีหนึ่ง
“โอ๊ย พี่สามรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว” นางลูบคลำส่วนที่เจ็บ “ตีธรรมดาไม่ว่า เหตุใดจึงอัดลมปราณมาด้วย”
จ้าวจิ่นกวางไม่เถียงกลับ เพียงแต่หัวเราะแล้วกล่าวว่า “การกระทำไร้เจตนา หินผาล้วนไม่รู้สึก การกระทำแฝงเจตนา ทั้งผืนพสุธากลับสะเทือน จำคำของท่านอาจารย์ได้หรือไม่” จ้าวจิ่นกวางทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก็หันไปพูดกับจ้าวจิ่นติ้ง “ไปเถอะพี่รอง ข้าอยากเห็นห้องตัวเองแล้ว” พูดจบก็สาวเท้าเดินจากไป ปล่อยให้จ้าวเสวี่ยเฟิงจมกับคำพูดสุดท้าย
‘การกระทำไร้เจตนาหินผาล้วนไม่รู้สึก การกระทำแฝงเจตนาทั้งผืนพสุธากลับสะเทือน จริงของพี่สาม หนังหนาอย่างข้า ถ้าผู้อื่นเล่นลูกไม้กระจอกมาจะยอมหลับตาข้างหนึ่งก็แล้วกันเพื่อความสงบสุข แต่ถ้าจัดหนักมาที่ข้าเมื่อไร ฮึ ข้าก็แค่ย้อนศรคืนนะ’
สิ่งที่จ้าวจิ่นกวางกระทำกับจ้าวเสวี่ยเฟิงนั้น หากเขาไม่อัดกระแสปราณผ่านพัด จ้าวเสวี่ยเฟิงก็ระคายเพียงเล็กน้อย เพราะนางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ โดยทั่วไปจะมีปราณคุ้มกายตลอดเวลา แต่ถ้าจ้าวจิ่นกวางอัดกระแสปราณบนพัด นางที่ไม่ทันระวังตัวก็ต้องเจ็บปวดอยู่บ้าง
แต่ไหนแต่ไรด้วยความที่จ้าวเสวี่ยเฟิงและจ้าวจิ่นกวางอายุห่างกันแค่ปีเดียว จึงตัวติดกันราวฝาแฝด หน้าตาท่าทางก็คล้ายกันอยู่หลายส่วน ยามที่ออกเดินทางท่องเที่ยวกับท่านอาจารย์ หากนางปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยากจะแยกแยะว่าผู้ใดคือจ้าวจิ่นกวาง ด้วยความที่จ้าวจิ่นกวางอายุมากกว่า อีกทั้งความคิดของคนเป็นพี่ย่อมโตกว่าน้องสาวนัก จ้าวเสวี่ยเฟิงมีอะไรย่อมปรึกษาเขาเป็นคนแรก จะว่าไปแล้วนับว่านี่เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของเขา ที่น้องสาวเชื่อฟังเขามากกว่าพี่ชายทั้งสอง
