1.3
การเดินทางหลายพันลี้ เริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก 3
สองปีผ่านไป
เมืองไคเฟิง อาณาจักรต้าถัง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” สาวใช้คนหนึ่งทั้งร้องทั้งตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งเขตของเรือนเสวี่ย ซึ่งเป็นที่พักของจ้าวเสวี่ยเฟิง เพราะความตื่นเต้นและความเร่งรีบจึงทำให้นางเดี๋ยวก็ลื่นล้ม เดี๋ยวก็สะดุดก้อนหิน จนผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ารุ่มร่ามช่างน่าขำยิ่งนัก ใบหน้างดงามหมดจดซีดขาวเพราะความเหนื่อย เม็ดเหงื่อใสผุดพรายเต็มใบหน้า
นางชื่อชิงเฟย
ปัง!
เสียงเปิดประตูอย่างแรงจนบานประตูกระแทกกับผนังดังลั่น ภายในห้องว่างเปล่า ที่นอนหมอนมุ้งถูกจัดเรียบร้อย ข้าวของถูกวางเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านด้วยฝีมือนางเอง
ไม่มีคน…
คุณหนูไม่อยู่ นางก็คงต้องเหนื่อยตามหาอีกแล้ว สมองเล็กๆ ขบคิดถึงสถานที่ที่จ้าวเสวี่ยเฟิงชอบไปหมกตัว
ตั้งแต่คุณหนูของนางกลับมาพร้อมกับคุณชายสามก็เที่ยวก่อเรื่องไปทั่ว วันก่อนนางไปโรงเตี๊ยมรื่นสราญกับคุณหนู ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่นทั้งโรงเตี๊ยม คุณหนูของนางถีบคุณชายเหยา บุตรชายเถ้าแก่เหยาเจ้าของกิจการแพรพรรณที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไคเฟิงลงมาจากชั้นสอง สุดท้ายคุณชายผู้นั้นก็หลังเดาะ หมอบอกว่าคงเดินไม่ได้ราวหนึ่งสัปดาห์
ทั่วทั้งเมืองล้วนรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้เสเพลของคุณชายเหยา จึงไม่มีผู้ใดมาช่วยห้ามปราม คุณหนูของนางเป็นหญิงงาม อีกทั้งยังผ่านการทำพิธีปักปิ่น[ พิธีปักปิ่น พิธีบรรลุนิติภาวะ ตอนอายุ 15 ปี เรียกว่า "จีหลี่ (笄礼)" ที่จะมีการรวบเกล้าผมขึ้นแล้วปักปิ่น บอกแสดงถึงสถานะที่เปลี่ยนจากเด็กหญิงมาเป็นหญิงสาวแล้ว] แล้ว บุรุษทั้งหลายล้วนคิดอยากมาสู่ขอ หากคุณชายสามที่กำลังช่วยกิจการของคหบดีเยี่ยทราบข่าว คุณชายเหยาอาจจะไม่ใช่แค่หลังเดาะก็เป็นได้
