บทที่ 1.1 เทอมแรกใจว้าวุ่น
ในห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์มหาโหดโจทย์ยาวเป็นวา นักเรียนกำลังนั่งคิดวิเคราะห์โจทย์อยู่นั้น หน้าห้องเรียนก็มีกลุ่มของรุ่นพี่เดินผ่านเพื่อไปเรียนที่ห้องวิทยาศาสตร์
“พี่ฟลุค...อ๊าย” พราวหันมองทันที เธอสบตาเขาที่หันมาเพราะเสียงเรียก ทำให้เธอหัวใจเต้นแรงหน้าร้อนผ่าวและมันคงแดงระเรื่อ
“ฮืม แค่เห็นหน้าแก้มแดงขนาดนี้ ถ้าได้อยู่ใกล้สงสัยเป็นลมล้มพับไปแน่ๆ ยัยพราวเอ๊ย”
“แกล้งกันอีกแล้วนะฝน ไม่สนุกเลย” เสียงเพื่อนในห้องโห่แซว เมื่อเห็นว่าพราวทำหน้าเง้างอน บิดชายเสื้อของตัวเองจนยับย่น
“เขินหวะ ดูพราวสิหน้าแดงเหมือนตูดลิงเลย”
“โอ๊ย แซวทำบ้าอะไรวะ ไม่ตลกนะเว้ย” เด็กสาวเดินปั้นปึงออกจากห้องเรียนไป เธอเดินย่ำเท้าลงบันไดไปจนเกือบจะถึงชั้นล่างแล้ว เธอดันได้ยินเสียงคนคุยกันจากด้านล่าง
“ฮอตจริงเลยนะมึง สาวกรี๊ดทั้งโรงเรียน กูแบกขนมไม่ไหวแล้วเนี่ย”
“จะแบกทำไม ทิ้งไปบ้างก็ได้ ที่ห้องกูขนมเยอะจนกินไม่ทันแล้ว”
“เสียดายของ เอาไปแจกเด็กๆ แล้วกัน” เพื่อนของฟลุคเป็นคนเสนอความคิดเห็น
“แล้วเรื่องมึงกับนุ่มนี่มันยังไงวะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอินเลิฟแล้วเหรอ”
“ก็ปกตินะ นี่มึงเป็น FC กูด้วยเหรอวะไอ้แว่น”
“เชี้ย กูเพื่อนมึง ก็ต้องรู้เรื่องมึงบ้างสิวะ ไปแดกข้าวได้แล้ว เดี๋ยวคนเยอะ” ผู้ชายสองคนเดินกอดคอกันออกไปจากตรงนั้น ส่วนคนที่กั้นหายใจอยู่เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่ามีคนยืนตรงนั้น
“เฮ้อ ทำไมต้องมาได้ยินเรื่องนี้ด้วยล่ะยัยพราวเอ๊ย อกหักมันเจ็บนะเนี่ย”
ในทุกวันเหล่านักดนตรีวงโยธาวาทิตจะต้องมาซ้อมเพลงกัน เพราะโรงเรียนจะมีงานประจำปี และยังเทศกาลงานสำคัญต่างๆ อีกด้วย พราวเพิ่งเข้ามาเป็นนักดนตรีได้ไม่นาน เธอต้องซ้อมหนักเพื่อให้ทันคนอื่น เหตุผลที่เลือกมาเล่นดนตรีก็หนีไม่พ้นอยากอยู่ใกล้รุ่นพี่นั่นแหละ
“แซก เฮ้ย แซก หลับหรือไง” เสียงเรียกปลุกพราวให้หลุดออกจากภวังค์ เธอสะดุ้งแล้วมองไปรอบตัว เพื่อนจ้องมองเธอกันทุกคน “พราว ทำไมไม่เล่น” ซวยแล้ว
“อะ เอ่อ เล่นไม่ได้ค่ะ” เธอแกล้งตอบออกไป มันจะหาเหตุผลอะไรได้ทันล่ะ
“ดี งั้นเย็นนี้ปิดห้องซ้อมให้เรียบร้อย คนเดียวด้วย” หงายท้อง โอ๊ยๆ โดนทำโทษจนได้พราวเอ๊ย นี่เธอบ้าผู้ชายจนเป็นเรื่องอีกแล้วเหรอ
“ซวยจริงๆ” แน่ล่ะ ตอนที่ซ้อมแซกโซโฟนมีเธอมาซ้อมเพียงคนเดียว เพื่อนอีกสองคนทำงานไม่เสร็จ เธอเลยโดนทำโทษคนเดียว
