บท
ตั้งค่า

2.2

เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา

เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู 2

ครั้นแม่ทัพใหญ่ลงจากม้าก็ตรงดิ่งมาด้านหน้า ปรายตามองบรรดาขุนนางที่มาต้อนรับแล้วพยักหน้ายิ้มให้อย่างสุภาพ ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย

ท่านจ้าวเมืองกำลังจะยกมือคารวะต้อนรับก็เป็นอันนิ่งอึ้งไป เมื่อแม่ทัพจ้าวไม่ได้มองหวังเยี่ยฟงผู้เป็นเจ้าเมือง กลับจ้องเขม็งไปยังจ้าวเสวี่ยเฟิงผู้เป็นบุตรสาว อีกทั้งคุณชายใหญ่กับคุณชายรองก็แข่งกันเหินลงจากหลังม้ามาหาคุณหนูสี่ด้วยความรวดเร็ว เสนาธิการชิงหลงที่ขี่ม้าตามมาทีหลังได้แต่ทอดถอนใจ เดินมาคารวะท่านเจ้าเมืองพร้อมกล่าวขออภัย

“ท่านเจ้าเมืองโปรดให้อภัยท่านแม่ทัพที่เสียมารยาทด้วยขอรับ ด้วยคิดถึงคุณหนูสี่เป็นสิบปี บัดนี้ได้เจอกันครั้งแรกจึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา”

แม้เสนาธิการวัยกลางคนจะพูดเช่นนั้น แต่ก็รู้ดีกว่าใครว่าท่านแม่ทัพไม่ชอบขุนนางบุ๋นหน้าบางพวกนี้สักเท่าใด อีกทั้งด้วยนิสัยปากกับใจตรงกัน แล้วยิ่งไม่ชื่นชอบงานสังคม เมื่อพบเจอคนพวกนี้คราวใดก็เป็นอันต้องให้เสนาธิการคู่ใจรับหน้าแทนทุกครั้ง

ท่านเจ้าเมืองพอจะเข้าใจกิตติศัพท์ของจวนตระกูลจ้าว ที่ทั้งรักทั้งหวงคุณหนูเพียงคนเดียว จึงไม่ได้โกรธเคืองอันใด ได้แต่ยิ้มเก้อแล้วประสานมือให้เสนาธิการชิงหลง “ท่านเสนาธิการไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ถือสาอันใดหรอก รีบพากองทัพเข้าเมืองเถิด เห็นทีต้องจัดงานเฉลิมฉลองสักหน่อยกระมัง”

เมื่อเสนาธิการชิงหลงได้ยินดังนั้นก็พลอยโล่งใจ แม้จะรู้ว่าพวกก้อนเนื้อเดินได้เหล่านี้อยากผลาญงบหลวงใจจะขาด แต่เขาก็ยกมือเป็นคำสั่งให้เคลื่อนทัพเข้าเมือง นึกถึงตอนรบที่หังโจวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย

เสนาธิการผู้มากประสบการณ์ได้แต่ทอดถอนใจ…บุรุษตระกูลจ้าวมิอาจดูแคลนได้แม้เพียงสักคน

“ท่านแม่ทัพขอรับ ทางไคเฟิงส่งข่าวบอกว่าคุณชายสามกับคุณหนูสี่กลับมาแล้วขอรับ”

จ้าวจิ่นอ้านได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนหนวดกระดิก แต่ต่อหน้าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจึงพยายามเก็บอาการ มีเพียงคุณชายใหญ่ที่เป็นรองแม่ทัพเท่านั้นที่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าหลังจากนั้นสามวันคุณชายใหญ่ผู้ที่เกลียดการออกหน้ากลับเสนอแผนการอันล้ำลึกต่อหน้าองค์ประชุม ยิงนกทีเดียวปราบโจรได้ทั้งคาบสมุทร ย่นระยะเวลาการศึกที่อาจจะดำเนินไปหลายปีให้เหลือไม่ถึงหนึ่งปี ปราบเหล่าโจรสลัดที่บุกน่านน้ำให้แตกพ่ายจนยากจะกลับมา ลดความสูญเสียกำลังพลได้เป็นจำนวนมาก

