บทที่ 5 เจ้าทัพ
'ซี้ดด โคตรแน่นเลยวะ'
'อึก ปล่อยเรานะ บอกให้ปล่อยไง!'
'จะปล่อยไปได้ไง น้องจันทร์จ้าวเด็ดขนาดนี้'
'บอกให้ปล่อยไง!! ใครก็ได้ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย!'
'จะไปไหน! กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะจันทร์จ้าว!!!'
"อย่า! ปล่อยนะ ปล่อยเรานะ!"
"จันทร์!! เป็นไรไอจันทร์!"
เฮือก!
"พ่อ... ลูกฝันร้ายอีกแล้ว"
จ้าวสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เขารีบอ้าแขนรอให้พ่อมากอดปลอบทันที
"ไม่เป็นไรๆ ฝันร้ายจะกลายเป็นดี"
บุญล้นรีบเข้าไปกอดลูกชายพลางลูบหัวเบาๆเพื่อปลอบขวัญ
วันนี้เขาตั้งใจตื่นแต่เช้าปิดร้านที่บ้านตั้งใจมาเฝ้าลูกที่โรงพบยาบาล พอเขาเข้ามาในห้องก็เห็นจ้าวนอนละเมอร้องห่มร้องไห้จนเขาต้องรีบไปปลุกให้ตื่น
"ฝันร้ายนะตาโล้น มันไม่เคยดีหรอก"
เมื่อตัวเองรู้สึกใจดีขึ้นแล้ว จ้าวจึงดันตัวตาโล้นให้ออกห่าง พลันเช็ดน้ำตาที่หางตาตัวออก
"มึงฝันว่าอะไรละ เดี๋ยวกูทำนายให้ว่าดีหรือไม่ดี"
จ้าวส่ายหน้าระรัว เขาไม่มีทางบอกเด็ดขาดว่าเขาฝันว่าอะไร เขาไม่มีทางบอกหรอกว่าเขาเคยเจออะไรมา จ้าวไม่อยากให้ตาโล้นรู้สึกแย่หรืออับอายที่ลูกชายโดนข่มขืน แถมยังไม่รู้ตัวคนร้ายอีก
"มึงฝันร้ายละเมอรุนแรงแบบนี้มาห้าปีแล้วนะไอจันทร์ ถ้ามึงไม่บอกกู มันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ หรือจริงๆมึงยังคิดถึงเรื่องนั้น"
บุญล้นทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เขายื่นมือไปลูบแก้มเจ้าลูกชายอย่างทะนุถนอม แววตาของคนเป็นพ่อเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาเข้าใจว่าลูกชายคงยังฝังใจเรื่องที่แม่ตัวเองทิ้งไปมีคนรักใหม่ เลยเก็บเอามาฝันร้ายตลอด เพราะเรื่องมันเกิดเมื่อห้าปีที่แล้วนี่เอง มันตรงกับที่จ้าวฝันร้ายและละเมอมาตลอด
"ก็บอกไม่ใช่เรื่องนั้นไง ลูกมูฟออนได้แล้วเถอะ ตาโล้นแหละ มูฟออนไม่ได้ละสิ"
จ้าวปฏิเสธทันควันพร้อมกับแขวะคนเป็นพ่อกลับไปด้วย
"เหอะ! แม่มึงไม่ได้ทิ้งกูนะ กูต่างหากที่ทิ้ง แล้วกูต้องมามูฟออนอะไร กูไม่ได้เสียใจสักหน่อย"
บุญล้นเชิดหน้าขึ้น พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
"เหอะ หึหึ หึ ฮะ ฮ่าๆๆๆ"
จ้าวหัวเราะเยาะใส่พ่อตัวเองอย่างสมเพช
"ฮ่าๆๆๆ"
บุญล้นเองก็หัวเราะสมเพชลูกชายเช่นกัน สองพ่อลูกต่างหัวเราะร่วน พวกเขาต่างสมเพชตัวเองที่ลืมคนที่ทำร้ายจิตใจพวกเขาไม่ได้สักที พวกเขายังคงรักและคิดถึงโอลิเวียภรรยาและแม่ของลูกเสมอมา
"โอ้ยๆ เจ็บๆ"
จ้าวหัวเราะแรงเกินจนเจ็บชายเอว เขางอตัวกุมท้องตัวเองเอาไว้
"เอ้าๆ สมน้ำหน้าไอเด็กเหี้ย อยากหัวเราะเยาะกูดีนัก"
"ตาโล้นก็หัวเราะเยาะลูกเถอะ เหอะ!"
จ้าวสวนกลับทันที เขาเบะปากใส่อย่างหมั่นไส้
ก๊อก ก๊อก
สองพ่อลูกหันไปมองประตูห้องพร้อมกัน บานประตูถูกเปิดออกปรากฏบุคคลใหม่สามคนเดินเข้ามา มีคุณหมอ เทิดทูนแล้วก็ข้าวปั้น
"หลับสบายดีมั้ยคะคุณจันทร์จ้าว หมอขอตรวจหน่อยนะคะ"
คุณหมอสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใส เธอหยิบสเต็ทโตสโคปขึ้นมาวางบนหน้าอกของจ้าวเพื่อตรวจ
เทิดทูนและข้าวปั้นหยิบเก้าอี้มานั่งอีกฝั่งของเตียง
"ครับ สบายดีครับ ผมฝากขอบคุณคนที่ออกค่าใช้จ่ายให้ด้วยนะครับ"
จ้าวรู้เรื่องคนที่ช่วยพาเขามาส่งโรงพยาบาลและจ่ายค่ารักษาให้ด้วยจากพี่พยาบาลที่มาดูแลเขา
"หืม ขอบคุณเขาเองดีกว่านะคะ เห็นว่ากลับไปอาบน้ำกินข้าวแล้วจะกลับมาเฝ้าต่อ "
"ครับ เฝ้าต่อเหรอ?"
จ้าวทำสีหน้างุนงง ทั้งข้าวปั้นและเทิดทูนที่ได้ยินก็งงไม่ต่างกัน ก็เมื่อวานไม่มีใครเฝ้าจ้าวนี่น่า แล้วคำว่าเฝ้าต่อนี่คืออะไร
"ค่ะ เมื่อคืนเขาก็นั่งเฝ้าคุณจันทร์จ้าวทั้งคืนเลยนะคะ"
"อ่า ผมไม่รู้เรื่องเลย เมื่อคืนผมง่วงมาก"
จ้าวรู้สึกจำได้ลางๆว่าเมื่อคืนเหมือนมีคนมาคุยกับเขาแต่ด้วยความง่วงมากๆเขาจึงหลับต่อ เขาคิดว่าฝันซะอีก สรุปไม่ใช่ฝันหรอกเหรอ
"นั้นสิคะ เมื่อคืนตอนหมอแวะเข้ามาดู คุณจันทร์จ้าวหลับสนิทไม่รู้เรื่องเชียว"
คุณหมอสาวยิ้มแซว
"แล้วตอนหลับผมหล่อมั้ยครับ น้ำลายยืดหรือเปล่า!"
จ้าวถามจริงจัง สีหน้าของเขาฉายแววกังวลจนคุณหมอยังอดหัวเราะเอ็นดูไม่ได้
"ฮ่าๆ ไม่เลยค่ะ ยังหล่อเหมือนเดิม"
"หู่ว โล่งอกไปทีครับ แล้วผมจะออกจากโรงบาลได้ตอนไหนครับหมอ"
จ้าวพรูลมออกปากอย่างคนโล่งใจ ทั้งสามคนที่เห็น ต่างก็เบ้ปากมองบน พวกเขาต่างหมั่นไส้กับความห่วงหล่อแบบโอเวอร์ของจ้าวซะเหลือเกิน
มีเพียงคุณหมอที่ยังคงระบายยิ้มให้อย่างเอ็นดู
" ถ้าไม่เป็นอะไรมากกว่านี้ อีกสามสี่วันก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ"
....
"เอ้า คนเฝ้าคุณจันทร์จ้าวมาพอดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวนะคะ"
เธอกล่าวเสร็จก็เดินออกไป คนแปลกหน้าเดินสวนเข้ามาพอดี
จ้าวจับจ้องผู้มาใหม่ไม่วางตา คนๆนั้นเดินมานั่งเก้าอี้ข้างตาโล้น ใบหน้าเรียบเฉยนั่นจ้องมองจ้าวไม่วางตาเช่นกัน แต่แล้วก็ละสายตาจากเขา แล้วหันไปยกมือไหว้สวัสดีตาโล้นแทน
"หวัดดีครับลุง"
"เออๆ หวัดดีๆ เป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า"
" ผมสบายดีครับ แล้วลุงละครับ สบายดีมั้ย"
"เดี๋ยวนะ ตาโล้นรู้จักเขาเหรอ"
จ้าวเอ่ยแทรก เขามองทั้งสองคนอย่างสงสัย
"นี่เจ้าทัพลูกไอชาติเพื่อนกูที่บ้านอยู่ข้างวัดไง แถมเป็นคนที่ช่วยชีวิตมึงไว้ด้วย หัดรู้ไว้ซะไอนี่นิ"
"ห้ะ!! เหี้ย!! นี่พี่ทัพที่บ้านรวยๆนั่นน่ะเหรอ โตมาคือหล่อเหี้ยๆเลยล่ะพี่ อุ๊บไอเอิดอ่อย!!"
ทันทีที่ตาโล้นพูดจบ ข้าวปั้นก็อ้าปากค้างอย่างคนตะลึงเผลออุทานคำหยาบเสียงดัง จนเทิดทูนต้องรีบตะครุบปากห้าม
"ใครวะ ทำไมกูจำไม่ได้ แล้วตาชาติมีลูกด้วยเหรอ"
จ้าวหันไปถามข้าวปั้นทีถามตาโล้นที พอหันไปมองคนที่ชื่อเจ้าทัพก็ไม่เห็นจะจำได้ เขาคิดว่าตาชาติกับยายขมิ้นไม่มีลูกมาตลอดเลยนะ แล้วนี่ไปทำกันตอนไหนวะ
แล้วเรื่องที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ก็ยิ่งจำไม่ได้ใหญ่เลย
"ถ้ามึงไม่หัวแตกอยู่นะ กูจะตบกบาลมึงสักที คนอะไรขี้หลงขี้ลืมจริงเว้ย"
ข้าวปั้นที่ปากเป็นอิสระก็พูดบ่นจ้าว เขาง้างมือทำท่าจะตบแต่ไม่ได้ตบจริงๆ แต่ถึงกระนั้นเทิดทูนก็มือไวรีบดึงมือข้าวปั้นมาเก็บทันที
"กูจะบ้ากับลูกชายกู สักวันมันคงลืมพ่อตัวเอง เออๆ ช่างเรื่องนั้นเถอะ มึงขอบคุณพี่เขาสะสิไอจันทร์"
"อ่า ขอบคุณครับที่ช่วยชีวิตผมไว้"
จ้าวยกมือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกขึ้นไหว้เจ้าทัพด้วยมือข้างเดียว
"อืม"
เจ้าทัพครางรับในลำคอเพียงแค่นั้น คนตัวโตไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาทำเพียงทำหน้านิ่งนั่งเฉยอยู่อย่างนั้น
"แล้วเจอผมได้ยังไงครับ ถนนเส้นนั้นมันไม่ค่อยมีคนใช้นะ"
จ้าวเอ่ยถามอย่างสงสัย
"โง่นะ ทางนั้นมันทางกลับบ้านพี่"
ข้าวปั้น เทิดทูนและบุญล้นต่างพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนจ้าวนั้นอ้าปากเหวอ กำลังอึ้งที่อยู่ๆก็โดนด่าว่าโง่
"ขอโทษครับพี่"
พอดึงสติกลับมาได้ จ้าวจึงแสร้งทำหน้ารู้สึกผิดแล้วเอ่ยขอโทษ คำสุดท้ายเขาพูดแบบไม่มีเสียงให้เจ้าทัพอ่านปากเอาเอง
แรงมาแรงกลับไม่โกง จ้าวบอกเลย...
"ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกพี่คิดว่าหมาก็เลยลงไปดู พอเห็นว่าเป็นคนก็เลย เออๆ ช่วยมาก็ได้วะ...ครับ"
เจ้าทัพเองก็ไม่น้อยหน้า เขากัดตอบซึ่งๆหน้า ไม่มาทำแบบให้อ่านปากแบบจ้าวหรอก
"เหอะ อายุเท่าไหร่กันครับเนี่ย เห็นคนเป็นหมาซะได้ แก่แล้วสินะ"
"แค่ยี่สิบสามครับ ไม่เรียกแก่"
เจ้าทัพรีบแย้งทันที ถ้าจ้าวเซ้นซิทีฟกับคำว่าไม่หล่อ เจ้าทัพก็เซ้นซิทีฟกับคำว่าแก่เหมือนกัน
"โอ้ แต่หน้าไปไวมากเลยนะครับเนี่ย แก่มากกกกก นึกว่าสาม-สิบ-สอง"
จ้าวยกมือทาบอก แสร้งทำหน้าตกใจ แต่ริมฝีปากกลับแสยะยิ้มร้ายใส่เจ้าทัพ เขาเอ่ยประโยคท้ายอย่างเน้นคำชัดทุกคำ
"แต่น้องจ้าวหน้าเหมือนเด็กมากนะครับ"
"โฮะๆ ใครๆก็ทักว่าอย่างนั้นครับ"
จ้าวยกยิ้มหัวเราะถูกใจกับคำชมของคนตรงหน้า ก่อนจะหุบยิ้มแล้วอ้าปากเหวออีกครั้งกับประโยคถัดมา
"เด็กปัญญาอ่อน..."
เจ้าทัพเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ ดวงตารัตติกาลเหลือบมองจ้าวอย่างผู้เหนือกว่า
ถ้าคิดจะต่อปากต่อคำกับเขามันเร็วเกินไป
ทั้งสามคนที่รับบทเป็นอากาศได้แต่กลั้นขำกันจนหน้าดำหน้าเขียว ข้าวปั้นนี่เกือบหลุดฮาออกมาแล้ว ดีที่เทิดทูนปิดปากเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นจ้าวก็เห็นสีหน้าของทุกคนอยู่ดี
"กลับบ้านกันไปให้หมดเลยไป๊!!"
จ้าวหน้าบูดบึ้ง เจ้าตัวตะโกนไล่ตะเพิดทุกคนเสียงดังลั่นห้อง ก่อนจะตวัดผ้าห่มขึ้นอย่างแรง คลุมโปงหนีไม่ยอมคุยกับใครอีก
"เออๆ กูกลับละ กะว่าจะมาเฝ้าสักหน่อยมีคนเฝ้าแทนซะแล้ว"
จ้าวได้ยินเสียงตาโล้นพูด สัมผัสหนักๆลูบที่หัวเขาแล้วผละหายไป เขาเข้าใจว่าตาโล้นคงหมายถึงข้าวปั้นกับเทิดทูนที่มาเฝ้าเขาแทนตาโล้นแน่นอน
"กูก็กลับก่อนนะไอจ้าว เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่" ข้าวปั้นพูดพลางลูบหลังมือเพื่อนแล้วผละออก
"กลับก่อนนะครับคุณจ้าว พระคุ้มครองครับ ธุสะนะโส นะโมพุทธายะ..." เทิดทูนสอดมือเข้าไปในผ้าห่ม เขาเอาสายสิญจน์ที่ได้จากวัดดังผูกข้อมือให้จ้าว พร้อมกับท่องคาถาขอให้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองรักษาเพื่อนของเขา
"...."
ภายในห้องเงียบสงัด ทุกคนได้ออกไปแล้ว แล้วคนที่ตาโล้นบอกว่าเฝ้าแทนคือใครกันละ ในเมื่อข้าวปั้นกับเทิดทูนกลับไปแล้ว
แต่เหมือนจะเหลืออีกคนหนึ่ง
"มึงหลับยัง"
"เสือก"
สรรพนามถูกเปลี่ยนทันทีเมื่ออยู่กันแค่สองคน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดเพราะไปเพื่ออะไร พวกเขาต่างก็กระดากปากด้วยกันทั้งคู่ แต่เพราะน่าจะมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยละมั้ง เลยปฏิบัติดีไปโดยอัตโนมัติ
"น่าจะปล่อยให้ตายๆไปซะ ไม่น่าช่วยให้รอดมาปากดีใส่แบบนี้เลย"
"แต่รอดมาได้แล้วไง เสียใจด้วยนะ แล้วบ้านช่องไม่มีกลับเหรอ อยู่ทำไม ใครเชิญให้อยู่ เสนอหน้าจัง"
พออีกคนกัดมา จ้าวก็กัดตอบทันควัน ต่างคนต่างไม่ยอมกัน จ้าวสบัดผ้าห่มออก สายตาเรียวสบตาเข้ากับอีกคนพอดี ราวกับว่าคนตรงหน้าคอยจับจ้องเขาไว้ตลอดเวลาอย่างนั้นล่ะ
"อยู่ปลอบหมาขี้แย เมื่อคืนนอนละเมอทั้งคืน"
"ไม่ต้องหรอกครับ เกรงใจ กูไม่ละเมอพร่ำเพื่อหรอก ถึงละเมอกูก็ไม่ต้องการมึงเชิญกลับไปได้แล้วครับ สนิทก็ไม่สนิท"
จ้าวโบกมือไล่ พูดใส่คนที่นั่งอยู่อย่างไม่ใยดี แล้วหลับตาลงไม่สนใจเจ้าทัพอีก
"แต่ตอนเด็กกูกับมึงสนิทกันมากนะ"
"จำไม่ได้ว่ะครับ"
จ้าวถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เขาเริ่มรำคาญไอคนข้างๆนี่ซะแล้วสิ
"เป็นหมาพันธุ์ปลาทองเหรอ ถึงได้จำไม่ได้"
"อะไรวะนั่น หมาปลาทอง"
จ้าวยังคงนอนหลับตาอยู่ สองคิ้วเขาขมวดจนมาชนกัน เขาไม่ค่อยเข้าใจกับคำด่าของเจ้าทัพเท่าไหร่
"ก็หน้าหมาสมองปลาทองไง โง่จัง"
"อ่ะไอ้นี่! สักหมัดมั้ย!"
จ้าวลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่เข้าหู เขายื่นมือออกไปหวังตบหัวเจ้าทัพแต่ทว่าอีกคนกลับรู้ทัน โยกตัวหลบทันควัน
คนตัวโตกลับส่งยิ้มกวนตีนกลับมาให้ พร้อมกับยักคิ้วทำหน้ายียวนส่งมาด้วย
จ้าวหายใจฮึดฮัด เขาพยายามปัดป่ายตีเจ้าทัพอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ จ้าวทัพหลบฝามือเขาได้ตลอด
"แม่ง! ถ้ากูไม่เดี้ยงแบบนี้นะ มึงตายแน่!"
จ้าวกล่าวอย่างโมโห เขาหยุดการกระทำลงแล้วเบนหน้าหนีไปอีกฝั่งแทน
"ไม่ตบแล้วเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเย้ยให้จ้าวรู้สึกโมโห
"ไม่ กูเหนื่อย!"
จ้าวไม่พูดอะไรอีก เขานิ่งเงียบไปทั้งอย่างนั้น
เจ้าทัพก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้กวนอะไรจ้าวเลยสักนิด
ส่วนจ้าวเองก็พยายามข่มตาหลับ เพื่อจะได้ไม่ต้องรับรู้ว่ามีเจ้าทัพอยู่ข้างๆ แต่อยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมากระทันหัน
"ปวดฉี่หรือไง"
"มึงรู้ได้ไง"
จ้าวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบแต่ย้อนถามเจ้าทัพกลับไป
"เดา"
"อุ้มไปเข้าห้องน้ำหน่อย"
จ้าวไม่สนอะไรแล้ว เขาอ้าแขนกว้างให้อีกคนอุ้มเขาไปห้องน้ำที ขืนเดินไปเองมีหวังล้มก่อนถึงห้องน้ำแน่ๆ
"เมื่อกี้ยังไล่ยังด่ากันอยู่เลย"
"เร็วๆ ฉี่จะแตก"
จ้าวเมินคำค่อนแคะของอีกคน แต่กลับสั่งเร่งให้เจ้าทัพอุ้มเขาเร็วๆแทน
"เออไอเด็กเหี้ย"
"ขอบคุณครับ ที่ชม..."
สุดท้ายเจ้าทัพก็ยอมอุ้มจ้าวขึ้นมา พร้อมกับด่าออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ แต่จ้าวหาได้แคร์ไม่ เขากอดคอคนอุ้มพลางยิ้มรับคำด่าด้วยสีหน้าเบิกบาน
จ้าวยืนฉี่โดยมีเจ้าทัพคอยประคองหลังกันล้มไว้ให้ เนื่องจากขาอีกข้างเขาใส่เฝือกจึงยืนไม่ค่อยอยู่ ยังดีที่มีเจ้าทัพมาช่วยประคองไว้
"จ้าว"
"ว่า"
ในขณะที่จ้าวกำลังจับท่อนเนื้อเล็งเป้าหมายยืนฉี่อยู่นั้น อยู่ๆเจ้าทัพก็เอ่ยเรียกขึ้นมา จ้าวขานรับแต่ไม่ได้หันไปมองคนด้านหลังที่เรียกเขา
"มึงเล็กจัง
กรี๊ดดดดดดดดดดด
