บทที่ 08 ของแทนใจ
จ่างซุนลี่รู้สึกปวดหัวด้วยอาการเมาค้างจากเมื่อคืนวาน อาจเป็นเพราะนางไม่เคยดื่มมันมาก่อน นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เพราะได้กลิ่นน้ำแกงโชยเข้ามาในห้อง นางมองไปยังรอบห้องไม่ใช่ด้านล่างของโรงเตี๊ยม แต่เป็นห้องสีแดงทั้งห้องรวมไปถึงม่านที่อยู่ในห้อง ราวกับห้องของหญิงคณิกาในหอคณิกาของเมืองหลวง
นางทอดสายตามองไปยังหน้าต่างเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง นางจำได้ดีว่าเขาคือหวงเซียะ นางจึงรีบเปิดผ้าห่มดู ดูว่าเสื้อผ้าอยู่ครบไหม ปรากฏว่าเสื้อผ้าของนางอยู่ครบถ้วน ทำให้นางวางใจไปเปลาะหนึ่ง อีกทั้งนางก็ไม่ได้เจ็บที่กลีบร่อง นางจึงสบายใจเปลาะที่สอง
“เจ้าตื่นแล้วหรือ ดูท่าเจ้าไม่เคยดื่มสุรามาก่อน ดื่มน้ำแกงสร่างเมาเสียหน่อย” เยว่หัวเอ่ยบอก แล้วยกถ้วยน้ำแกงโสมส่งให้นาง นางจึงรับเอาไว้และดื่มเพียงคำ กลืนด้วยความยากเย็น
“ทำไมมันขมแบบนี้” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง และมีสีหน้าขยะแขยงในน้ำแกงถ้วยนี้
“ดื่มอีก เดี๋ยวข้าจะให้น้ำตาลปั้น” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มกว้างน้อยคนที่จะเห็นเขายิ้มเช่นนี้ นอกจากหวางโฮ่วที่เคยได้เห็นรอยยิ้มของเขาแต่นั่นก็ก่อนที่เขาออกรบเมื่อสองปีก่อน
“ข้าไม่ใช่เด็ก” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วดื่มน้ำแกงหมดถ้วยด้วย มันทำให้นางรู้สึกขมคอยิ่งนัก เยว่หัวจึงส่งน้ำตาลปั้นเสียบรูปนกยูงไม้ให้นาง นางจึงรับไว้มาดูดกิน เขาทอดสายตามองนางด้วยความเอ็นดูยิ่งนัก
“พบพานครั้งหนึ่ง เหมือนได้พบเจอนับหมื่นปี” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน นางกลับได้ยินว่าอะไรหมื่นปีสักอย่าง นางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เมื่อกี้ท่านว่าอะไร” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาเผยรอยยิ้มมองริมฝีปากที่มีคาบน้ำตาปนน้ำลาย เขาใช้มือหนาข้างหนึ่งล้วนแขนเสื้อนำผ้าเช็ดหน้าสีเทาเช็ดที่ริมฝีปากของนาง ทำให้นางถอนหนีด้วยความตกใจ มองผ้าเช็ดหน้าบนมือของเขา เขาจึงขยับมือเข้าใกล้เช็ดที่ริมฝีปาก
“เมื่อคืนเราสองคนนอนด้วยกันบนเตียงใช่ไหม” นางเอ่ยถามด้วยความซื่อ
“ข้าและเจ้ายังไม่แต่งงานกัน แล้วเหตุใดต้องนอนเตียงเดียวกัน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ทำให้นางโล่งใจที่เขาไม่ได้มานอนบนเตียงเดียวกับนาง แต่เห็นว่าบนพื้นยกสูงข้างๆ ตั่งเตียงมีฟูกนอนและหมอนวางเรียงเอาไว้ คิดว่าเขาคงนอนบนนั้น
“ขอบคุณ” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มไม่ปิดบัง เยว่หัวถอดแหวนปานวาดทำมาจากหยกขาววางบนมือเรียวของนาง นางรับมาดูด้วยความงวยงง
“วันหน้าถ้าเจอกัน ข้าจะมาเอาคืนจากเจ้า” เขาเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“แต่ว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนของเหล่าขุนนางชั้นผู้หญิงหรือหวางเย่ ทำไมท่านถึงมีแหวนวงนี้ หรือท่านเป็นหวางเย่หรือขุนนางจากแคว้นไหน หรือว่าท่านเป็นหวางเย่แคว้นมู่” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เตี่ยข้าเป็นขุนนางแคว้นอวี้ แต่ตอนนี้เตี่ยของข้าท่านตายไป เพราะเป็นไข้ป่า เขาจึงมอบแหวนวงนี้ให้ข้า เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เชื่อ ข้าเชื่อท่าน” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน ว่าแต่บ้านเจ้าอยู่ไหน”
“บ้านข้าไม่ไกลจากนี้ ท่านไปค้าขายเถิด วันหน้าวาสนานำพา เราสองคนอาจได้เจอกันอีก” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอให้เจ้าโชคดี”
“ท่านก็เช่นกัน”
เยว่หัวเอ่ยกล่าวคำลาจากนางเสร็จแล้ว เขาจึงก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยม และออกจากประตูเมืองหลวงโดยมีเว่ยหรงและหลี่เฉียงรวมไปถึงทหารห้าคนคอยเดินตามเขาอยู่
“อาหรงที่ข้าให้ไปสืบได้ความว่าอย่างไงบ้าง” เยว่หัวเอ่ยถามเว่ยหรงที่ขึ้นม้า เช่นเดียวกับเขา เว่ยหรงเล่าเรื่องราวให้เยว่หัวฟังทุกอย่างที่เขารู้และเห็นในเมืองหลวง รวมไปถึงเปลี่ยนเวรทหารยามและการคุ้มกันในเมืองหลวงโดยละเอียด
จ่างซุนลี่โยนกระเป๋าเข้ามาในกำแพงเมืองทางทิศตะวันตก ทิศเดียวกันที่นางปีนเข้ามา เมื่อนางปีนข้ามบนต้นไม้มา และกระโดดลงจากกำแพงเมือง
“ว้าย...”
นางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเพราะนางไม่ได้จับกำแพงเอาไว้ แต่ทว่ามีอ้อมแขนหนึ่งโอบรับนางเอาไว้ได้ทันท่วงที ให้นางไม่ตกมาบาดเจ็บ นางมองคนที่โอบอุ้มนาง เขาเป็นชายหนุ่มที่นางคุ้นเคยอย่างดี
“ฝูเฉิน” นางเอ่ยเรียกชายผู้นี้ที่มีนามว่าฝูเฉิน ฝูเฉินเป็นแม่ทัพของแคว้นเยว่ เขาเองก็พึ่งกลับมาจากชายแดน เพื่อรายงานกองทัพทุกสองปีด้วยตัวเอง
ฝูเฉินเผยยิ้มในนางด้วยความสุขที่ได้เห็นนางด้วยใบหน้าที่แท้จริง เพราะตัวเขาเองก็เห็นใบหน้าของนางไร้หน้ากากถึงสองครั้ง ตั้งแต่นางเริ่มใส่หน้ากากเขาก็ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงอีกเลย
ฝูเฉินปล่อยเรียวขาให้นางทรงตัวยืนเผชิญหน้ากับเขา
“กงจู่หนีเที่ยวอีกหรือพระเจ้าค่ะ” เขาเอ่ยถามนาง
“ข้าแค่ไปเก็บลูกไม้นอกวัง”
“รู้หรือไม่หวังหวางโฮ่วกับนางกำนัลตามตัวท่านให้วุ่นทั้งวัง”
“ลี่เอ๋อร์” น้ำเสียงที่ทรงอำนาจเรียกนางอยู่ด้านหลัง นางรู้ทันทีว่าเป็นใคร ทำให้นางรู้สึกช้าไปทั้งตัว ไม่อาไปเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจสูงสุดในวังหลัง แต่ก็ต้องหันด้วยความจำใจ
“เหนียงชิน” ซุนลี่ถวายบังคมหวางโฮ่ว ฝูเฉินก็ถวายบังคมหวางโฮ่วด้วยเช่นกัน
“เจ้าหายไปทั้งคืน รู้หรือไม่ข้าและฟู่จวินของเจ้าต้องตามหาเจ้าแทบพลิกแผ่นดิน” หวางโฮ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันเพื่อดุนาง ซึ่งนางกลับไม่เคยกลัวหวางโฮ่วเลย ชอบแต่เที่ยวสนุกไปวันๆ
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ” ซุนลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ซุนลี่ ข้าจะกักบริเวณเจ้า คัดบทตำราสอนหญิงห้าจบและพรุ่งนี้เจ้าต้องร่ายรำเพลงชางเฉินเทียนให้ข้าดูจนกว่าข้าจะพอใจ” หวางโฮ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหนียงชิน” นางร้องด้วยความตกใจ เพราะคัดตำราสอนหญิงแค่ตำราเดียวก็มากกว่าสิบหน้ากระดาษแล้ว นี้ถึงกับคัดห้าจบต้องมากกว่าห้าสิบแผ่นแน่นอน
“แค่นี้ไม่พอ เจ้าเอาอีกหรือ”
“พอแล้วเพคะ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจาจวิน ดูแลนางให้ดี อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งที่สอง” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพคะ” เจาจวินน้อมรับพระบัญชา
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าก็ไปได้แล้ว” หวางโฮ่วเอ่ยบอก
“เพคะ” ซุนลี่เอ่ยบอกและถวายบังคม ก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ด้วยจิตใจห่อเหี่ยวยิ่งนัก
