บทที่ 3 แผนการซ่อนเร้น
บทที่ 3 แผนการซ่อนเร้น
ในค่ำคืนนั้นเอง ขณะที่ผู้คนกำลังเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีและอาหารอันโอชะ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
โม่เฉิงหนิงซึ่งแอบอิจฉาริษยาโม่เฉิงอันมาตลอด ได้วางแผนบางอย่างไว้ นางเดินไปหาหลี่จื่ออวี่อีกครั้งด้วยท่าทีที่น่าสงสาร
“ท่านอ๋อง ข้าขอยกน้ำชาให้ท่านสักถ้วย” นางกล่าวพร้อมกับส่งสายตาที่น่ารักไปยังหลี่จื่ออวี่
“ไม่จำเป็น” หลี่จื่ออวี่มองนางด้วยสายตาที่เย็นชา เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
แต่แล้วทันใดนั้น โม่เฉิงหนิงก็แสร้งทำเป็นเป็นลมและล้มลงไปในอ้อมแขนของหลี่จื่ออวี่ “ท่านอ๋อง...ข้า...” นางทำเสียงอ่อนปวกเปียก
การกระทำของโม่เฉิงหนิงสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในงาน โดยเฉพาะโม่เฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางรู้สึกโกรธและอับอายแทนหลี่จื่ออวี่ที่ถูกน้องสาวของตนเองทำให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้
“โม่เฉิงหนิง” หลี่จื่ออวี่เรียกชื่อนางอย่างหงุดหงิด “เจ้าทำอันใดของเจ้า”
“ท่านอ๋อง...ข้า...” โม่เฉิงหนิงทำเป็นซบหน้าอกเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างไม่มีใครเห็น
โม่เฉิงอันเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธจนตัวสั่น นางก้าวเข้าไปหาโม่เฉิงหนิงและจ้องหน้าน้องสาวของตนเองด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “เฉิงหนิง เจ้าทำอะไร”
“พี่หญิง ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ” โม่เฉิงหนิงแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “ข้าแค่รู้สึกไม่สบายเลยอยากให้ท่านอ๋องช่วยประคอง”
“เจ้าทำเกินไปแล้ว” โม่เฉิงอันพูดเสียงเย็น “ท่านอ๋องไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า”
การโต้เถียงกันของสองพี่น้องทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงหันมาสนใจอย่างพร้อมเพรียง หลี่จื่ออวี่ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็ยิ่งรู้สึกโกรธจัด เขาผลักโม่เฉิงหนิงออกอย่างแรง
“พอได้แล้ว” เขาตะคอกเสียงดัง “อย่าทำให้ข้าต้องโกรธไปมากกว่านี้”
โม่เฉิงหนิงล้มลงไปที่พื้นและแสร้งทำเป็นร้องไห้ “ท่านอ๋องใจร้าย”
ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หลี่เจิ้นเหยียนซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ก็ลุกขึ้นยืน “พอได้แล้ว” เขาพูดเสียงดังกังวาน “ทุกคนจงเงียบเสีย”
เมื่อเสียงของหลี่เจิ้นเหยียนดังขึ้น ทุกคนก็เงียบลงทันที “หลี่จื่ออวี่ พวกเจ้าทำเรื่องน่าอับอายในงานเลี้ยงของข้าได้อย่างไร” หลี่เจิ้นเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
หลี่จื่ออวี่คุกเข่าลงทันที “ขออภัยเสด็จพ่อ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเองที่ควบคุมสตรีของข้าไม่ได้”
หลี่เจิ้นเหยียนมองไปที่โม่เฉิงหนิงที่ยังคงแสร้งทำเป็นร้องไห้ “โม่เฉิงหนิง เจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
โม่เฉิงหนิงไม่กล้าตอบได้แต่ส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว โม่เฉิงอันเห็นดังนั้นจึงก้าวเข้าไปคุกเข่าข้างหลี่จื่ออวี่
“ฝ่าบาท ข้าเองที่เป็นคนควบคุมน้องสาวของข้าไม่ได้ ขอฝ่าบาทลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียว”
การกระทำของโม่เฉิงอันทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงประหลาดใจ รวมถึงหลี่จื่ออวี่ที่มองนางด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ เขาไม่เคยคิดว่านางจะกล้าออกมาปกป้องน้องสาวของตนเองทั้งๆ ที่นางเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา
คำพูดของโม่เฉิงอันทำให้หลี่เจิ้นเหยียนชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาของเขากวาดมองโม่เฉิงอันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะหันไปมองโม่เฉิงหนิงที่ยังคงแสร้งทำเป็นร้องไห้
“ในเมื่อเจ้ายอมรับความผิดแทนผู้อื่น เช่นนั้นก็ให้ไปคุกเข่าสำนึกผิดในศาลาเทียนเฟิงจนกว่างานเลี้ยงจะสิ้นสุด” หลี่เจิ้นเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “ส่วนโม่เฉิงหนิงให้กลับจวนของเจ้าไปเสีย หากยังกล้าทำเรื่องไร้สาระอีก จะลงโทษให้หนัก”
โม่เฉิงอันลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง นางโค้งคำนับหลี่เจิ้นเหยียนแล้วเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย หว่านเอ๋อร์สาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ก็รีบวิ่งตามไปพร้อมกับร่มกระดาษ
“พระชายา เหตุใดท่านถึงยอมรับความผิดแทนนางด้วยเจ้าคะ” หว่านเอ๋อร์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าไม่อยากให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้” โม่เฉิงอันตอบ “การยอมรับความผิดเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะยุติเรื่องนี้”
ในขณะเดียวกัน หลี่จื่ออวี่ที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็ถูกหลี่เจิ้นเหยียนสั่งให้ลุกขึ้นยืน
“หลี่จื่ออวี่ เจ้ามีพระชายาที่รักและซื่อสัตย์ แต่เจ้ากลับไม่เห็นค่าของนาง” หลี่เจิ้นเหยียนกล่าวอย่างตำหนิ “ไปดูแลพระชายาของเจ้าเสีย”
หลี่จื่ออวี่โค้งคำนับหลี่เจิ้นเหยียนด้วยความรู้สึกที่สับสน เขาเดินออกไปจากงานเลี้ยงโดยไม่พูดอะไร และเดินตรงไปยังศาลาเทียนเฟิงที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
โม่เฉิงอันกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหินที่เย็นเฉียบ มือของนางถูกหว่านเอ๋อร์จับไว้เพื่อถ่ายเทความอบอุ่นให้
“พระชายาทนอีกนิดนะเจ้าคะ” หว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“ข้าไม่เป็นไร” โม่เฉิงอันตอบ “ข้าชินแล้ว”
ในตอนนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ของหลี่จื่ออวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโม่เฉิงอัน เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ลุกขึ้น” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
โม่เฉิงอันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดว่าเขาจะตามมาหา “ท่านอ๋อง...”
“ข้าบอกให้ลุกขึ้น” หลี่จื่ออวี่พูดซ้ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้ทำให้ข้าเสียหน้ามากเพียงใด”
“ข้าขออภัย” โม่เฉิงอันกล่าว “แต่การกระทำของข้าก็เพื่อรักษาหน้าของท่านอ๋องเช่นกัน”
หลี่จื่ออวี่มองนางด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ก่อนจะย่อตัวลงและจับแขนนางให้ลุกขึ้นยืน “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมากหรือ การยอมรับความผิดแทนผู้อื่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี”
“หากท่านอ๋องไม่เห็นด้วย ท่านก็สามารถลงโทษข้าได้” โม่เฉิงอันตอบอย่างกล้าหาญ “ข้าพร้อมที่จะรับโทษทุกอย่าง”
หลี่จื่ออวี่ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่แข็งกร้าวของโม่เฉิงอันเป็นครั้งแรก แต่เขาก็อดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาอย่างเสียมิได้ นางที่เขารู้จักมักจะสงบเสงี่ยมและเฉยชายิ่งนัก
หลี่จื่ออวี่ปล่อยมือจากแขนโม่เฉิงอันและเดินไปที่โต๊ะหินที่ปกคลุมด้วยหิมะ เขาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นอีกครั้ง ดวงตาหรี่ลงด้วยความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
“กลับจวน” เขาเอ่ยสั้นๆ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
โม่เฉิงอันมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน นางไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่การกระทำของเขาก็ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