พราวเดินไปปิดหน้าต่างทีละบาน ด้วยอารมณ์ล่องลอย เธอเหมอจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ราวกับว่าโลกของเธอนั้นมีแต่หมอกจางๆ มองไปข้างหน้าก็เห็นทางออกไม่ชัดเจน
“ให้ช่วยไหม๊” เสียงแอ้พูดขึ้นหลังจากที่เขาเพิ่งเอาทรอมโบนไปเก็บใส่กล่อง
“ไม่ต้องยุ่ง” เขาหน้าเจื้อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อารมณ์นั้นพราวคงไม่ง้อเขาแน่นอน
“ดุชะมัด คนหรือหมา”
“ไอ้แอ้ ไปเลยนะ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ยังจะมากวนประสาทอีก ไปยืนอยู่ห่างๆ เลย”
“อกหักสิท่า” พราวเงียบ พราวจัดการปิดประตูห้องซ้อมแล้วเดินลงบันไดฝั่งริมสุดแทนการไปรวมกับเพื่อนที่บันไดกลาง
“นี่แก วันนี้ฉันนัดพี่ฟลุคไปกินไอศกรีมด้วย พี่เค้าตกลงแหละ โอ๊ย เสร็จฉันแน่” พราวรีบหันมองตามเสียงที่กำลังเดินพ้นทางวนของบันไดลงมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอก็เดินต่อไป ทั้งที่ใจสั่นอย่างประหลาด
“เป็นอะไร หน้าซีดเชียว” แอ้ที่รออยู่ข้างล่างถาม
“เปล่า ถามอะไรหน่อยได้ไหม๊”
“อืม ได้สิ ถ้าตอบได้นะ” พราวถอนหายใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แต่เธอก็อยากรู้
“ทำไมต้องมาเดินตามตลอดเวลาด้วยเนี่ย เราเห็นนะว่าแอ้ตามเรามาหลายวันแล้วด้วย มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”
คนถูกถามนิ่งอึ้งไป เขากรอกตาไปมาราวกับว่าหาคำตอบดีๆ สักคำตอบ พราวเดินมายืนจ้องหน้ารอฟังคำตอบ สายตาเธอคาดคั้น
“อะ เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก เป็นห่วงไง”
“ห่วงอะไร พราวโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ”
“ก็เพราะโตแล้วน่าห่วงกว่าตอนเป็นเด็กอีก แถมยิ่งโตก็ยิ่งน่ารักแบบนี้ไม่ห่วงได้ยังไง” พราวเบิกตากว้างกรอกตาเช่นกัน เธอประมวลผลกับคำนั้นแล้วหน้าก็เริ่มแดง
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ใครน่ารัก”
“ตายห่า เผลอพูดออกไป” แอ้สบถกับตัวเองแล้วก็ตีปากตัวเองไปที “คือ ว่า เอ่อ”
“เอ้าจะพูดไหม๊เนี่ย รอฟังอยู่” เธอคาดคั้นอีกครั้ง
“คือว่า เราชอบพราวชอบมาก ชอบมานานแล้วด้วย” เหมือนสิ่งมีชีวิตรอบตัวเธอจะหยุดการเคลื่อนไหว ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่ได้ยินเสียงใครคุยกัน ไม่ได้ยินเสียงรถที่แล่นเข้ามา มีเพียงเสียงหัวใจของเธอกับเขาเท่านั้นที่เต้นโครมคราม
