บทที่ 3 เลี้ยงสุนัขยังรู้จักเจ้าของ
บทที่ 3 เลี้ยงสุนัขยังรู้จักเจ้าของ
“หนิงเอ๋อร์” เสียงเอ่ยเรียกของชายวัยกลางคนที่แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ก็ยังมีร่างกายที่แข็งแรง เอ่ยเรียกบุตรสาวผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร
ท่านหมอ จางหนิงเหอ บิดาแท้ ๆ ของจางหนิงฮวามองดูบุตรสาวที่บัดนี้มีใบหน้าที่ยับเยินไม่น่ามองจากตุ่มหนองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งใบหน้า เหตุที่ท่านหมอจางผู้มีความสามารถโดดเด่น เคยเป็นถึงอดีตหมอเทวดาในวังหลวงไม่ยอมรักษาใบหน้าของบุตรสาวด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใบหน้าที่งดงามของบุตรสาวดึงดูดภัยเข้าสู่ตน จึงทำได้เพียงปล่อยให้ตุ่มหนองอยู่บนใบหน้าของนางลุกลามจนหาความงามไม่เจอ
“ท่านพ่อ” จางหนิงฮวาตอบรับบิดาเสียงเบา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นบิดาในชาตินี้
“หนิงเอ๋อร์อกตัญญูต่อท่านพ่อยิ่งนัก หากข้ามีความสามารถและความกล้ามากกว่านี้ ท่านพ่อคงไม่เป็นที่ครหาแก่ผู้คน” หญิงสาวกล่าวต่อไปด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนศีรษะเล็กจะโขกลงตรงพื้นไม้เบื้องหน้าผู้เป็นบิดาด้วยความแรงที่ทำให้หน้าผากบางปริแตกได้
“ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นพ่อที่โง่เขลาจนทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน ลุกขึ้นเถอะนะ หนิงเฮ๋อร์” ท่านหมอจางรีบเอ่ยห้ามบุตรสาว ฝ่ามือหนาจับไหล่บางทั้งสองข้างพร้อมกับประคองให้นางนั่งลงดี ๆ
“เพิ่งจะรู้ตัวหรืออย่างไรว่าตัวเองช่างโง่นัก” เสียงโวยวายแหลมสูงของสตรีผู้มาใหม่ เรียกให้จางหนิงฮวาต้องหันกลับไปมองด้วยความไม่พอใจ ประกายตาของนางฉายแววความเย็นชาและเจ็บแค้นอย่างห้ามไม่อยู่
“หากไม่เพราะท่านโง่เง่า พวกเราสองแม่ลูกคงไม่ต้องมาตกระกำลำบากอยู่เช่นนี้หรอก” สตรีนางนี้ยังคงด่าทอหมอจางไม่หยุด
เมื่อเห็นเจ้าของเสียงเต็มตา ก็พาให้หัวใจของจางหนิงฮวาเต้นรัวด้วยความแค้น นางจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่เดินเข้ามาใหม่อย่างช้า ๆ ฝ่ามือกำแน่นด้วยความแค้นใจ
ผู้ที่มาเยือนอย่างไร้มารยาทนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสองแม่ลูกอสรพิษที่บิดาของจางหนิงฮวาจำใจรับเข้าจวนมาเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง
“เจ้าว่าใครโง่เขลา” หญิงสาวถามทวนสิ่งที่ตนได้ยินออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางจ้องหน้าสองแม่ลูกอย่างไม่วางตา โดยเฉพาะอี้ลี่อินที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเพื่อนรักสารเลวในชาติก่อนไม่น้อย
ที่นี่เป็นห้องส่วนตัวของบิดา เหตุใดสองแม่ลูกนี้จึงไร้มารยาทบุกเข้ามาอย่างอุกอาจ หากวันนี้ไม่ได้สั่งสอนสตรีปากไม่มีหูรูดผู้นี้ อย่ามาเรียกนางว่าจางหนิงฮวาเลย
“ข้าถามเจ้า ผู้ใดโง่เขลา” จางหนิงฮวาถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่แข็งกร้าวกว่าเดิม พร้อมกับสาวเท้าเข้าหาสองแม่ลูกอสรพิษอย่างช้า ๆ จนร่างของนางอยู่ห่างจากสตรีทั้งสองเพียงเอื้อมมือ
“ทำไม ลี่เอ๋อร์ของข้ากล่าวผิดหรืออย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าพ่อของเจ้าโง่เขลาจนโดนคนใส่ร้ายได้หรอกหรือ ทำให้พวกข้าสองแม่ลูกต้องมาอยู่ในที่กันดารเช่นนี้” อี้อันหนิงเห็นท่าทางเอาเรื่องของจางหนิงฮวา ก็เอาตัวเข้ามาขวางหน้าบุตรสาวของตนทันที เสียงแหลมแสบหูของนางเถียงสตรีที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของตนไปด้วย
“หึ! สิ่งเดียวที่ข้าเห็นว่าบิดาโง่เขลาจนทำผิดพลาดไป คือการรับเจ้าสองแม่ลูกเข้าจวนในวันนั้น” จางหนิงฮวากล่าวจบก็ผลักหญิงหม้ายให้พ้นทาง ก่อนที่จะยื่นมือไปจิกเข้าที่เส้นผมหนาของอี้ลี่อินแล้วกระชากอย่างแรง
“คนที่เกาะพ่อข้ากินมาตั้งแต่เกิดอย่างเจ้า มีสิทธิ์มากล่าวคำอกตัญญูเช่นนี้หรือ หากแม่ของเจ้าไม่สั่งสอนเจ้า ข้าจะสั่งสอนเอง”
หญิงสาวกล่าวจบ นางฟาดฝ่ามือเข้าบนแก้มขาวของน้องสาวต่างสายเลือดอย่างแรง
“ว้าย! ลี่เอ๋อร์” อี้อันหนิงกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบุตรสาวของตนถูกลูกเลี้ยงตบจนล้มคว่ำในฝ่ามือเดียว
สองแม่ลูกอสรพิษถึงกับตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าจางหนิงฮวาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนเดิมที่พวกนางเคยพบเจอ จากสตรีโง่เง่าอ่อนแอกลับกลายเป็นหญิงสาวก้าวร้าวร้ายกาจในชั่วข้ามคืนได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้าไม่ว่าสองแม่ลูกจะโขกสับรังแกนางมากเพียงใด หญิงสาวก็ไม่เคยโต้ตอบเลยสักครั้ง แม้แต่ขึ้นเสียงสักครึ่งคำก็ยังไม่เคยมี
จางหนิงฮวาในตอนนั้นมีแต่จะแอบไปนั่งร้องไห้เพียงลำพังจนน่ารำคาญ หากแต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นเก่าก่อนแล้ว ลูกเลี้ยงของนางในตอนนี้คือสตรีที่พร้อมจะโต้กลับคนที่คิดร้ายกับนางเป็นร้อยเท่า
“หากข้าได้ยินเจ้ากล่าววาจาอย่างคนอกตัญญูเยี่ยงนี้อีก”
หญิงสาวก้มลงไปหาคนที่นั่งทรุดอยู่ที่พื้นแล้วยื่นมือไปบีบสองข้างแก้มของน้องสาวต่างสายเลือดด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะเป็นคนสั่งสอนทั้งเจ้าและมารดาของเจ้าให้รู้เองว่า ผู้ที่มีพระคุณควรตอบแทนอย่างไร และผู้ไม่รู้คุณควรสั่งสอนอย่างไร”
กล่าวจบจางหนิงฮวาก็ผลักใบหน้าขาวที่แก้มข้างหนึ่งขึ้นปื้นแดงเป็นรอยมือของนางออกอย่างแรง ทำให้น้องสาวต่างสายเลือดของนางถึงกับทิ้งร่างนอนราบไปบนพื้นเรือน
“หนิงเอ๋อร์” อี้อันหนิงรีบเข้าไปประคองบุตรสาวให้ลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะมองจางหนิงฮวาด้วยสายตาไม่พอใจ
“เจ้ากล้าทำร้ายลูกสาวข้างั้นหรือ ดูสิว่าวันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าอย่างไร” เมื่อเห็นบุตรสาวโดนทำร้ายต่อหน้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ นางเดินเข้ามาหาลูกเลี้ยงหมายจะทำร้ายจางหนิงฮวา เพื่อเป็นการเอาคืนให้บุตรสาวของตน
“หนิงเอ๋อร์!!” ท่านหมอจางเรียกบุตรสาวด้วยความตกใจ
เพี้ย!!
“ท่านพ่อ!!! “
“ท่านหมอจาง…”
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว จางหนิงเหอที่เห็นบุตรสาวกำลังจะถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา มีหรือที่ผู้เป็นบิดาจะนิ่งนอนใจได้ เขาลุกขึ้นแล้วเอาตัวเข้าบังร่างของบุตรสาวตนเอาไว้ ทำให้ฝ่ามือบางของอี้อันหนิงฟาดเข้าตรงใต้คางเขาเสียเอง
โชคดีที่จางหนิงเหอมีส่วนสูงที่มากกว่า จึงทำให้ฝ่ามือของนางพลาดจากใบหน้าของเขาไป
“ท่านพ่อ เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
จางหนิงฮวาเอ่ยถามบิดาด้วยความร้อนรน
ก่อนจะเดินออกมาจากแผ่นหลังของบิดา เพื่อประจันหน้ากับสองแม่ลูก
“เลี้ยงคนเยี่ยงเจ้า พวกข้าเลี้ยงสุนัขเสียยังดีกว่า อย่างน้อยมันก็เฝ้าบ้านได้ แล้วก็ไม่กัดเจ้าของ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเข้ม ร่างของนางสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ก่อนที่สองแม่ลูกจะได้ทันตั้งตัว นางก็รัวฝ่ามือใส่หน้าสตรีทั้งสองเสียเต็มแรง
เพี้ย!! เพี้ย!! เพี้ย!!
จากนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งจิกกระชากเส้นผมหนาของอี้ลี่อินไว้แน่น มืออีกข้างก็สะบัดฟาดใส่แก้มขาวสลับซ้ายขวาอย่างระบายความโกรธแค้นที่สะสมมานานหลายปี
“หยุดนะ นังอัปลักษณ์ ป่วยจนผีเข้าหรืออย่างไร พอฟื้นขึ้นมาถึงเหมือนคนบ้าเช่นนี้” อี้อันหนิงร้องท้วงออกมาอย่างร้อนรน ก่อนจะเข้าไปช่วยบุตรสาวของตนออกมาจากมือของลูกเลี้ยง แต่ช่างยากเสียเหลือเกินเพราะจางหนิงฮวากำไว้แน่น
“หึ! บ้าเช่นนั้นหรือ ผีเข้าเช่นoyhoหรือ ปากอัปมงคลยิ่งนัก ตีหมายังต้องดูเจ้าของ สั่งสอนบุตรธิดาก็ต้องดูหน้าบิดามารดาด้วย เช่นนั้นข้าจะช่วยสั่งสอนมารดาปากเสียอย่างเจ้าด้วยอีกคน” มือที่กำเส้นผมหนาอยู่ออกแรงเหวี่ยงให้อี้ลี่อินกระเด็นไปอีกทาง จากนั้นหญิงสาวก็หันกลับมาฟาดฝ่ามือใส่หน้าอี้อันหนิงอย่างไม่ทันให้นางได้ตั้งตัว
“หนิงเอ๋อร์ พอเถิด หนิงเอ๋อร์” จางหนิงเหอที่เห็นว่าบุตรสาวเสียการควบคุมอารมณ์ไปก็ได้เข้าไปดึงข้อมือเล็กไว้ในตอนที่นางกำลังจะฟาดมือบางเข้าใส่หน้าอี้อันหนิงซ้ำอีกครั้ง
“ท่านพ่อ อย่าห้ามหนิงเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ” จางหนิงฮวาตอบกลับบิดาเสียงแข็ง “คนอกตัญญูเช่นพวกนาง หากไม่ตบเรียกสติเสียบ้าง กลัวจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร กินข้าวบ้านใคร ใช้ของของผู้ใด” นางกล่าวจบก็พ่นลมหายใจออกมา เพื่อระบายความโมโหที่คับแน่นอยู่ในใจ
“หึ่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะนังตัวดี เรื่องในครั้งนี้ข้าไม่มีทางยอมเจ้าแน่” อี้อันหนิงกล่าวเสียงแข็งไม่แพ้กัน ก่อนที่สองแม่ลูกจะประคองกันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกจากห้องไป
“หนิงเอ๋อร์ เหตุใดลูกจึง...”
จางหนิงเหอมองหน้าบุตรสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา เหตุใดบุตรสาวที่นอนป่วยมาหลายวัน ถึงฟื้นขึ้นมาแข็งแรงเหมือนไม่ได้ป่วยไข้เยี่ยงนี้ อีกทั้งนิสัยทำไมถึงเปลี่ยนไป
ชายสูงวัยไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้สักครึ่งคำ เมื่อมองสบตากับบุตรสาวของตน ในตาแววหวานที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นไม่มั่นใจ เวลานี้กับเข้มแข็งเสียมากกว่าเขาที่เป็นบุรุษอกสามศอกเสียอีก
“ท่านพ่อ หนิงเอ๋อร์ผ่านโลกแห่งความตายมาแล้ว และได้ขอกลับมาเพื่อแก้ไขทุกอย่าง ต่อจากนี้ไปหนิงเอ๋อร์จะไม่ยอมให้ท่านลำบากอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ ลูกจะไม่ยอมใครเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ลูกจะทำให้ท่านได้กลับไปอยู่ในเมืองหลวงอีกครั้ง ใครที่มันเคยใส่ร้ายจนทำให้ท่านต้องลำบาก ลูกจะตามคิดบัญชีพวกมันให้หมด”
หญิงสาวกล่าวคำสัญญากับบิดาของตนด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว แม้แต่สายตาของนางก็ยังมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
