บทที่ 4
จันทร์หอมยกมือไหว้ทำความเคารพตามมารยาทแล้วก้มหน้ามองพื้นไม่พูดอะไรทั้งสิ้น คุณหญิงลออตั้งท่าจะพูดแต่ถูกเตชิตพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า
“อายุเท่าไรแล้ว”
“ยี่สิบค่ะ” จันทร์หอมตอบ
“เรียนจบอะไรมา” เขาถามต่ออีก
“จบชั้นมอหกค่ะ ทีแรกว่าจะเรียนต่อแต่พ่อมาเจ็บเสียก่อนก็เลยต้องออกมาดูแลพ่อ”
“พ่อของหนูจันทร์หอมก็คือพรานสิงห์ พรานสิงห์คนนี้คือคนที่เคยช่วยชีวิตพ่อของเราไว้ไงล่ะเจ้าเตชิต” คุณหญิงลออเท้าความหลัง
ความสัมพันธ์ยาวนานที่คุณหญิงลออไม่เคยลืมเลือน บิดาของหญิงสาวช่วยชีวิตบุตรชายที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อสมัยวัยหนุ่ม ถ้าไม่มีพรานสิงห์ก็คงไม่มีเตชิตจนวันนี้ แม้ผู้มีบุญคุณจะไม่เคยเรียกร้องหรือติดต่อมาสร้างความรำคาญใจใดๆ สักครั้ง
แต่นางก็จำได้ว่าเคยพูดไว้ว่า หากเมื่อไรที่พรานสิงห์และครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อน ขอให้นึกถึงครอบครัวบูรณสิทธิ์เป็นคนแรก
“เรื่องมันนานมากนะครับคุณย่า อีกอย่างตอนนี้คุณพ่อก็ไม่อยู่แล้ว ผมว่าถ้าเราจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ เราน่าจะ...”
“ดิฉันไม่ได้มาขอความช่วยเหลือค่ะ” จันทร์หอมเงยหน้าขึ้นพูดแทรก
ใบหน้ารูปไข่กลมเกลี้ยงแม้จะไร้เครื่องสำอางใดๆตกแต่ง แต่ก็ทำให้เตชิตหยุดมองจ้องและสบตากับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววแห่งความทระนงในตนเองออกมา เจ้าหล่อนหน้าตาจิ้มลิ้มพอดูได้เรียกว่าสวยเลยดีกว่า รูปร่างแม้จะผอมแห้งแรงหน่อยไปหน่อย
แต่ถ้าอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักก็คงมีน้ำมีนวลตามประสาสาวเมืองกรุงแน่ ทว่าไอ้เจ้าแววตาที่แสนเย่อหยิ่งของแม่เจ้าประคุณนี่ซิ มันช่างขัดหูขัดตานัก
“ดิฉันแค่มาทำตามคำขอของพ่อครั้งสุดท้าย เมื่อทำตามสิ่งที่พ่อขอแล้วดิฉันก็จะไปตามทางของตัวเอง”
“จะไปไหน หนูไม่มีญาติไม่มีใครเหลือแล้วนี่” คุณหญิงลออเอ่ยถามด้วยความสงสัย
นางเวทนาในชะตากรรมของสาวน้อยและถูกชะตาเมื่อพบหน้าครั้งแรก ยิ่งรู้ว่าเป็นลูกของพรานสิงห์ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตบุตรชายตนไว้ ยิ่งทำให้นางอยากจะให้ความช่วยเหลือจันทร์หอมมากขึ้นไปอีก
“ดิฉันขอยืนยันว่าที่มาที่นี่เพื่อให้ดวงวิญญาณพ่อสู่สุคติ ทำในสิ่งที่พ่อต้องการเพื่อให้พ่อหมดห่วง อีกอย่างคนที่พ่อให้ดิฉันมาหาก็ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ดังนั้นดิฉันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอยู่ที่นี่” หญิงสาวพูดฉะฉานชัดถ้อยชัดคำ
ท่าทีทระนงในตัวเองของจันทร์หอมทำให้เตชิตมีความรู้สึกว่า แม่สาวน้อยคนนี้ช่างมีความหยิ่งในตนเองเหลือเกิน และชักอยากจะรู้ว่าจะหยิ่งไปได้อีกสักกี่น้ำ
“ถ้างั้นก็ทำตามที่ต้องการเถอะครับคุณย่า เดี๋ยวผมจะจัดการให้เงินก้อนหนึ่งถือเป็นสินน้ำใจที่ตอบแทนความดีของพรานสิงห์ที่มีต่อคุณพ่อ คุณย่าจะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรอีก” เตชิตพูดพลางมองหน้าจันทร์หอมที่เริ่มจะไม่พอใจคำพูดของเขา
“ดิฉันขอยืนยันว่าจะไม่รับอะไรทั้งสิ้น และไม่มีอะไรที่ติดค้างกันอีกต่อไป ดิฉันขอลาตรงนี้เลยค่ะ” จันทร์หอมยกมือไหว้ทำความเคารพคุณหญิงลออ
“เดี๋ยว” เตชิตร้องเรียกจันทร์หอมไว้
“เธอจะไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ แล้ววางแผนหรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อในชีวิต”
“ดิฉันจะกลับบ้าน” หญิงสาวตอบเพียงสั้นๆ
“ถ้ามีบ้านก็สมควรทำอย่างนั้น” เขาพูดพลางสบตาคนที่เชิดหน้าอยู่ในขณะนี้
“กลับบ้านไม่ได้นะหนูจันทร์ มันอันตรายเกินไปที่ผู้หญิงจะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังโดยที่ไม่มีญาติ” คุณหญิงลออไม่อยากให้จันทร์หอมทำเช่นนั้น
“ดิฉันคิดว่าดูแลตัวเองได้ค่ะ ขอบคุณคุณหญิงที่กรุณาให้ที่พักดิฉัน” หญิงสาวพนมมือไหว้หญิงชราอีกครั้ง
“เจ้าเต ทำอย่างไรดี ย่าไม่อยากให้หนูจันทร์หอมกลับไปเลย” หญิงชราหันมาปรึกษาหลานชายที่ยืนนิ่งมองจันทร์หอมเดินจากไป
“ในเมื่อเลือกแบบนี้ เราจะทำอะไรได้ล่ะครับ” ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย
ท่าทีหยิ่งผยองทระนงในตัวเองของจันทร์หอม มันทำให้เขาหงุดหงิดและหมั่นไส้เหลือเกิน
“เรายังไม่ได้ทำอะไรต่างหากล่ะเจ้าเต ไปเลยนะ ไปจัดการให้หนูจันทร์หอมอยู่ที่นี่ ถ้าหนูจันทร์หอมไม่อยู่ที่นี่ ย่าจะถือว่าเป็นความผิดเราและเป็นความผิดครอบครัวเราที่ไม่ดูแลลูกสาวพรานสิงห์ให้ดี”
“คุณย่า” เตชิตไม่คิดว่าจะถูกโยนความผิดดื้อๆ แบบนี้
“ไปซิ ไปจัดการเร็วเข้า”
หญิงชราบัญชาการออกคำสั่งสีหน้าขึงขัง ทำให้ในที่สุดเตชิตจำต้องเดินออกไปจัดการกับจันทร์หอมตามความต้องการของคุณหญิงลออ ทั้งที่ในใจแสนหงุดหงิดและเริ่มอยากจะจับเด็กดื้อมาตีก้นสักทีให้หายดื้อเสียแล้ว
