บทที่ 5 เข้าเมืองหลวง
บทที่ 5
เข้าเมืองหลวง
หลังจากที่สองแม่ลูกออกจากบ้านสกุลจางไปแล้ว
จางหนิงฮวาก็ได้ใช้เวลาศึกษาตำราสมุนไพรกับบิดาเพียงลำพัง
นางเรียนรู้วิชาแพทย์ในยุคสมัยนี้ ควบคู่ไปกับการแพทย์ที่นางเคยได้ศึกษาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งใจเรียนรู้ทุกอย่างจากผู้เป็นบิดา รวมถึงการรักษาตุ่มหนองบนใบหน้าให้หายดีไปด้วย
จางหนิงฮวามุ่งหวังว่าเมื่อเรียนรู้วิชาแพทย์จนครบแล้ว นางจะสามารถแก้แค้นคนที่ทำกับนางและทุกคนที่นางรักได้
สองพ่อลูกใช้เวลาถึงสามเดือนในการฟื้นฟูใบหน้าของหญิงสาว จนเวลานี้จางหนิงฮวากลับมามีใบหน้างดงามราวกับดอกเหมยเช่นเดิมแล้ว ความรู้เรื่องยาและการแพทย์ของนางก็ก้าวหน้าไปไกลเช่นกัน
‘ตอนนี้ก็ถึงเวลาคิดบัญชีกับพวกคนเลวทั้งหลาย’ หญิงสาวคิดในใจขณะกำลังปรุงยา
หญิงสาวคิดว่าตนเองมีความพร้อมและสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยนี้ได้แล้ว จึงคิดที่จะเดินทางไปจากที่นี่ ทว่าผู้เป็นพ่อก็ยังคงห่วงใย
“หนิงเอ๋อร์ พ่อไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก หากลูกรู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไปก็กลับมาหาพ่อได้เสมอ” จางหนิงเหอกล่าวกับบุตรสาวที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าเมืองหลวงในวันนี้ หากถามจากใจจริงเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวจากไปเลย
“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลยนะเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากเพียงใดท่านก็เห็นแล้ว ท่านพ่ออย่าได้เป็นห่วงลูกมากนักเลยเจ้าค่ะ ท่านแค่ต้องใช้ชีวิตให้ดี กินให้มาก นอนให้พอ เท่านี้ก็ทำให้หนิงเอ๋อร์ทำเรื่องสำคัญได้อย่างไร้กังวลแล้ว”
นางกุมมือของบิดาแล้วกล่าวเพื่อให้ท่านคลายความกังวลใจ ส่วนเรื่องสำคัญที่นางบอกกับบิดานั้นก็คือการกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของสกุลจางกลับมานั่นเอง
“ถึงอย่างไรพ่อก็ยังห่วงเจ้าอยู่ดี หากเจ้าเข้าเมืองหลวงแล้ว จงไปหาพี่ชายเจ้าที่โรงน้ำชาหนิงหลงเสียก่อนนะ พี่เจ้าจะได้พาเจ้าไปอยู่บ้านเก่าของท่านย่า เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากหาที่พักในเมืองหลวง”
จางหนิงเหอสั่งความบุตรสาวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางตอบกลับอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรเมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว นางย่อมต้องไปหาพี่ชายก่อนอยู่แล้ว
หลังจากสนทนากันเข้าใจแล้ว สองพ่อลูกจึงแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ควรทำ
แม้จางหนิงเหอจะถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงมาไกลถึงที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ถูกสั่งห้ามให้ใช้วิชาแพทย์ ดังนั้นเขาจึงได้เปิดบ้านเป็นโรงยาสำหรับช่วยรักษาชาวบ้านในถิ่นห่างไกลความเจริญโดยไม่เก็บค่ารักษา
แม้ไม่ได้เก็บค่ารักษากับผู้ใด แต่ชาวบ้านที่นี่ต่างมีน้ำใจกับเขาไม่น้อย ทุกคนคอยนำของกินของใช้ที่หามาได้จากป่าบนเขามามอบให้ไม่เคยขาด ทำให้ชีวิตของท่านหมอจางไม่ได้ลำบากอันใด แม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงก็ตาม
ส่วนทางด้านจางหนิงฮวา หญิงสาวก็ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอย่างที่ตั้งใจ นางจมอยู่ในภวังค์ส่วนตัวพักใหญ่ จนกระทั่งมีเสียงของคนลากเกวียนเอ่ยกับจางหนิงฮวาขึ้นมา เมื่อเกวียนขนข้าวของเขามาหยุดอยู่หน้าโรงน้ำชาขนาดใหญ่ที่มีห้องพักคอยให้บริการด้วย
“ถึงแล้วอาหนิง ที่นี่ล่ะคือโรงน้ำชาหนิงหลง”
“ขอบคุณท่านลุงหลี่และท่านป้า ที่ดูแลข้ามาตลอดสามวันนี้นะเจ้าคะะ” หญิงสาวกระโดดลงจากเกวียนและเอ่ยขอบคุณครอบครัวสกุลหลี่ที่ให้นางโดยสารมาด้วยตลอดสามวันที่ผ่านมา
“โชคดีนะอาหนิง กลับไปแล้ว ข้าจะคอยดูแลท่านหมอจางให้เจ้าเอง”
ภรรยาเจ้าของเกวียนบอกกับหญิงสาวด้วยความเอ็นดู
นางเคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านหมอจางในคราวที่ตนติดไข้ป่า จึงสำนึกในบุญคุณนั้นของท่านหมอจางเสมอมา ในยามที่ได้รู้ว่าบุตรสาวของท่านหมอกำลังจะหาทางเข้าเมืองหลวง ตนและสามีที่จะนำข้าวมาขายจึงอาสามาส่งหญิงสาวด้วยตัวเอง
“ขอบคุณท่านป้ามากนะเจ้าคะ อาหนิงฝากท่านดูแลท่านพ่อด้วย” หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามทาง
จางหนิงฮวาก้าวเข้ามายังโรงน้ำชาหนิงหลง สายตาของนางกวาดมองไปทั่วบริเวณ เพื่อมองหาพี่ชายตามที่บิดาได้กำชับไว้ ก่อนจะพบกับหญิงสาวนางหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเถ้าแก่เนี้ยของโรงน้ำชาแห่งนี้
“ขอโทษนะพี่สาว ท่านพอจะรู้จักกับคนที่ชื่อจางหนิงหลงบ้างหรือไม่เจ้าคะ” จางหนิงฮวาเดินเข้าไปเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งผู้คิดเงินของโรงน้ำชาแห่งนี้
“สวัสดีเจ้าค่ะคุณหนู ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดกับนายท่านจางหรือเจ้าคะ” นางไม่ตอบคำถามของหญิงสาว หากแต่ถามกลับมาเป็นคำตอบให้นางได้รู้
“ข้าคือจางหนิงฮวา เป็นน้องสาวของท่านพี่จางหนิงหลงเจ้าค่ะ ท่านพ่อของข้าบอกเอาไว้ว่า หากมาเมืองหลวงให้มาหาท่านพี่ที่นี่ก่อนเจ้าค่ะ” จางหนิงฮวาอธิบายเหตุผลให้หญิงสาวตรงหน้าเข้าใจ จนลืมไปว่าอีกฝ่ายเรียกพี่ชายของนางว่านายท่าน
“คุณหนูจางหรือเจ้าคะ เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้ก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของสตรีตรงหน้าก็เปลี่ยนไป นางพาจางหนิงฮวามายังห้องรับรองห้องหนึ่งในโรงน้ำชาหนิงหลง
“ว่าแต่เหตุใดท่านจึงต้องพสข้ามาที่ห้องนี้ด้วยเจ้าคะ”
จางหนิงฮวาเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที เมื่อทั้งสองนั่งลงตรง
โต๊ะน้ำชาเรียบร้อย
“ข้าขอแนะนำตัวก่อนนะเจ้าคะ ข้ามีชื่อว่าหลินอี้ฟาง
เป็นผู้ดูแลโรงน้ำชาแห่งนี้ให้กับนายท่านจางหนิงหลง พี่ชายของคุณหนู ที่ข้าต้องเชิญท่านมาสนทนากันในนี้ เป็นเพราะนายท่านจางไม่อยากให้ใครรู้ว่าที่นี่เป็นของนายท่าน แต่นายท่านเคยสั่งความไว้ว่าหากท่านหมอจาง หรือคุณหนูจางมาที่นี่ ให้เชิญทั้งสองท่านมานั่งในห้องรับรองแห่งนี้เจ้าค่ะ”
สตรีตรงหน้าอธิบายกับจางหนิงฮวาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ที่นี่คือกิจการของพี่ชายข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงสาวเอ่ยทวนอย่างไม่น่าเชื่อว่าโรงน้ำชาแห่งนี้จะเป็นของพี่ชาย
“เจ้าค่ะ นอกจากที่นี่แล้ว นายท่านยังมีเหลาสุราอีกสองแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางถนนทั้งสองฝั่งของประตูเมืองเจ้าค่ะ” หลินอี้ฟางเล่าให้จางหนิงฮวาได้ฟังถึงกิจการของจางหนิงหลง
สิ่งที่นางได้รับรู้ในวันนี้ ช่างเปิดหูเปิดตาให้นางยิ่งนัก เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า ถึงทำให้บิดาของนางใช้ชีวิตอยู่บ้านนอกได้อย่างไม่ขัดสนสิ่งใด ไม่ใช่เพราะชาวบ้านที่เมตตาหุงหาอาหารมาให้เพียงเท่านั้น แต่เพราะพี่ชายของนางที่มีกิจการใหญ่โตในเมืองหลวงคอยให้ความช่วยเหลือมาตลอดต่างหาก
จางหนิงฮวาเข้าใจได้ทันทีว่า เหตุใดพี่ชายจึงไม่อยากให้ใครล่วงรู้ว่าเป็นเจ้าของกิจเหล่านี้ เพราะเกรงว่าสองแม่ลูกอสรพิษ
จะหาทางสูบเลือดสูบเนื้อจากตนนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ท่านพี่ก็อยู่ที่เหลาสุราหรือ”
จางหนิงฮวาเอ่ยถามกับอีกคนออกไปอย่างใคร่รู้
“เจ้าค่ะ แต่หากคุณหนูอยากจะไป อี้ฟางจะให้เสี่ยวเอ้อเอารถม้าไปส่งนะเจ้าคะ” หลินอี้ฟางตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน “แต่หากคุณหนูไม่มีธุระด่วนอันใด รอที่นี่ก็ได้เจ้าค่ะ ยามเซินคุณชายก็กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยต่อให้จางหนิงฮวาได้ตัดสินใจ
“ถ้าอย่างนั้นข้ารอพบพี่ใหญ่ที่นี่ก็ได้ แต่ข้าจะออกไปทำธุระข้างนอกเสียหน่อย ขอถามหน่อยว่าเจ้ารู้จักกับสกุลจ้านหรือไม่”
จางหนิงฮวาที่ตัดสินใจไม่ไปตามหาพี่ชายที่เหลาสุราก็คิดจะไปทำธุระของตน นั่นคือการสืบหาตัวสองแม่ลูกอสรพิษกับหนึ่งบุรุษขาดสติที่คว้าเอาสตรีอย่างอี้ลี่อินมาเป็นภรรยา
“พอจะรู้จักอยู่บ้างเจ้าค่ะ สกุลจ้านเป็นสกุลพ่อค้าใหญ่ แต่ตอนนี้นายท่านจ้านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว จวนสกุลจ้านมีเพียงแม่เฒ่าจ้านผิงเป็นผู้ดูแล ส่วนคุณชายจ้านตงก็เห็นว่าแต่งสตรีบ้านนอกเข้าจวนมา ตอนนี้ก็กำลังเปิดกิจการร้านขายผ้าอยู่ในถนนเส้นนี้เช่นกันเจ้าค่ะ” หลินอี้ฟางบอกสิ่งที่ตนรู้ให้กับจางหนิงฮวาฟังอย่างไม่ปิดบัง
แน่นอนว่าคนนอกไม่มีใครรู้ว่าอี้ลี่อินเป็นลูกติดภรรยาของท่านหมอจางหนิงเหอ เนื่องจากว่าอี้อันหนิงไม่เคยพาบุตรสาวออกจากจวนพร้อมกันสักครั้ง ทุกครั้งที่นางจะออกไปเดินเล่นกับบุตรสาวนางจะแยกกันออกจากจวน โดยที่อี้อันหนิงเดินออกทางหน้าจวน ส่วนอี้ลี่อินจะใช้ประตูหลังจวนเป็นทางออกเสมอ
นี่จึงทำให้ผู้คนเข้าใจว่านางเลี้ยงลูกติดไว้นอกจวนสกุลจาง แม้ความจริงอี้ลี่อินจะใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในจวนสกุลจางก็ตาม
ซึ่งท่านหมอจางก็ไม่เคยคิดจะแก้ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น ทำให้เรื่องราวถูกเข้าใจไปอย่างที่หลินอี้ฟางเข้าใจ
“ร้านขายผ้าเช่นนั้นหรือ เจ้าจะพาข้าไปดูได้หรือไม่”
จางหนิงฮวาเอ่ยขอความช่วยเหลือจากอีกคน
“แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนูด้วย เรียกข้าว่าอาหนิงก็พอ”
จางหนิงฮวารู้สึกได้ว่าหลินอี้ฟางมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากคนดูแลโรงน้ำชาทั่วไป หนำซ้ำอีกฝ่ายดูจะมีอายุไล่เลี่ยกับนาง ท่าทางดูไม่เลว คบไว้เป็นสหายคงไม่เสียหายอะไร แต่เวลานี้นางแค่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของอีกฝ่าย เรื่องนี้คงต้องรอถามความจากพี่ชายตัวดีเสียก่อน
