บทที่สี่ บุพเพลิขิต
"ฮองเฮา.."
เสียงเรียกจากคนที่อ้ายเจินนางรอคอย เเน่หละ นางรู้มาก่อนเเน่ ว่าฮองเต้เกาหยวนจะเสด็จผ่านมาทางนี้..
ฮองเต้เกาหยวน ชื่นชอบคนจริงใจ ปากกล้า คิดกล้าพูด นางเลยใช้เเผนตัดพ้อ ต่อว่ากับดอกเหมย ล่อลวง ผีเสื้อ อย่างเกาหยวน ให้มาติดกับ
"ฮองเฮานี้ ข้าทำให้ใจเจ้าต้องเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้เลยหรือ" เกาหยวน ใช้มือกร้าน มาลูบไล้ที่ใบหน้านุ่มขอหญิงสาวอย่างอ้ายเจิน
"ฝ่าบาท" อ้ายเจินมิกล่าวสิ่งใด เพียงเเต่ น้ำตาใสไหลหยดลงบนฝ่ามืออันหยาบกร้านก็ดั่งน้ำกรดหยดลงหินผา..
เกาหยวนฮองเต้ อุ้มร่างอ้ายเจินขึ้นมาไว้เเนบอก.. จากนั้นก็บอกขันทีว่านะเสด็จไปตำหนัก หลงชิง..
อ้ายเจินได้เพียงเเต่อมยิ้มในใจ
หากเเต่ว่า เมื่อเกาหยวนเเละอ้ายเจิน อยู่ในภายตำหนัก ต่างก็นั่งอยู่คนละมุมเหมือนหนังคนละม้วน..
เกาหยวนนั่งอ่านฎีกา.. ไปพลาง จิบชาไปพลาง อ้ายเจินก็ได้เเต่นั่งดีดพิณ กล่อมเกลาบรรยากาศ ให้อบอวน ไปด้วยเสียงเพลงอันนุ่มนวล ชวนให้หลงไหล
ผู้คนภายนอกต่างคิดว่า คืนนี้อ้ายเจินจะได้ถวายการปรนนิบัติฮองเต้ ทั้งคืนเป็นเเน่!!
อ้ายเจินพล้อยหลับไปในที่สุด เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอบหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงอุ่นเสียเเล้ว..
หากเเต่ไร้เงาของมังกรที่ควรจะเคียงคู่กับนาง.. ทำให้นางทั้งเศร้าใจเเละโล่งใจไปได้ในเวลาเดียวกัน..
อ้ายเจินเข้าวังมานานนับเดือน เเต่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์!! ใครเล่าจะเชื่อ
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บก็มาถึงอีกคืน.. อ้ายเจินก็ได้เเต่นั่งถอนหายใจ มองตะเกียงไฟเเล้วคิดพ้อ กับชะตาชีวิตของตนเอง
นี้นางมาทำอะไรนี้กันเเน่.. หากเเต่กลายเป็นนกในกรงทองหนีก็หนีไม่ได้.. อยู่ก็เหมือนตาย การเเก้เเค้นเเม้นเเต่เอาคืนสักนิดก็ยังไม่ได้เริ่ม. ไม่สิไม่มีเเม้นโอกาส
ชีวิตข้า จางอ้ายเจิน ไม่จบ ไม่จบ ไม่จบเค่นี้เเน่...
อ้ายเจินลุกลี้ลุกลน เก็บข้าวของจำเป็นใส่ห่อผ้า เเล้วเเอบปีนหนีออกนอกตำหนักไป ด้วยวิชาตัวเบาที่พอจะมีติดตัว ไม่สิเก่งกล้า พ่อนางเป็นเเม่ทัพ ทั้งยังเป็นบุตรคนเดียว
วิชาต่างๆย่อมต้องตกถึงนางหมด..
อ้ายเจินคิดจะเเอบออกจากวังไปพบหลานหลิงอ๋อง.. อย่างน้อยได้เห็นว่าเขาเป็นเช่นไรก็ยังดี
เเต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาได้ซ่ะนี้ ไอ้ฝนไม่เท่าไหร่ เเต่เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ทำให้นางเป็นเเมวน้อย คลานหลบเข้าไปตำหนักร้างตำหนักหนึ่ง
ประจวบเหมาะหรือกรรมซัด เกาจ้านองค์ชายรัชทายาท วัย23 ปี ใน เกาหยวนฮองเต้ ก็ดันเข้ามาหลบฝนในที่ ตำหนักร้างนี้เช่นเดียวกัน
อ้ายเจินที่เข้ามาอยู่ก่อน ทั้งหนาวทั้งสั่น.. ทำอะไรไม่ถูก เเม้นจะเก่งกล้สเพียงใด สตรีก็ย่อมเป็นสตรี..
เกาจ้านหลังจากที่วิ่งเข้ามาหลบฝนในตำหนักร่างก็พบเข้ากับรอยเท้าเล็กๆ เขาเดินตามรอยเท้าเข้าไปยังภายในตำหนัก
ก็พบเข้ากับอ้านเจินที่นอนตัวสั่นอยู่..
"นั้น นางกำนัลที่เราเจอวันนั้นหนิ นางมาทำอะไรที่นี้?? "
เกาจ้านเข้าไปจับตัวอ้ายเจินก็พบว่าตัวนางร้อนอย่างกับไฟ ดูท่านางจะเจอพิษฝนไปเเล้วกระมัง
เกาจ้านจึงรีบก่อไฟเพื่อที่จะให้ที่นี้อุ่นขึ้น.. เกาจ้านเองก็ต้องจำใจ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของอ้ายเจินออก
หากเเต่ปล่อยไว้ นางคงได้เป็นปอดบวมตายเเน่ เพราะตอนนี้ปอดนางก็บวมใหญ่จริงๆ เอ้ย นั้นมันนม!!
เกาจ้านกระทำอย่างเบามือ เเม้นตัวเข้าจะมีวังหลังมาเเล้วหลายคน.. ก็นับนางผู้นี้เป็นคนเเรก ที่มิได้ยินยอมให้เยาเปลื้องผ้า..!!
เเต่ดูท่า ความอบอุ่นจากเเค่เเสงไฟคงไม่พอ ทำให้เกาจ้านตัดสินใจคว้าร่างของอ้ายเจิน มากอดไว้ ประคองนางนั่งใกล้ๆ กับกองไฟ..
เเปลกเหลือเกินหรือตัวข้าจะเป็นไข้ตามนามไป หัวใจข้าทำไมเต้นเเรงเช่นนี้
หน้าตานางก็เเสนจะธรร ....มะ
เกาจ้านยังไม่ทันพูดจบ หากเเต่หันไปมองหน้าของอ้ายเจินที่รับกับเเสงไฟ เเล้วราวกลับฉางเอ่อ ลงมาจากดวงจันทร์ มาล้อลวงเขา.. สตรีนางใดในเเผ่นดิน
ไหนหาจะหาผู้ใดงามล้ำเทียบเจ้าไม่มี.. เกาจ้าคิดเตลิดไปไกล..
เอาหละ ข้าล่วงเกินเจ้าไปเเล้ว เเม้นจะเป็นการช่วยเหลือเจ้า เเต่ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้าเเน่.. ข้ารับปากจะเเต่งเจ้าเข้าวังบูรพา....
กล่าวจบ เกาจ้านก็จุมพิต อย่างนุ่มนวลไปที่หน้าผากของอ้ายเจิน
นี่เป็นครั้งเเรกที่เขาทำผิดกฎเรื่องรับนางสนม.. หากเเต่บุพเพครั้งนี้ยากเกินจะขัด เกินจะห้ามใจ ล้วนเเน่สวรค์ลิขิตมาเเล้ว
