บท
ตั้งค่า

2.3

เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา

เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู 3

“ท่านปู่ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วขอรับ คารวะท่านอารอง ท่านอาสาม อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม” จ้าวจิ่นลี่ผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยนำน้องๆ ทำความเคารพผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน เมื่อถึงห้องโถงรวมของจวนตระกูลจ้าว หลังจากนั้นก็ทักทายญาติผู้ใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างเมือง

ท่านอารองเป็นหัวหน้าหน่วยทหารประจำการอยู่เฉิงตู ส่วนท่านอาสามเดินทางมาจากซีอาน นับว่านานนักที่ไม่ได้พบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา

“มาๆ นั่งประจำที่กันได้แล้ว” นายท่านผู้เฒ่าจ้าวเรียกทุกคนนั่งประจำที่ตรงโต๊ะอาหาร

จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่ทราบมาก่อนว่าท่านอารองกับท่านอาสามจะเดินทางมาที่เมืองไคเฟิงด้วย จึงก้มหน้าก้มตาทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วยกริยานุ่มนวลแช่มช้อย ด้วยที่ประจำการอยู่ติดชายแดนพวกเขาจึงไม่ค่อยสะดวกมาพบกันมากนัก ประกอบกับท่านพ่อส่งพวกนางขึ้นเขา นางเลยพบเจอพวกเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ใบหน้าของญาติผู้ใหญ่เหล่านี้จึงพร่าเลือนในความทรงจำและไม่ค่อยคุ้นเท่าใด

ท่านอารอง จ้าวหงเยี่ยน อายุห่างจากแม่ทัพจ้าวเพียงสองปี ท่าทางองอาจสง่างามน่าเกรงขาม ข้างๆ เขาคือสะใภ้รอง หน้าตางดงามอ่อนหวาน กิริยามารยาทดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลผู้มีการศึกษา หยิบจับอะไรก็ทำด้วยความละมุนละม่อม

ท่านอาสาม จ้าวเหยียน มีรูปร่างสูงโปร่ง ไม่บึกบึนเหมือนท่านพ่อกับท่านอารอง ทว่าแววตามีประกายเฉลียวฉลาดดูคล้ายกับพี่สามถึงสี่ส่วน หากไม่ได้เติบโตมาด้วยกันกับพี่สาม นางคงคิดว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันแน่ๆ อาสะใภ้สามหน้าตาหมดจดงดงาม มีรูปร่างกะทัดรัด สดใสร่าเริงตลอดเวลา นางสวมชุดทะมัดทะแมงเหมือนหญิงสาวจากเผ่าทางเหนือ เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก

“หลานเสวี่ยเฟิงหน้าตางดงาม โตขึ้นน่าจะเป็นโฉมสะคราญที่หาตัวจับยาก พี่ใหญ่คงจะหวงน่าดูกระมัง” อาสะใภ้รองเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน  

จ้าวเสวี่ยเฟิงเพียงยิ้มแก้เขินและกล่าวเบาๆ “ขอบคุณอาสะใภ้รอง ท่านก็งดงามและอ่อนหวานยิ่งนัก”

ผู้อาวุโสของบ้านที่เห็นอากัปกิริยาของจ้าวเสวี่ยเฟิงก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา เมื่อหลานสาวทะโมนเจอไม้อ่อนเข้าไปก็ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

ใบหน้าอ่อนหวานของอาสะใภ้รองเศร้าสลดลงเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ว่า “เสียดายเยี่ยนเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่อย่างนั้นอาจะพามารู้จักกับพวกเจ้าทั้งสี่คน”

เยี่ยนเอ๋อร์หรือจ้าวเยี่ยน บุตรชายของอารอง ซึ่งมีอายุเพียงสิบขวบ ร่างกายอ่อนแอจึงยังเดินทางไกลไม่ได้ ไม่เหมือนกับจ้าวเสวี่ยเฟิงที่แข็งแรงบึกบึนมาตั้งแต่ยังเล็ก ขึ้นเขาซูซันที่ทั้งสูงทั้งหนาวก็ไม่เป็นไร ว่าแต่จะเป็นไรได้ล่ะ ท่านอาจารย์แบกนางขึ้นเขาตลอดทางนี่นา

“เอาไว้มีโอกาสค่อยไปเยี่ยมน้องเยี่ยนก็ยังไม่สายขอรับอาสะใภ้รอง” จ้าวจิ่นกวางพูดยิ้มๆ

นายท่านจ้าวเห็นคนมาพร้อมหน้าพร้อมตา ก็เรียกบรรดาสาวใช้ให้ยกอาหารออกมา จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นอาหารมากมายก็ต้องเบิ่งตามองจนน้ำลายสอ นางกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวสองปี ยังไม่มีโอกาสได้ชิมรสมือของท่านปู่กับท่านย่า เห็นทีจะต้องจัดหนักเสียแล้ว

ทุกคนเห็นอาหารเลิศรสก็พลอยน้ำลายสอ พอนายท่านจ้าวเอ่ยปากอนุญาต ทุกคนก็พากันกินอาหารราวกับอดๆ อยากๆ มานานปี โดยเฉพาะท่านแม่ทัพและจ้าวจิ่นลี่ ทั้งสองกินแต่เสบียงกองทัพ อาหารรสเลิศนั้นแทบไม่ได้แตะ ต่างจากจ้าวจิ่นติ้งที่รสมือเป็นเลิศ อีกทั้งยังอยู่ในเมืองหลวง อยากกินอะไรก็สะดวกสบายยิ่ง

ทั้งหมดจึงกินไปพลางเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปพลาง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น

ว่ากันว่าลูกหลานจวนตระกูลจ้าวรักใคร่กลมเกลียว บ่าวไพร่ซื่อสัตย์สุจริต ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจนน่าอิจฉายิ่งนัก

หลังจากกินอาหารกันอิ่มหนำสำราญ นายท่านจ้าวก็ปั้นสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารพลันเต็มไปด้วยความกดดัน

“กวางเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์” นายท่านจ้าวเรียกหลานรักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

จ้าวจิ่นกวางและจ้าวเสวี่ยเฟิงได้ฟังดังนั้น ขนที่ต้นคอก็พลันลุกชัน นั่งสงบเสงี่ยมมองไปทางท่านปู่ เห็นทุกคนเผลอตึงเครียด จึงสบตากันเป็นเชิงรู้กันแค่สองคน...เรื่องตระกูลเหยาแน่นอน

“มีอะไรหรือเจ้าคะท่านปู่” จ้าวเสวี่ยเฟิงยิ้มปะเหลาะ จ้องมองท่านปู่ด้วยดวงตาใสซื่อ นายท่านจ้าวเห็นดังนั้นก็กลัวใจอ่อน จึงเสไปมองตัวปัญหาอีกคนแทน จ้าวจิ่นกวางอดทอดถอนใจไม่ได้ ใครใช้ให้หลานชายตระกูลจ้าวเป็นหลานชังกันล่ะ

“นายท่านเหยาเขียนจดหมายมาหาปู่ หลานคงรู้กระมังว่าเพราะเหตุใด” นายท่านจ้าวพูดเปรยๆ

จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็ย่นจมูก พูดเสียงอ่อยว่า “ท่านปู่ไม่ทันสืบความก็จะมาลงโทษหลานหรือเจ้าคะ”

นายท่านผู้เฒ่าจ้าวถลึงตาใส่หลานชายแทนที่จะเป็นหลานสาวซึ่งกำลังต่อปากต่อคำ พุ่งความหงุดหงิดทั้งหมดลงที่จ้าวจิ่นกวางผู้เคราะห์ร้าย คนรอบโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะเพื่อไม่ให้คุณชายสามกดดันจนเกินไป

“เพ้ย! ไม่ใช่ปู่ไม่สืบความ แต่ปู่รู้สึกว่าคราวนี้พวกเจ้าล้ำเส้นกันเกินไป ท่านเหยาเสียหายหลายพันตำลึง บุตรชายก็เดินเหินไม่สะดวก นับเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง รู้หรือไม่ว่าค่าเสียหายของพวกเขาจุนเจือครอบครัวลูกจ้างได้กี่ร้อยคน”

“แต่…”