จักรพรรดิทราบข่าวก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพขั้นสาม สมญานามแม่ทัพกำราบบูรพาด้วยวัยเพียงยี่สิบปี 

ด้วยเหตุนี้เสนาธิการชิงหลงจึงรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของจ้าวเสวี่ยเฟิงที่มีต่อบุรุษตระกูลจ้าวอย่างล้นเหลือ

แม่ทัพจ้าวกอดบุตรสาวแน่นจนคนในอ้อมกอดหน้าดำหน้าแดงเพราะหายใจไม่ออก มือเล็กพยายามดันแผงอกกำยำของบิดา ทว่านางถูกรัดแน่นเหลือเกิน จนต้องทุบอกบิดาอยู่เป็นนานกว่าเขาจะยอมคลายอ้อมกอดอันอบอุ่นจนร้อนออก ท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวเมืองทั้งหลาย นางอับอายจนแทบสิ้นสติทั้งยังไม่คุ้น

จ้าวเสวี่ยเฟิงหน้าม้านพลางมองค้อนบิดา ท่าทางเช่นนี้กลับน่ารักน่าชังยิ่งในสายตาแม่ทัพผู้ห่างจากบุตรสาวเพียงคนเดียวเป็นสิบปี

“ท่านพ่อ กอดข้าแบบนี้จะฆ่าข้าให้ตายใช่หรือไม่” จ้าวเสวี่ยเฟิงบ่นอุบอิบ

แม่ทัพจ้าวเห็นบุตรสาวทำท่าแง่งอนก็ใจอ่อน รีบพูดปะเหลาะ ลักษณะท่าทางแตกต่างจากตอนนำทัพจนเหล่าลูกน้องด้านหลังต้องเบือนหน้าหนี “โถ เฟิงเอ๋อร์ลูกพ่อ ไม่ได้พบกันเป็นสิบปี เจ้าเติบโตขึ้นมางดงามถึงเพียงนี้ จะให้ข้าเก็บความคิดถึงทุกวันทุกคืนได้อย่างไร”

ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับหน้ามืด ราวกับจะขย้อนของเก่าออกมาต่อหน้าชาวเมือง จำใจต้องแอบแทรกกายหนีหายไปในฝูงชน บุตรชายทั้งสองแม้จะตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นท่าทีของบิดาแล้วก็เอือมระอายิ่ง หมดกันซึ่งบารมีแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง

“ท่านพ่อพูดกับน้องเล็กจบหรือยัง? ถึงตาข้าบ้างเถอะ” จ้าวจิ่นลี่ท้วงบิดาเสียงดัง ด้วยความที่อายุสิบห้าก็ติดตามบิดาออกรบ ชีวิตอยู่แต่กองทัพกับเหล่าบุรุษหยาบกระด้าง เมื่อพูดกันมากเข้าก็ย่อมส่งเสียงดังจนติดเป็นนิสัย เผลอตะเบ็งเสียงดังจนแก้วหูสั่นสะเทือน ครั้นพอเห็นชาวเมืองตกอกตกใจก็หน้าแดงก่ำ นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในกองทัพแล้ว

แม่ทัพจ้าวได้ยินเสียงบุตรชายคนโตก็หันไปถลึงตาใส่ พลางโต้กลับว่า “เจ้านับว่าได้เจอเฟิงเอ๋อร์นานกว่าบิดาถึงห้าปี คราวนี้ถึงคราวบิดาคุยกับน้องสาวของเจ้าให้หายคิดถึงบ้าง เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้ เฮอะ เจ้าลูกอกตัญญู”

พูดจบผู้เป็นบิดาก็หนวดกระดิก จ้าวจิ่นลี่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบกระอักเลือด เขาสู้อุตส่าห์ไปช่วยบิดาบังเกิดเกล้าออกรบตั้งแต่ยังเยาว์ อาศัยความสามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสร้างชื่อให้กองทัพของตระกูลจ้าว บิดาของเขาเมาเรือจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ?

จ้าวจิ่นติ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยุ่งยากใจเป็นอันมาก บิดาคว้าน้องเล็กไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เขากำลังจะเถียงกลับ แต่มือเล็กบอบบางคู่หนึ่งก็จับแขนเขาไว้แน่น

“อันใดกัน? บุรุษตระกูลจ้าว เห็นเฟิงเอ๋อร์เป็นตุ๊กตาหรืออย่างไร ไม่อายชาวบ้านชาวเมืองบ้าง กลับไปจวนค่อยว่ากันดีหรือไม่ ท่านพี่! ท่านแก่ที่สุดแต่ยังทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

สิ้นเสียงราวกับอสนีบาตของผู้เป็นใหญ่ตัวจริงในจวนตระกูลจ้าว ชาวเมืองก็ลอบหัวเราะ เกาะกลุ่มกันหนาแน่นยิ่งขึ้นเพื่อชมฉากสำคัญ

“ฮูหยิน! / ท่านแม่!”

ทั้งสามคนสะดุ้งโหยง ภายนอกเหมือนแม่ทัพจ้าวมีอำนาจล้นฟ้า แต่หารู้ไม่ว่าฮูหยินแม่ทัพคือผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง

พอแม่ทัพจ้าวถูกฮูหยินตวาดก็ทำตัวลื่นไหลราวกับปลา เดินไปกระแซะทำท่าออดอ้อนผู้เป็นภรรยา แล้วดึงแขนนางเพื่อเดินกลับจวน ต่อหน้าผู้คนเขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก ได้แต่เก็บเขี้ยวเล็บทำตาหวานเชื่อมส่งให้ฮูหยิน ทว่าเมื่อหันกลับมาด้านหลังแล้วเห็นบุตรชายทั้งสามรุมล้อมบุตรีคนงาม ก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นถมึงทึงดุร้าย เตรียมคิดบัญชีเรียงตัว

จ้าวจิ่นลี่กับจ้าวจิ่นติ้งเห็นเป็นโอกาสเหมาะ ก็เข้าไปขนาบซ้ายขวาของน้องเล็ก สอบถามสารทุกข์สุกดิบตลอดทางกลับจวน จ้าวเสวี่ยเฟิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องเออออตามพี่ใหญ่และพี่รองอย่างเสียไม่ได้ จ้าวจิ่นกวางที่เดินตามหลังยกพัดขึ้นมาปิดปากพลางหัวเราะในลำคอ

‘หึๆ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพราะน้องเล็กอยู่กับเขานานที่สุด’

คนทั้งหมดเคลื่อนย้ายไปยังจวนแม่ทัพ ทิ้งให้ท่านเจ้าเมืองและบรรดาขุนนางพูดคุยสอบถามกับเสนาธิการชิงหลง ท่านเจ้าเมืองพอได้ฟังเรื่องราวศึกที่หังโจวก็ตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก เรื่องราวเหมาะแก่การเขียนรายงานเพื่อของบประมาณเฉลิมฉลอง ทิ้งชาวเมืองและพ่อค้าทั้งหลายให้พูดคุยกันสนุกปาก

เรื่องราวของบุรุษตระกูลจ้าวผู้มีนิสัยแปลกประหลาด ยอดบุรุษภายนอกยิ่งใหญ่น่าเกรงขามราวกับพยัคฆ์ พอกลับบ้านมาก็เป็นดังเสือถอดเล็บ สิ้นฤทธิ์ภายใต้น้ำมือสตรีตระกูลจ้าว บิดากลัวฮูหยินยิ่งกว่าสิ่งใด อีกทั้งยังหวงแหนบุตรสาวมากกว่าใคร

ก็ใครใช้ให้บุรุษตระกูลจ้าวไม่มีน้ำยาเล่า ผลิตออกมาแต่บุรุษหลายชั่วคน คุณหนูจ้าวเสวี่ยเฟิงถือเป็นบุตรีและทายาทหญิงคนแรกของตระกูลนี้ก็ว่าได้

“พี่ใหญ่ หังโจวเป็นอย่างไรบ้าง ทิวทัศน์งดงามสมคำเล่าลือหรือไม่”

“แน่นอนว่างดงามยิ่ง ชายทะเลเต็มไปด้วยหาดทรายขาว มีกุ้งหอยปูปลาเต็มไปหมด หากมีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวแถบนั้น”

จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มตาหยี เมื่อรู้สึกว่าแขนเสื้อด้านซ้ายของตนถูกกระตุก จึงหันไปมอง พบว่าพี่รองกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่

จ้าวจิ่นติ้งเห็นน้องสาวหันมาทางตนก็ดีใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เฟิงเอ๋อร์น้องเล็กของพี่ อยู่บนเขากับเจ้าสามเหนื่อยหรือไม่ อาหารการกินเป็นอย่างไรบ้าง”

จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “อาหารการกินล้วนได้ศิษย์น้องเล็กรับผิดชอบ หนึ่งปีหลังจากพี่รองลงจากเขา ท่านอาจารย์ก็รับศิษย์ใหม่หนึ่งคน ฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าได้เป็นศิษย์พี่แล้วนะ!” นางพูดด้วยความตื่นเต้น ตั้งใจจะคุยโม้เต็มที่

“มันเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย!”

“ย่อมเป็นผู้ชายอยู่แล้ว สตรีที่ไหนจะผ่านด่านที่ข้ากับพี่สามวางไว้” จาวเสวี่ยเฟิงยังคุยจ้อไม่หยุด หาได้รับรู้ถึงรังสีอำมหิตรอบตัว จ้าวจิ่นกวางที่เดินตามหลังมาสะดุ้งโหยง พี่ใหญ่กับพี่รองคงไม่โทษเขาหรอกกระมัง

ทว่าสายตาพิฆาตของพี่ใหญ่มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ “จิ่นกวางน้องรัก เหตุใดจึงปล่อยบุรุษไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาใกล้ชิดน้องเล็กของพวกเรา เจ้าคงไร้น้ำยายิ่งกระมัง”

จ้าวจิ่นกวางหาได้ถือสาพี่ใหญ่ที่พูดจาดูถูกเขา เพียงแต่โบกพัดไปมาพลางยิ้มขืนๆ ให้เหมือนจนใจ “คนผู้นั้นนับว่ามีวาสนากับตระกูลจ้าว ท่านอาจารย์ได้บอกไว้ ในอนาคตเขาจะเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลเรา ตัวข้าจิ่นกวางไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งอาจารย์ จำต้องยอมรับอย่างเสียมิได้” พูดจบก็แสร้งไม่พอใจพลางพร่ำรำพันและตีอกชกหัวตัวเอง

จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็กลอกตา เจ้ามารยาที่สุดก็คือนิสัยของพี่สาม หลอกคนซื่อบื้อแบบพี่ใหญ่อย่างง่ายดายกว่าพลิกฝ่ามือ

“พี่ใหญ่พี่รองเข้าบ้านเถิดเจ้าค่ะ ท่านปู่ท่านย่ารออยู่นานแล้ว วันนี้ท่านปู่กับท่านย่าทำอาหารด้วยตัวเองนะเจ้าคะ”

เสียงของน้องเล็กประหนึ่งระฆังสวรรค์ นานๆ นายท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าจะออกโรงทำอาหาร บรรดาหลานๆ ที่อดอยากปากแห้งมานานก็น้ำลายสอไปตามๆ กัน โดยเฉพาะจ้าวจิ่นลี่ที่ตลอดทั้งการทำศึก ทหารกินอะไรเขาก็กินแบบนั้นโดยไม่บ่น นับเป็นลาภปากที่ได้ท่านปู่ท่านย่าแสดงฝีมือทำอาหาร ท้ายสุดก็ลืมเลือนเรื่องราวของศิษย์น้องเล็กบนเขาซูซันไปอย่างง่ายดาย

หลานทั้งสี่คนมีเพียงจ้าวจิ่นติ้งที่สืบทอดพรสวรรค์ในการปรุงรส นับว่าน่าเสียดายนัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel