สาม
ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่น แต่อยู่ที่การชนะตัวเอง
การเดินทางจากเมืองไคเฟิงมายังลั่วหยาง จะว่าลำบากก็ไม่ใช่ จะสบายก็ไม่เชิง ระยะทางเกือบพันลี้[ ลี้ คือ หน่วยวัดระยะทาง โดยที่ 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร] ทำให้คนที่นั่งในรถม้าเหนื่อยล้า ปลายฤดูร้อนเช่นนี้เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง อากาศก็ยิ่งอบอ้าว ชวนให้อ่อนเพลีย ทว่ามีเพียงจ้าวจิ่นติ้งเท่านั้นที่ยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต่างจากอีกสองคนที่นัยน์ตาแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือด ใต้ตาคล้ำราวกับผีดิบ อีกทั้งยังนั่งนิ่งนานๆ กว่าจะได้ขยับมือที จึงมีเพียงเสียงหายใจดังฟืดฟาดด้วยความหงุดหงิดเป็นระยะ
บ่าวรับใช้สองคนผลัดกันบังคับรถม้า ขณะที่สาวใช้ชิงเฟยนั่งนิ่งอยู่มุมหนึ่งภายในรถม้า สัปหงกบ้าง ตื่นมาเติมชาบ้าง เห็นได้ชัดว่านางอ่อนล้าจนแทบหมดแรง
จ้าวจิ่นติ้งรู้สึกอึดอัดยากจะบรรยาย เมื่อเห็นน้องทั้งสองของตนมุ่งสนใจแต่กระดานหมาก คิดจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่ก็ต้องหุบปากไป ได้แต่คิดในใจว่าพูดไปตอนนี้ ทั้งสองคนก็คงฟังหูซ้ายทะลุหูขวาแน่นอน
ชายหนุ่มเห็นน้องทั้งสองมีสมาธิ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขยับเข้าไปร่วมวงด้วย เห็นว่าหมากขาวของจ้าวเสวี่ยเฟิงกำลังได้เปรียบ ก็นึกชื่นชมในใจ จ้าวเสวี่ยเฟิงนิสัยคล้ายกับจ้าวจิ่นกวาง เป็นพวกชอบคิดวางแผนการมากกว่าลงมือทำเอง ในช่วงแรกๆ ที่ขึ้นเขาซูซัน จ้าวเสวี่ยเฟิงมักจะอาศัยความเป็นน้องเล็กพึ่งพามันสมองของจ้าวจิ่นกวาง ด้านแรงงานก็พึ่งพาแต่เขากับพี่ใหญ่ นึกไม่ถึงว่าพอเขากับพี่ใหญ่ลงจากเขาแล้ว ในที่สุดน้องเล็กก็รู้จักใช้สมองแล้ว
จ้าวเสวี่ยเฟิงแทะขนมไปพลางวางหมากไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ส่วนจ้าวจิ่นกวางมีสีหน้าและท่าทางจริงจังกว่านางมากนัก ขนมที่เคยอยู่ในมือถูกโยนทิ้ง พัดไม้โบกไปมาไม่หยุดคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“น้องเล็ก เจ้าใช้วิธีโหดร้ายบีบคั้นพี่สามเกินไปแล้ว พี่สามไม่ยอมอ่อนข้อให้เจ้าแน่” จ้าวจิ่นกวางตัดพ้อน้องสาว มือเรียววางหมากดำจนพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง
จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะในลำคอ นางโบกมือไปมาเหนือกระดานหมาก ท้ายที่สุดก็วางหมากขาวอีกตัว...กินทั้งกระดาน
“หืม...น้องเล็ก! เจ้าช่างร้ายกาจ พี่สามไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” จ้าวจิ่นกวางแสร้งโวยวาย ร่ำๆ จะเก็บกระดานหมาก จ้าวจิ่นติ้งเห็นสถานการณ์เมื่อครู่ก็รู้ว่าจ้าวจิ่นกวางอ่อนข้อให้จ้าวเสวี่ยเฟิง
แม้แต่จ้าวเสวี่ยเฟิงก็ยังมองออก นางจ้องจ้าวจิ่นกวางเขม็ง ท้ายที่สุดก็พูดว่า “พี่สามแกล้งวางหมากผิดให้ข้าชนะกระดานนี้ ขี้เกียจเล่นก็บอกมาเถอะ เล่นมาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่จบสิ้นสักที ท่านมันตัวขี้เกียจของแท้ เฮอะ!”
จ้าวจิ่นกวางกำลังจะเถียง ทว่ารู้ดีว่าสังขารตนไม่ไหวแล้ว น้องเล็กเป็นพวกดื้อด้าน หากไม่ยอมแพ้ มีหรือจะยุติการเดินหมาก มีหวังต้องถ่างตาเดินหมากกับนางจนถึงลั่วหยางแน่
คนเป็นพี่ใหญ่สุดระบายลมหายใจ นึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ เห็นท่าทางอ่อนล้าของจ้าวจิ่นกวางก็นึกเห็นใจ ยิ่งเห็นจ้าวเสวี่ยเฟิงที่มีใบหน้างดงาม บัดนี้ดวงตาลึกโหลคล้ายซากศพก็อดท้วงไม่ได้ “น้องเล็กอย่าได้ถือสาเจ้าสามมันเลย อดหลับอดนอนมาตั้งแต่เมื่อวาน เรี่ยวแรงไม่เหลือแล้ว”
จ้าวจิ่นติ้งหยิบหมอนกับผ้ามาวางบนตัก ตบปุๆ เรียกจ้าวเสวี่ยเฟิงมานอน “เจ้าก็ควรจะนอนพักบ้าง มาๆ หนุนตักพี่รองดีกว่า”
จ้าวจิ่นกวางเห็นแบบนั้นก็เบ้ปาก ขยับไปนอนบนฟูกหนาในรถม้า หันหลังให้พร้อมกับกรนเสียงดัง จ้าวจิ่นติ้งหาได้สนใจไม่ เรียกจ้าวเสวี่ยเฟิงให้มานอนอีกครั้ง “มานอนเถอะ ใกล้ถึงแล้วพี่รองจะเรียก
จ้าวเสวี่ยเฟิงรู้ว่าร่างกายฝืนเกินกำลังแล้ว แต่ก็ยังคงวางท่า “เห็นแก่พี่รอง วันนี้ข้าจะละเว้นพี่สามสักครั้ง” พูดจบนางก็คลานไปนอนหนุนตักจ้าวจิ่นติ้ง แล้วเข้าสู่นิทรารมย์อย่างรวดเร็ว
จ้าวจิ่นติ้งส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของน้องสาวแผ่วเบา ดวงตาคมกริบมีร่องรอยของความกังวล ขณะนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพัก เขาก็พิงผนังรถม้าผล็อยหลับไปอีกคน
กว่าคนทั้งสามจะเดินทางมาถึงเมืองลั่วหยางก็ผ่านไปเกือบเดือน เนื่องจากผ่านช่วงมรสุมจึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปไม่น้อย
เบื้องหน้าคือประตูเมืองขนาดใหญ่ทำจากเหล็กกล้าดูน่าเกรงขาม กำแพงเมืองขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐสีแดงสูงตระหง่านเสียดฟ้า บนกำแพงเต็มไปด้วยทหารยามยืนเข้าเวร ธงของต้าถังสะบัดพลิ้วชวนให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนี้
พอรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองก็ผ่านตลาดขนาดใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตาล้วนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน บางคนสวมเสื้อผ้าของคนต่างเผ่า ช่างเป็นย่านการค้าที่คึกคักยิ่ง
บ้านคหบดีเยี่ยตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมืองลั่วหยาง ตลอดทางผ่านแผงสินค้าที่ตั้งวางอย่างเป็นระเบียบ ทุกตรอกซอยล้วนแต่มีผู้ตรวจการเดินตรวจตราความเรียบร้อย
ในที่สุดรถม้าก็มาจอดอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ตระกูลเยี่ย ด้านหน้ามียามสองคนยืนเฝ้าอยู่ เวลาเพียงครึ่งถ้วยชาก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณชายรองกลับมาแล้ว” ชายผู้นั้นพูด เขาหันหลังไปกวักมือเรียกคนรับใช้ด้านในให้ออกมาช่วยขนของ แล้วหันมายิ้มให้จ้าวจิ่นกวางและจ้าวเสวี่ยเฟิง “นี่คงเป็นคุณชายสามและคุณหนูสี่ใช่ไหมขอรับ ข้าคือพ่อบ้านเยี่ย เป็นพ่อบ้านประจำคฤหาสน์เยี่ยขอรับ ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนะขอรับ เชิญๆๆ เข้ามาก่อน ข้าตื่นเต้นทีไรพูดไม่ค่อยรู้เรื่องทุกที ฮ่าๆ ต้องขออภัยด้วยขอรับ” พ่อบ้านเยี่ยเกาศีรษะแก้เขิน รีบผายมือเชื้อเชิญ
“รบกวนพ่อบ้านเยี่ยแล้ว” จ้าวเสวี่ยเฟิงกล่าวตามมารยาท
“อย่าเกรงใจเลยขอรับ นายท่านและนายหญิงผู้เฒ่ารออยู่ เชิญขอรับ”
ทั้งสามปล่อยให้เด็กรับใช้ขนของลงจากรถม้า แล้วเดินตามพ่อบ้านเยี่ยเข้าไปในคฤหาสน์
คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยแม้ว่าจะเป็นของตระกูลคหบดีใหญ่แห่งลั่วหยาง แต่ภายในกลับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ริมสระบัวขนาดใหญ่มีศาลาหินอ่อนสำหรับนั่งเล่นในฤดูร้อน รอบสระปลูกไม้ดอกที่มีลักษณะเป็นพุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้คนพลัดตกลงไป ทั้งงดงามและมีประโยชน์