“เงียบก่อน รอให้ข้าพูดจบก่อน ในเมื่อพวกเจ้าเห็นความอยุติธรรมก็ทนไม่ได้ อาศัยวิธีการของตัวเองในการตัดสิน บ้านเมืองมีกฎหมาย...จะมาตั้งศาลเตี้ยไม่ได้ ปู่จะส่งพวกเจ้าไปอยู่กับท่านตาที่ลั่วหยาง[ ลั่วหยางเป็นเมืองหนึ่งในประเทศจีน ปัจจุบันตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลเหอหนาน เคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ เช่น ราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง] เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหมื่นอักษรตามรอยติ้งเอ๋อร์ซะ ให้อาจารย์ผู้มากความสามารถขัดเกลานิสัยพวกเจ้าเสียบ้าง อีกอย่าง นายท่านผู้เฒ่าเยี่ยกับฮูหยินเยี่ยก็อยากเจอพวกเจ้ามานานแล้ว ใช้โอกาสนี้ตอบแทนบุญคุณแทนสะใภ้ใหญ่ด้วย นับว่าเป็นเรื่องสมควร

“ส่วนเรื่องออกเดินทางค่อยหารือกันอีกครั้ง” นายท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจ “ดังคำกล่าวว่า ‘เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษาก็เหมือนเลี้ยงลา เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษาก็เหมือนเลี้ยงหมู’ ถึงแม้พวกเจ้าจะร่ำเรียนมาจากปรมาจารย์จิวซื่อ แต่ก็ยังเด็กนัก จงไปขัดเกลาตัวเองที่สำนักศึกษาหมื่นอักษรเถิด ลูกหลานตระกูลจ้าวไม่ประสบความสำเร็จไม่กลับบ้านเกิด จำเอาไว้!”  

นายท่านจ้าวพูดรัวจนหอบ หลังพูดจบก็วางตะเกียบเสียงดัง แล้วลุกขึ้นยืนพลางทำหน้าตาขึงขัง สุดท้ายก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าและบ่าวรับใช้พยุงออกจากห้องอาหารไป ปล่อยให้จ้าวจิ่นกวางกับจ้าวเสวี่ยเฟิงนั่งอึ้งอยู่เป็นนาน แม่ทัพจ้าวเห็นบุตรสาวและบุตรชายหน้าซีดก็ร้อนใจ พอคล้อยหลังบิดาก็นึกกังวลใจอยู่บ้าง  

“ฮ่าๆๆ ข้าเป็นลา”

“ฮ่าๆๆ ข้าเป็นหมู”

สองเสียงหัวเราะประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนทั้งห้องอาหารต่างนิ่งอึ้ง คิดว่าทั้งสองคนเป็นบ้าไปแล้ว แม่ทัพจ้าวเห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

“กวางเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ”

จ้าวจิ่นกวางหัวเราะเสร็จก็จิบชาแก้กระหาย พลางกล่าวกับบิดาด้วยน้ำเสียงยินดียิ่ง

“พวกข้าไม่ได้เป็นบ้า เพียงแต่พวกข้าคาดการณ์ไว้แล้ว ไม่นึกว่าท่านปู่จะถึงกับหอบหายใจ นับว่าคุ้มค่าแก่การก่อเรื่อง” จ้าวจิ่นกวางพูดจบก็โบกพัดด้วยความสบายใจ กว่าแผนการถูกถีบหัวส่งออกจากจวนจะประสบความสำเร็จ ก็ล่วงเลยมาเกือบปีที่สาม ไม่เสียแรงที่เขากับน้องเล็กสร้างเรื่องราวไว้มากมาย

แม่ทัพจ้าวกับฮูหยินได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลมสิ้นสติ บุตรชายกับบุตรสาวคนเล็กถึงกับวางแผนมาเป็นปีเพื่อหาเรื่องให้ถูกไล่ออกจากบ้านหรอกหรือ นับว่าน้องรอง น้องสาม และน้องสะใภ้ของเขาได้รับการเปิดหูเปิดตาแล้ว ใครว่าบุตรหลานตระกูลจ้าวล้วนแต่เป็นยอดคน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นยอดตัวป่วนเสียมากกว่า เหตุใดเผือกร้อนสองหัวนี้กลับยินดีถูกโยนไปเมืองหลวง ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหัวจริงๆ

มีเพียงจ้าวจิ่นลี่และจ้าวจิ่นติ้งที่ลอบหัวเราะกันสองคน ผลัดกันเหยียบเท้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะเสียงดังจนเปิดโปงแผนการของน้องๆ

ท่านอาสามที่นิ่งเงียบมาตั้งนานถึงกับหัวเราะจนตัวงอ กล่าวกับแม่ทัพจ้าวว่า “พี่ใหญ่ นับว่าพวกเรามาคราวนี้ไม่เสียเที่ยว พวกข้าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel