บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 แผนโจมตี

มู่เยว่หัวควบม้าภายในหนึ่งวันเต็มเข้ามาในเมืองหลวงของแคว้นมู่ ด้วยทหารฝีมือดีร้อยนาย ทำให้ทุกคนในเมืองหลวงต่างงวยงงยิ่งนัก รวมไปถึงเหล่าขุนนางที่อยู่ตามทางที่รู้จักเยว่หัว ต่างแตกตื่นตกใจ เพราะข่าวแจ้งมาว่ามู่เยว่หัวจะกลับมาอีกสองถึงสามวัน

ทหารหลวงเปิดประตูวังทันทีเมื่อม้าของเยว่หัวมาถึง เพราะต้าหวางมีพระกระแสรับสั่งว่า เยว่หัวสามารถถือกระบี่เข้าท้องพระโรงได้ และไม่ต้องขานชื่อในเพลาเข้าเฝ้า เยว่หัวรวมไปถึงเว่ยหรง และหลี่เฉียงเข้าวังเพียงสามคนเท่านั้น นอกนั้นรออยู่ตรงพระราชฐานชั้นนอกเพื่อรอรับคำสั่ง

เยว่หัวมาถึงตงกง มีทหารล้มตายหลายคนอยู่หน้าตำหนัก ทหารหลายคนยืนอยู่ตามจุด ทหารอีกส่วนขนศพออกไป ส่วนทหารสองคนเปิดประตูตำหนักออก เยว่หัวพร้อมกับองครักษ์ทั้งสองก้าวเดินเข้าไปในตำหนัก กลับเห็นว่ามีทหารหลายสิบคนล้ม และข้าวของกระจัดกระจาย ส่วนไท่จื่อนั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นไปยังห้องบรรทม แต่ทว่าชุดสีขาวสะอาดตาของไท่จื่อเต็มไปด้วยเลือด ในมือหนามีกระบี่ที่คล้ำบนพื้น

“เกิดสิ่งใดขึ้นในตงกงแห่งนี้” เยว่หัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้าไม่เป็นอะไรซื่อตี้ เดี๋ยวเจ้านอนด้วยกันกับข้าที่นี่ ข้าจะให้อาหู่จัดห้องใหญ่ให้เจ้า เจ้าจะได้อาบน้ำ และมาร่ำสุรากับข้า ข้ามีเรื่องจะต้องคุยกับเจ้าหลายเรื่อง” ไท่จื่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน (ซื่อตี้ แปลว่า น้องชาย)

“แต่กระหม่อม...” ไม่ทันที่เยว่หัวจะกล่าวจบ ไท่จื่อเอ่ยขึ้นมาก่อน

“เจ้าไปเถอะ เพราะที่นี่เจ้าและข้าก็เคยอยู่ด้วยกัน”

เยว่หัวจำใจไปยังห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ แต่สอดส่องดูลาดเลาทั้งตำหนักเพื่อหาสิ่งผิดปกติแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมไท่จื่อไม่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง

อาหู่รินสุราดอกท้อใส่ในจอกให้ไท่จื่อและรินให้เยว่หัว ส่วนเว่ยหรงและหลี่เฉียงยืนอยู่ตรงมุมประตูของห้องโถง

“ข้าคิดว่า คนที่เคยคิดลอบสังหารเจ้าเมื่อสองปีก่อน ก่อนเจ้าจะออกจากวังไป มันต้องเป็นคนเดียวกันเป็นแน่” ไท่จื่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เมื่อก่อนี่ข้าจะมาถึงเมืองหลวงข้าพบปะกับโจรรับจ้างมา มันมีป้ายหยกของท่านด้วย” เยว่หัวเอ่ยบอก แล้วใช้มือล้วงแขนเสื้อ นำป้ายหยกส่งให้ไท่จื่อ ไท่จื่อรับเอาไว้แล้วทอดสายตามองป้ายหยกชิ้นนี้ด้วยความแปลกใจ

“นี่คือป้ายหยกของข้าที่หายไปเมื่อสามวันที่แล้ว” ไท่จื่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พอข้าเห็นป้ายหยกชิ้นนี้ ข้าคิดว่าท่านต้องมีภัย และความคิดของข้าไม่มีผิด” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ชีวิตของข้าอยู่บนเส้นด้าย มีคนที่คิดลอบสังหารได้ทุกเมื่อ แต่เจ้านั้นไม่น่าจะมีคนลอบสังหารได้ แต่สิ่งที่ข้าเจอในตัวของพวกมันก็คือป้ายหยกชื่อของเจ้า” ไท่จื่อเอ่ยบอก แล้วส่งหยกสีขาวให้เยว่หัว เยว่หัวมองป้ายหยกชิ้นนี้ด้วยความแปลกใจ

“ใช่มันเป็นของข้า อยู่กับคนร้ายได้อย่างไง” เยว่หัวเอ่ยด้วยความสงสัย

“ข้าไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าคิดว่าต้องมีคนใดคนหนึ่ง ต้องการให้เจ้าและข้ามีข้อบาดหมางกัน”

“ไม่ว่ามันอยู่ที่ไหนข้าจะไปลากมันมาต่อหน้าข้าให้จงได้”

“เสี่ยวซาน ถวายบังคมเหนียงชิน”

เด็กสาววัยสิบสามขวบปี นางมีใบหน้างดงามราวกับดอกไม้แรกแย้ม ปากนิด จมูกหน่อย รวมๆ แล้วช่างงดงามยิ่งนัก นางเป็นกงจู่ของเซียวซู มีตำแหน่งเป็นเจาอี๋ของต้าหวางคนปัจจุบัน แต่ทว่านางเสียชีวิต เพราะไข้ป่า ตอนที่ไปล่าสัตว์กับต้าหวางเมื่อห้าปีก่อน หวางโฮ่วจึงรับนางมาดูแล รักเมื่อลูกในอุทร (เจาอี๋ เป็นพระสนมตำแหน่งขั้น1 หวางโฮ่ว)

“เจ้ามาก็ดีแล้ว เดี๋ยวหัวเอ๋อร์ก็จะมาแล้ว” หมี่หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“ซื่อเกอ กลับมาหลายวันแล้ว แต่ไม่มาหาหม่อมฉันเหมือนแต่ก่อนเลย” เสี่ยวซานเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงน้อมใจ

“ซื่อหวางเย่เสด็จ”

เสียงของขันทีหน้าเหม่ยกุ้ยกง ทันใดนั้นเยว่หัวก้าวเดินเข้ามาในตำหนัก เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างถวายบังคม รวมไปถึงเสี่ยวซานที่ถวายบังคมเช่นกัน

“หม่อมฉันเยว่หัว ถวายบังคมเหนียงชิน” เยว่หัวคุกเข่าลงถวายบังคมหวางโฮ่วมือหนาขวาทับซ้ายผสานกันก้มหน้าผากแทบชิดมือที่อยู่บนพื้นตำหนัก หวางโฮ่วประคองเขาลุกขึ้น

“หัวเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ซื่อเกอ ข้าไม่เจอท่านตั้งนาน ท่านดูผอมลงไปมากเลยนะ” เสี่ยวซานเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อถอดมองชุดที่เยว่หัวสวมใส่ที่ดูใหญ่กว่าตัวเองอยู่เล็กน้อย

“ข้าจะกินให้มากๆ ดีหรือไม่” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้

“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าจะไปทำศึกที่แคว้นเยว่อีกหรือ” หวางโฮ่วเอ่ยถาม

“อีกสามวัน ครั้งนี้จะตีแคว้นเยว่ให้เบ็ดเสร็จ จะได้ไม่ต้องไปทำศึกกับแคว้นเยว่อีก” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ซื่อเกอ ครั้งนี้ของให้ท่านทำศึกชนะกลับมาอย่างปลอดภัย” เสี่ยวซานเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม (ซื่อเกอ แปลว่า พี่ชายสี่)

“กระบี่ หอก ธนู ไม่มีตาเจ้าต้องระวังตัวเองให้ดี กลับมาครั้งนี้ข้าจะหาเจ้าสาวให้เจ้า บุตรสาวเจ้ากรมคลังรูปโฉมงดงาม นามว่า ฮัวเยว่ อีกทั้งนางงดงามเป็นที่เรื่องลือ ข้าคิดว่าเหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก” หวางโฮ่วเอ่ยบอก

“ขอให้ซื่อเกอรักษาตัวให้ดีด้วยมีชัยชนะเหนือสามแคว้น”

“กระหม่อมทูลลาพระเจ้าค่ะ”

“ข้าต้องบุกตีเมืองลู่หนิง เมืองสุยหยางและเมืองหู่ มันเป็นเมืองท่าของแคว้นเย่ว์ โดยเฉพาะเมืองสุยหยาง เพราะว่าเมืองสุ่ยหยางมีนาเพราะปลูกจำนวนมาก อีกทั้งยังมีแม่น้ำหวงไหล่ผ่าน เหมาะสมกับการเป็นเสบียงให้กองทัพนับหมื่นคน”

เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่ใช้ไม้ทรงยาวหัวมังกรไถม้าจำลองไปบนแผนที่บนพื้นในห้องทรงงานของต้าหวาง ตรงเมืองสุยหยางในแผนที่

“ตามความคิดของกระหม่อม เราควรโจมตีเมืองหลิวอีกเมืองหนึ่งที่นั่นเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเยว่ ทางทิศใต้ของแคว้น” แม่ทัพซ่งเฉินเอ่ยบอก

“ต้องจู่โจมแบบกองโจรเพื่อไม่ให้รู้ตัว ท่านล่วงหน้าข้าไปก่อนหนึ่งวัน นำกำลังพลไปสักหนึ่งหมื่นคน แบ่งทัพออกเป็นสามสาย โอบล้อมเมืองไว้รอข้าไปถึงก่อน ฟู่จวินคิดเห็นว่าเป็นเช่นไร” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย มองไปยังต้าหวางที่กำลังทอดมองแผนที่อยู่

“เป็นความคิดที่ดี การซุ่มโจมตีแบบกองโจรไม่เสียไพร่ผลดีด้วย” ต้าหวางเอ่ยบอก

“หม่อมฉันจะดำเนินการโดยทันที” เยว่หัวเอ่ยบอก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel