บทที่ 09 ผูกพัน
“กงจู่อย่าทำแบบนี้อีกนะเพคะ หัวของเจาจวินจะหลุดออกจากบ่าไปด้วย”
เจาจวินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ซุนลี่นั่งลงที่ตั่งยาวกลางตำหนัก
“เจ้าก็พูดเกินไปแล้ว” ซุนลี่เอ่ยบอกแล้วรับน้ำชาจากเจาจวิน
“จริงเพคะ ต้าหวางและหวางโฮ่วให้หม่อมฉันหากงจู่แทบพลิกแผ่นดิน” เจาจวินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วต้าเกอว่าอย่างไงบ้าง” ซุนลี่เอ่ยถามแล้วส่งถ้วยน้ำชาให้เจาจวิน
“ไท่จื่อทรงรู้เรื่องนี้ พระองค์ก็เข้าวังมาทันที ถามถึงกงจู่ด้วยความเป็นห่วง ป่านนี้คงกลับตงกงไปแล้วเพคะ”
“เจาจวิน ข้าอยากกินขนมดอกท้อ แล้วเจ้านำม้วนตำราพิชัยสงครามที่อยู่บนตั่งเตียงมาด้วย ข้าอ่านถึงบทที่สี่เอง อีกสองวันข้าต้องคืนตำราเล่มนี้ให้ต้าเกอ”
“กงจู่ หวางโฮ่วมีรับสั่งให้คัดตำราสอนหญิงให้พระนางทอดพระเนตรตั้งห้าเล่ม กงจู่รีบคัดตำราก่อนเถิดเพคะ”
“เจ้าก็คัดให้ข้า ข้าจะอ่านตำรา”
“แต่ตำราพิชัยสงครามให้ทหารออกศึกได้ศึกษาเถิดเพคะ”
“เจาจวิน” ซุนลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาดุดัน ทำให้เจาจวินขนลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเอามาให้” เจาจวินเอ่ยบอกเช่นนี้
“ดีมาก”
หลังจากเจาจวินก้าวเดินออกไปจากห้องของนางไปแล้ว ซุนลี่นำแหวนปานวาดออกมาจากแขนเสื้อเป็นหยกเขียวมรกต ด้านในแหวนวงนี้มีเขียนสลักว่า ‘มู่’ ทำให้นางสงสัยว่าเขามีสกุลหวง นามเซียะ โดยรวมคือหวงเซียะ แต่ว่าแหวนปานวาดวงนี้สลักคำว่ามู่ ทำให้นางสงสัยยิ่งนักว่าทำไมเขาต้องปิดบังชื่อเสียง
เมื่อนึกถึงใบหน้าของเขานางรู้สึกว่า เคยเห็นเขามาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเห็นจากที่ไหน
ชายวัยชราทอดสายตามองไปยังฟากฟ้าในยามค่ำคืนไร้แสงจันทราเพราะเป็นคืนเดือนมืด แต่ทว่าดวงดาวสองปรากฏบนท้องนภา และดวงดาวสองดวงนั้นผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ท่านอาจารย์หลิวปัง ท่านดูสิ่งใดอยู่หรือขอรับ” ชายหนุ่มชุดสีขาวสะอาดตาเอ่ยถามชายชราด้วยความสงสัย เพราะเขามองไปบนฟากฟ้าเห็นดวงดาวสองดวงกำลังผสานกันเป็นหนึ่งเดียวที่ปรากฏอยู่ในคืนเดือนมืด
“จู่ไท่ เจ้ามองดาวสองดวงที่ประสานกันไหม” หลิวปังเอ่ยถาม
“เห็นขอรับ”
“ดวงดาวแห่งมังกร และดวงดาวแห่งหงส์มาทับกัน จะกล่าวไปแล้ว ดวงดาวราชัน คือ ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า และดวงดาวแห่งหงส์ คือ สตรีคู่บารมีเกื้อกูลหนุนนำเขา ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนได้เจอกันแล้ว และอีกไม่นานใต้หล้าจะตกอยู่ในกำมือของเขา” หลิวปังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็เป็นเรื่องดีของแคว้นมู่สิขอรับ” จู่ไท่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงยินดียิ่งนัก
แต่ทว่าสีหน้าของชายชราเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนลูกศิษย์นามว่าจูไท่สงสัย
“มีอันใดหรือขอรับ หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น”
“จะเกิดการนองเลือด เกิดขึ้นไม่ช้านี้ เมื่อวันที่ดวงจันทร์ในคืนเดือนมืดเปลี่ยนเป็นสีเลือด หลังจากคืนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แล้วใครมีดวงชะตาผูกพันกับดวงดาวดวงนี้”
“มู่เยว่หัว ซื่อหวางเย่ พระองค์ประสูติวันที่ดวงดาวเรียกกันถึงแปดดวง แต่ไม่ใช่มู่เยว่หัวที่เกิดวันนี้แต่เพียงผู้เดียวกับมีจ่างซุนลี่กงจู่แห่งแคว้นเยว่เกิดในวันเพลาเดียวกัน” ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขารู้ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
“ซื่อหวางเย่ อีกสามวันก็ใกล้ถึงชายแดนแคว้นมู่แล้วพระเจ้าค่ะ เฉียงเกอเกอได้ให้ทหารไปจัดกระโจมให้พระองค์แล้ว” เว่ยหรงเอ่ยบอก ขณะที่มองเยว่หัววักน้ำลูบใบหน้าตัวเองที่ริมธาร แล้วมองไปยังแนวเขา (ซื่อหวางเย่ แปลว่า องค์ชายสี่)
“หวางเย่จะประสงค์...” หลี่เฉียงไม่ทันเอ่ยจบ เยว่หัวพูดแทรกขึ้นมา
“เงียบก่อน”
“อ๊ากกกกกก....” ทหารผู้หนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวดที่โดนธนูปักอกและตกลงจากหลังม้า พร้อมด้วยทหารอีกหลายคนที่โดนธนูปัก
“คุ้มกันหวางเย่...!!!” หลี่เฉียงร้องตะโกนบอกเหล่าทหาร
เยว่หัวใช้ธนูที่อยู่ด้านหลังนำลูกศรจากกระบอกมายิง และทอดสายตามองไปยังทิวไม้ เขาจึงขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่ถึงอึดใจคนบนต้นไม้ตกลงมา และคนจำนวนมากก็ออกมาจากโพรงไม้ เยว่หัวชักกระบี่ฟาดฟันชายชุดสีดำ พร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง
“ระวังให้ดี” เยว่หัวเอ่ยบอกเหล่าทหาร เยว่หัวใช้วิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปบนอากาศ แตะชายชุดดำ และยังใช้กระบี่คมกริบสังหารชายชุดดำนับสิบคนเห็นจะได้
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารชุดดำก็จับชายชุดดำได้หนึ่งคน ใช้ขาแตะชายชุดดำให้นั่งคุกเข่า แล้วทหารคนหนึ่งดึงผ้าปิดใบหน้าของชายชุดดำออก
“ใครสั่งมาลอบสังหารข้า ข้าจะทำให้เจ้าทรมานแบบตายทั้งเป็น” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดดุดันข่มขวัญศัตรู
“ข้าขอยอมตายเสียดีกว่าที่จะบอกเจ้า” ชายชุดดำเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน กลบความหวาดกลัวในใจ เพราะคิดว่าถ้าโดนทหารของเยว่หัวทรมาน ตนเองต้องตายทั้งเป็น
“ในปากเขามียาพิษ” หลี่เฉียงเอ่ยบอกไม่ทันจบคำ ชายชุดดำผู้นี้กลืนยาพิษที่อยู่ตรงกระพุ้งแก้ม ไม่นานนักชายผู้นี้ก็สิ้นใจ เว่ยหรงใช้นิ้วอังจมูกชายชุดดำ ทำให้รู้ว่าไม่มีลมหายใจแล้ว หลี่เฉียงจึงใช้มือคลำตามตัว จึงได้ป้ายหยกเขียวสี่เหลี่ยมลวดลายวิจิตร แล้วส่งให้เยว่หัว
“ป้ายหยกนี้ เป็นตราพยัคฆ์สัญญาลักษณ์ของตกกง” หลี่เฉียงเอ่ยบอกเช่นนี้
“ไท่จื่อจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อหวางเย่ของเราไม่เคยคิดจะแทนที่พระองค์ อีกอย่างหนึ่งหวางเย่ของเราก็ร่วมอุทรกับไท่จื่อ ไม่มีเหตุที่จะสังหารสายพระโลหิตโดยตรงนี่” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อาหรง ข้าก็คิดเช่นเจ้า แต่ใครกันที่กล้านำตราพยัคฆ์ของไท่จื่อมาเล่นงานพระองค์ ลำพังโจรรับจ้างพวกนี้ไม่อาจเข้าถึงไท่จื่อได้” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยความสงสัย ทอดสายตามองป้ายหยกตราพยัคฆ์เพียงชั่วครู่ แล้วเก็บไว้ในแขนเสื้อ
“คนที่ว่าจ้างให้คนไปขโมยป้ายหยกมาจากไท่จื่อ คงหาเรื่องใส่ร้ายว่า ไท่จื่อสั่งให้สังหารหวางเย่เป็นแน่แท้” หลี่เฉียงเอ่ยบอกเช่นนี้
“รีบไปตงกง” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เดินไปที่ม้าที่ทหารผูกเอาไว้ เยว่หัวโยนตัวเองขึ้นหลังม้า และควบม้ามุ่งตรงเข้าลู่ชิง เมืองหลวงของแคว้นมู่โดยทันที