พอคหบดีเหยารู้ข่าวก็โกรธเกรี้ยวบุตรชายยิ่งนัก ที่ไปก่อเรื่องกับบุตรีแม่ทัพจ้าว จึงลงโทษคุณชายเหยายกใหญ่ อีกทั้งยังส่งของกำนัลมาขอขมาคุณหนูเสวี่ยเฟิงและนายท่านจ้าวเสียมากมาย
ชิงเฟยคาดเดาไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย สองวันถัดมาพอคุณชายสามทราบข่าวเรื่องคุณชายเหยาคิดจะลวนลามคุณหนูสี่ รถขนส่งแพรพรรณของตระกูลเหยาก็เกิดปัญหาส่งของไม่ได้ ขาดทุนไปหลายพันตำลึง นายท่านเหยาแม้จะรู้อยู่เต็มอกก็ทำได้เพียงตีอกชกหัวที่มีบุตรชายคอยหาเรื่องปวดหัวให้ไม่เว้นแต่ละวัน นับว่าคุณชายสามปรานีแล้วที่แก้เผ็ดเล็กน้อยเพียงนี้
ชิงเฟยสะบัดศีรษะไล่ความนึกคิด นางตามหาคุณหนูสี่มาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังตามหาไม่พบ คงต้องออกไปตามหาที่โรงเตี๊ยมรื่นสราญ หรือไม่ก็ไปหอจันทร์กระจ่าง หอการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไคเฟิง ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลฝั่งฮูหยินเยี่ย คุณชายสามมักจะไปช่วย เยี่ยเหยาซี ผู้มีศักดิ์เป็นน้าดูแลกิจการอยู่เป็นประจำ
“พี่สามคิดว่าครั้งนี้เราลงมือหนักเกินไปหรือไม่” จ้าวเสวี่ยเฟิงถามพี่ชาย มือเล็กเรียวหยิบขนมกุ้ยฮวา[ ขนมกุ้ยฮวา ขนมที่นำรวงผึ้งมาผสมกับดอกหอมหมื่นลี้ แล้วนำไปทอดในน้ำมัน จนได้ขนมที่มีรสชาติหอมอร่อย] ขึ้นมากัดคำหนึ่ง อีกมือก็ถือถ้วยชาผสมน้ำผึ้งไว้จิบเพื่อไม่ให้ขนมติดคอ
จ้าวจิ่นกวางยังคงพลิกสมุดบัญชีไปมา ดวงตาคมกริบตรวจดูยอดบัญชีให้ละเอียดอีกครั้ง ใบหน้าที่เริ่มมีเค้าร่างของบุรุษหนุ่มเข้มชัด หูก็ฟังจ้าวเสวี่ยเฟิงพูดไปด้วย
เขาระบายลมหายใจก่อนจะกล่าวเตือนน้องสาวว่า “ข้าว่ารอบนี้คุณชายเหยาคงไม่กล้าก่อเรื่องอีกนาน เจ้าเองเถอะ ระวังท่านปู่เอาไว้ให้ดี นายท่านเหยารู้จักกับท่านปู่มานาน อย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาสามส่วน”
จ้าวเสวี่ยเฟิงกินขนมจนหมด จิบน้ำชาที่ผสมน้ำผึ้งเสร็จก็ลูบท้องที่ป่องด้วยความอิ่ม ริมฝีปากอมยิ้มมีความสุข สำหรับนาง สุขใดไหนจะเท่าสุขที่ได้กินของอร่อยทุกวัน เรื่องที่นางก่อไว้ไม่ได้ทำให้นางเดือดร้อนสักเท่าใดนัก
นางพร้อมที่รับผลที่ตามมาเสมอ...
“รอบนี้โทษข้าไม่ได้ คุณชายเหยาผู้นี้นับวันยิ่งเหิมเกริม ไม่มีคนปราบเสียบ้างคงเอาแต่รังแกผู้อื่นไปทั่ว”
“ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี หนังตาขวากระตุกยิกๆ นี่สิ”
“พี่สาม ท่านก็พูดแบบนี้ตลอด สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” พูดจบนางก็หัวเราะร่วน
จ้าวจิ่นกวางคิดตามที่น้องสาวพูดก็เผลอหัวเราะตาม นึกสมน้ำหน้าคุณชายเหยานัก สองพี่น้องพากันหัวเราะเสียงดังราวกับกลัวว่าคนเบื้องล่างจะไม่ได้ยิน
หลงจู๊เหยินซึ่งอยู่ด้านล่างได้ยินเสียงคุณหนูกับคุณชายหัวเราะเสียงดังก็รู้สึกขนลุก ตั้งแต่คุณชายสามกับคุณหนูสี่ลงจากเขาซูซันมา ที่เมืองไคเฟิงก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เห็นทีสวรรค์คงลงทัณฑ์ที่เมืองไคเฟิงสงบสุขมาช้านาน
“หลงจู๊เหยิน คุณหนูกับคุณชายสามอยู่ที่นี่หรือไม่” ชิงเฟยหอบจนตัวโยน
หลงจู๊เหยินพอได้ยินสมองก็ประเมินเรื่องราวจนเข้าใจเป็นอย่างดี ยิ้มต้อนรับพร้อมกับนำน้ำชามารับรองชิงเฟย มือหยาบกระด้างรินน้ำชาให้สาวใช้ของคุณหนูอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความชำนาญเขาจึงกะเวลาและระยะของถ้วยชาไม่ให้น้ำชากระเด็นแม้เพียงหยดเดียว นับเป็นยอดฝีมือในการรับรองแขกโดยแท้ ชิงเฟยมองด้วยความตื่นตะลึง
“เจ้ารอสักครู่ เดี๋ยวข้าไปบอกคุณชายสามกับคุณหนูสี่ให้ นั่งพักก่อนเถิด” พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนด้วยความรวดเร็ว
ชิงเฟยเห็นน้ำชาก็ร้องในใจว่าสวรรค์เมตตานางแล้ว รีบดื่มชาด้วยความกระหาย ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาหลงจู๊เหยินก็เดินลงมา เมื่อเห็นชิงเฟยมีท่าทีเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงแผ่ว พร้อมกับส่งยิ้มให้สาวใช้
“ชิงเฟย คุณหนูสี่บอกว่าขึ้นไปได้”
พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ส่งยิ้มกลับ
“ขอบใจหลงจู๊เหยิน” พูดจบชิงเฟยก็สาวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว จนหลงจู๊เหยินตาลาย
เขาเกาศีรษะด้วยความงุนงง พลางพึมพำกับตัวเองว่า “แม่นางชิงเฟยวิ่งตามคุณหนูสี่จนชิน ตอนนี้ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก”
ฝีมือชิงเฟยรุดหน้าขึ้นอีกขั้นโดยที่นางไม่รู้ตัว เรื่องนี้นับเป็นความดีความชอบของจ้าวเสวี่ยเฟิง
เสียงฝีเท้าดังมาก่อนที่คนจะปรากฏตัว คนในห้องจึงรู้ทันทีว่าสาวใช้มือดีมาถึงแล้ว
“มีอะไรชิงเฟย” จ้าวเสวี่ยเฟิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เจอหน้าชิงเฟยทีไรอารมณ์เบิกบานของนางมักจะหดหาย เพราะสาวใช้ผู้นี้เข้มงวดยิ่งกว่ามารดาของนางเสียอีก
“คุณหนูเจ้าขา คุณชายสามเจ้าขา มีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ” นางพูดน้ำเสียงตื่นๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกับสภาพเหงื่อซึมช่างน่าขำยิ่ง
จ้าวจิ่นกวางปิดสมุดบัญชีลง ตั้งใจฟังเรื่องด่วนของสาวใช้ ชิงเฟยเห็นเจ้านายสนอกสนใจก็พูดติดๆ ขัดๆ “นะ นะ นะ..นายท่านเจ้าค่ะ เอ๊ย...ไม่ใช่ๆ ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อเป็นอะไร” จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นท่าทีตื่นเต้นของสาวใช้ก็คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับบิดาบังเกิดเกล้า จิตใจจึงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“เอ่อ...ท่านแม่ทัพไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ แต่ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว คุณชายใหญ่ คุณชายรองก็กลับมาด้วยนะเจ้าคะ ตอนนี้กำลังจะถึงประตูเมืองทิศตะวันตกแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อสองพี่น้องได้ยินดังนั้นก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งสองไม่ได้เจอท่านพ่อ พี่ใหญ่ และพี่รองหลายปีแล้ว จึงคิดถึงยิ่ง โดยเฉพาะพี่รองที่มีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งไม่เป็นรองใคร
