บท
ตั้งค่า

สี่

คนชั้นต่ำแต่มีการศึกษาดี มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง

คนชั้นสูงแต่ไร้การศึกษา จะมีประโยชน์อะไร

จ้าวเสวี่ยเฟิงกับจ้าวจิ่นกวางเดินเลี้ยวเข้าตรอกหนึ่งไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมรื่นสราญ ด้วยความที่คนไม่พลุกพล่านน่าจะรอดพ้นจากการจับตามองจึงรุดหน้าเข้าไป เดินไปได้ไม่กี่จั้งก็พบว่าตรอกที่คล้ายเงียบสงัดนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าพวกเขาไม่ได้เดินพลุกพล่าน กลับนั่งกระจุกกันตรงเกือบท้ายตรอก

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขอทานและคนยากจน มีแผงขายบะหมี่และซาลาเปาสองสามแผงตั้งอยู่บริเวณนั้น จ้าวเสวี่ยเฟิงสังเกตว่ากลุ่มคนที่กระจุกกันเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนที่แต่งตัวคล้ายขอทาน บ้างถือซาลาเปา บ้างถือชามบะหมี่

จ้าวเสวี่ยเฟิงมองท่าทางของคนเหล่านั้นแล้วก็ฉงน เท้าจึงก้าวเดินเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าแผงบะหมี่เจ้าหนึ่งก็ได้กลิ่นน้ำซุปหอมฉุย ตัวตะกละในท้องของนางเริ่มร่ำร้องว่าหิวอีกแล้ว

“คุณชาย ท่านจะกินบะหมี่หรือขอรับ” เถ้าแก่ร้านบะหมี่ถามขึ้นขณะเดินออกมาจากกลุ่มคนจรจัดด้วยท่าทางนอบน้อม คล้ายไม่มั่นใจในรสอาหารของตนเท่าใดนัก บรรดาผู้คนโดยรอบให้ความสนใจนางไม่น้อย

นางก้มมองสารรูปตัวเองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่งตัวหรูหราปานนี้บรรดาชาวบ้านยากจนจะมองก็ไม่แปลก เด็กหลายคนเริ่มโผล่ศีรษะโตๆ ออกมาจากหลังกำแพง มองจ้าวเสวี่ยเฟิงในคราบของคุณชายสูงศักดิ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กพวกนี้ร่างกายซูบผอมแคระแกร็นคล้ายกับคนอดอยากอาหาร เรียกความเวทนาในใจเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ แม้นางจะอยู่บนเขาตั้งแต่เด็ก และได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ไม่คิดว่าในเมืองหลวงเช่นนี้จะมีผู้คนที่อดอยากแร้นแค้นอาศัยอยู่

“เถ้าแก่คนพวกนี้เป็นลูกค้าท่านหรือ”

เถ้าแก่หันไปมองบรรดาคนจรจัดที่นั่งซดบะหมี่อยู่ข้างกำแพง เขาเดินไปเช็ดโต๊ะและม้านั่ง ตั้งท่าจะไล่คนพวกนั้นออกไป ทว่าจ้าวเสวี่ยเฟิงก็ยกมือพลางส่ายหน้าห้ามเสียก่อน

“เถ้าแก่พวกเขาเป็นลูกค้ามิใช่รึ อย่าไล่ไปเลย” จ้าวจิ่นกวางที่เพิ่งเดินมาถึงพูดขึ้น เขามองกลุ่มคนจรจัดเหล่านี้คล้ายประเมินอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนม้านั่งที่ถูกเช็ดจนสะอาดแล้ว

เถ้าแก่เห็นลูกค้าสูงศักดิ์เข้ามาอีกคนก็กระวีกระวาดรีบทำบะหมี่มาวางไว้ให้สองชามอย่างรู้งาน น้ำแกงใสหอมกรุ่นจนคนทั้งสองที่เพิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมใหญ่ถึงกับท้องร้อง แม้เนื้อที่โปะมาจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่กลิ่นหอมของน้ำแกงบะหมี่ก็ยั่วยวนใจจนจ้าวเสวี่ยเฟิงอดยกซดไม่ได้

พรวด!

“แค็กๆ! เถ้าแก่!”

“อะไรขอรับคุณชาย!?” เจ้าของร้านหน้าซีดรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของจ้าวเสวี่ยเฟิง นางทำหน้าเหยเกเสียจนจ้าวจิ่นกวางไม่กล้าลิ้มรสบะหมี่ในชาม

“เหตุใดน้ำแกงจึงจืดชืดเช่นนี้ คล้ายกับขาดรสชาติอะไรบางอย่าง”

เถ้าแก่ร้านหน้าซีด หันไปมองบรรดาคนจรจัดที่เพิ่งกินบะหมี่ของเขาด้วยความอับจนปัญญา

“คุณชายทั้งสอง หลายปีมานี้ราคาเกลือแพงขึ้นเรื่อยๆ ข้าจำเป็นต้องใช้แต่น้อย แล้วอาศัยหัวไชเท้าเพิ่มรสชาติน้ำแกงให้หวานนำ ทว่าพอเกลือน้อยลง รสชาติก็ไม่มีความกลมกล่อม อาหารของข้า ขายให้คนในตรอกนี้ซึ่งล้วนมีเงินทองน้อยนิด พวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารที่แพงกว่านี้ ข้าจึงจำใจต้องใส่เกลือแต่น้อย ใช้รสชาติอื่นทดแทนเอาขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้นางจึงมองสภาพผอมแห้งของคนเหล่านั้นแล้วก็นึกเวทนา อดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเกลือจึงราคาแพงขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเกลือเป็นสินค้าควบคุมรึ? อีกอย่าง ที่นี่คือเมืองหลวง การขนส่งเกลือย่อมทำได้สะดวก เหตุใดพวกท่านจึงไม่มีปัญญาซื้อมาบริโภค”

เถ้าแก่ร้านบะหมี่เกาศีรษะด้วยความจนใจ จ้าวจิ่นกวางจึงพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ เกลือเป็นสินค้าควบคุมราคา จักรพรรดิไม่มีทางละเลยเช่นนี้แน่ๆ”

“ไอ้หยา! พวกท่านไม่รู้อะไร จักรพรรดิว่าราชการอยู่ในวังหลวง ฎีกาทั้งหลายล้วนผ่านมือเสนาบดีและเหล่าขุนนาง คิดจะส่งเรื่องร้องเรียนไม่ง่ายนะขอรับ”

จ้าวจิ่นกวางพลันกระจ่างในใจทันที ดวงตาคมกริบสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเหมือนยามที่ใช้ความคิด “เถ้าแก่ ข้าจะวานอะไรสักอย่าง พวกท่านและคนเหล่านี้พอจะช่วยพวกข้าได้หรือไม่?”

เถ้าแก่ก็คือเถ้าแก่ พอมีคุณชายท่าทางสูงส่งสองคนเข้ามาเสนอผลประโยชน์ที่มีแต่ได้กับได้ ก็รีบพรั่งพรูสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ทันที

วันสอบคัดเลือก

จ้าวเสวี่ยเฟิงและจ้าวจิ่นกวางถูกพี่รองปลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขัน ร่างสูงโปร่งสองร่างเดินสะโหลสะเหลไปยังรถม้าที่เตรียมไว้หน้าคฤหาสน์ด้วยท่าทางราวกับไร้วิญญาณ อากาศยามเช้าที่เริ่มเย็นลงเช่นนี้ชวนให้อยากมุดตัวหลับฝันหวานอยู่แต่ในผ้านวมเสียจริง

รถเทียมม้าสองตัวจอดสนิทด้านหน้า บ่าวชายผู้หนึ่งที่จ้าวเสวี่ยเฟิงเพิ่งเคยพบหน้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาก้มศีรษะให้พวกนางพร้อมกับหลีกทางให้

จ้าวเสวี่ยเฟิงเลิกผ้าม่านขึ้น พบว่าในรถมีคนอยู่ก่อนแล้ว เยี่ยจิงเอ๋อร์และเยี่ยจิงหงส่งยิ้มให้นาง

เยี่ยจิงเอ๋อร์กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “น้องเสวี่ยเฟิง อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์พี่จิงเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์จิงหง” จ้าวเสวี่ยเฟิงที่ถูกความง่วงงุนเข้าจู่โจม ตาสว่างขึ้นมาทันใด นางรีบตะกายขึ้นรถม้า เว้นที่ว่างไว้ให้จ้าวจิ่นกวางตามขึ้นมา

คนขับรถม้าพอเห็นคนขึ้นรถกันหมดแล้ว ก็กระตุ้นม้าให้ออกเดินทางไปยังสำนักศึกษาหมื่นอักษร

จ้าวจิ่นกวางเห็นผู้อื่นอยู่ในรถก็ส่งยิ้มทักทาย อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง “น้องจิงเอ๋อร์ น้องจิงหง อรุณสวัสดิ์ เหตุใดจึงต้องไปเช้าเช่นนี้”

เยี่ยจิงเอ๋อร์ยกยิ้มพลางอธิบาย “ก่อนที่จะเริ่มต้นสอบ จำต้องไปลงทะเบียนเพื่อเป็นหลักฐาน แล้วรับป้ายประจำตัว หลังจากนั้นจึงเข้าสอบขั้นพื้นฐานพร้อมกัน ผู้ใดสอบขั้นพื้นฐานเสร็จก่อน ก็สามารถยื่นป้ายประจำตัวเข้าสอบความสามารถพิเศษเพิ่มเติมได้เจ้าค่ะ คนที่มารอลงทะเบียนจึงมีมากเป็นพิเศษ เราจำเป็นต้องไปแต่เช้าเพื่อต่อแถว”

พอสองพี่น้องได้ยินก็ร้องอ้อเบาๆ เป็นอันว่าเข้าใจเหตุผลที่ต้องตื่นเช้า จ้าวเสวี่ยเฟิงมองหาพี่รองแต่ไม่พบ ในรถม้ามีเพียงพวกนางสี่คนก็เกิดความสงสัย “พี่รองข้าเล่า ไม่ไปกับพวกเราหรือ”

เมื่อวานนางไม่ได้พูดอะไรกับพี่รองเลย เขาหายไปทั้งวัน ตอนเย็นก็ไม่ได้เจอหน้า

“พี่รองจิ่นติ้งต้องไปช่วยจัดสถานที่ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ จึงขี่ม้าล่วงหน้าไปแล้ว” เยี่ยจิงเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย “น้องเสวี่ยเฟิงแต่งตัวเช่นนี้ คิดจะทดสอบความสามารถด้านใดรึ?” อธิบายเสร็จเยี่ยจิงเอ๋อร์ก็ถามกลับด้วยความสงสัย

จ้าวเสวี่ยเฟิงในวันนี้มิได้ประโคมโฉมให้งดงามแข่งกับใคร นางเพียงแต่งชุดทะมัดทะแมงสีเขียวอ่อนราวกับจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ เครื่องหน้างดงามโดยธรรมชาติมิได้ผัดแป้งหรือแต่งเติมใดๆ ทั้งสิ้น เผยผิวขาวเนียนละเอียดที่มีเลือดฝาดจนน่าอิจฉา

จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะแห้งๆ “เดิมทีข้าก็อยากจะแต่งตัวให้สวยงามเหมือนพี่จิงเอ๋อร์กับจิงหง แต่ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว มิคาดว่าจะถูกปลุกเช้าแบบนี้ จึงทำได้เพียงล้างหน้าล้างตา รีบผลัดเสื้อผ้ามาขึ้นรถนี่แหละ ส่วนเรื่องความสามารถพิเศษข้ายังไม่ได้คิด”

นางเอาแต่สร้างเรื่องราวกับพี่สาม ไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องความสามารถพิเศษ จับฉลากได้อันไหนถ้าทำได้นางก็ทำอันนั้นแหละ

“เสวี่ยเฟิง เจ้าไม่รู้หรือว่าเราสามารถขอเลือกสอบได้” เยี่ยจิงหงที่เงียบมานานถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

จ้าวเสวี่ยเฟิงยิ้มด้วยความกระดากอาย หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากจ้าวจิ่นกวาง นางไม่ถนัดรับมือกับหญิงสาวช่างซักนัก

จ้าวจิ่นกวางพอเห็นสายตาน้องเล็ก ก็ย่อมรู้ความลำบากใจของนาง จึงพูดแทรก “น้องเล็กข้าแต่เดิมก็ร่ำเรียนมาหลายอย่าง ความถนัดไม่ค่อยจะมีเท่าใด ดูไปก็คล้ายเป็ดอยู่มาก” พูดจบก็หัวเราะลั่น พาเอาคนทั้งรถม้าหัวเราะตาม แม้แต่จ้าวเสวี่ยเฟิงก็หัวเราะแก้เขิน

นางบอกไม่ถูกจริงๆ นี่นา ทุกวันนี้สิ่งที่นางร่ำเรียนมาได้ใช้อย่างละนิดอย่างละหน่อย พอให้ผู้คนปวดหัวได้ ด้านวรยุทธ์นางก็ไม่รู้จะเอาไปรังแกผู้ใด

“พวกเจ้าแต่งตัวงดงามเช่นนี้แสดงว่าคงเตรียมพร้อมไว้แล้ว” จ้าวจิ่นกวางเปรยขึ้น

เยี่ยจิงเอ๋อร์วันนี้สวมชุดสีเหลืองอ่อนเดินดิ้นทอง ตรงชายปักลายผีเสื้อบนผ้าชั้นนอกโปร่งบางเล็กน้อย ยามขยับกายดูงดงามราวกับมีชีวิต นางมวยผมเป็นช่อปักปิ่นหยกขาวรูปผีเสื้อ รับกับดวงหน้างดงามอ่อนหวาน ดูราวกับเทพธิดาน้อย

ส่วนเยี่ยจิงหงนั้นสวมชุดสีส้มอ่อนปักลายดอกเหมย บนศีรษะมวยผมเรียบร้อยปักปิ่นปะการังสีส้ม ปล่อยปอยผมบางส่วนให้ยาวระแก้มเนียนใส ดวงหน้าจิ้มลิ้มดูน่ารักน่าทะนุถนอม

เยี่ยจิงเอ๋อร์ยิ้มขวย “ข้าตั้งใจจะดีดพิณ ส่วนน้องจิงหงนั้นถนัดการร่ายรำ เราสองคนแสดงร่วมกันเจ้าค่ะ”

จ้าวจิ่นกวางได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

สำหรับเด็กสาวชาวเมือง ถ้าไม่เย็บปักก็ถนัดการร่ายรำ จะให้เป็นม้าดีดกะโหลกแบบจ้าวเสวี่ยเฟิงนั้นหาได้ยากยิ่ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel