บทที่ 06 พบพาน
“ด้านหน้าพระองค์คือเมืองฉางหยางเมืองหลวงของแคว้นเยว่ มองลงไปในเมืองหลวงมีการตรวจตราแน่นหนา” หลี่เฉียงเอ่ยบอกเยว่หัวที่นั่งอยู่บนหลังม้า ขณะที่ทหารส่วนหนึ่งที่ติดตามมาอยู่บนริมผา มองลงไปเบื้องล่างคือเมืองฉางหยาง
“ข้าต้องการเข้าไปในเมืองรู้ใช่ไหมว่าต้องทำเช่นไร” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“พระเจ้าค่ะ หวางเย่” หลี่เฉียงน้อมรับค่ำสั่ง แล้วขี่ม้าออกไปทันที
เยว่หัวพร้อมด้วยทหารส่วนหนึ่งสวมใส่ชุดของชาวเมืองแคว้นเยว่ เยว่หัวใส่ชุดคุณชายสีขาวสะอาดตา แล้วทำป้ายหยกตระกูลเฉียงอัน ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ของแคว้นเยว่ และเฉียงอันอิ๋งป่ายเป็นต้าซื่อคงมีผู้คนนับหน้าถือตา ทำให้เยว่หัวและทหารเข้ามาในเมืองหลวงปะปนกับเหล่าผู้คนในเมืองอย่างง่ายดาย
“พ่อหนุ่มมาทำอะไรแถวนี้ เจ้าคงมาต่างเมืองสินะ” ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา แล้วมายืนต่อหน้าเยว่หัว โดยมีเว่ยหรง หลี่เฉียง และองครักษ์ชุดดำสี่คน และอีกหลายคนที่ปะปนเป็นชาวบ้าน พวกเขาทั้งหมดสวมใส่ชุดของชาวบ้านที่หาซื้อนอกเมืองมาได้ และพวกเขาอยู่เคียงข้างเยว่หัวเพื่อสังเกตการณ์โดยรอบ
“ใช่ ข้ามาหาญาติที่ไม่ได้เจอกันมานาน เห็นว่าด่านตรวจก่อนเข้าประตูเมืองไม่ค่อยมีทหารประจำการมานัก เห็นว่ามีเพียงยี่สิบกว่าคน” เยว่หัวเอ่ยชายชราผู้นี้
“พ่อหนุ่มมันไม่ใช่ช่วงสงครามกับแคว้นมู่ พูดถึงช่วงนั้นของกินหายากพลเมืองไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างแพงขึ้นไปหมด” ชายชราผู้นี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักใจแล้วเอ่ยบอกต่ออีกว่า
“คืนนี้มีเทศกาลซีซีวันแรก จะมีสาวงามมากมายมาโยนลูกแพรที่สะพานซ่างหยางอีกด้วย ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากดูสาวงามเป็นแน่แท้” ชายชราเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านมากผู้เฒ่าข้าคงต้องขอตัวไปยังบ้านของญาติก่อน ก่อนที่จะพลบค่ำ” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“โชติดีนะ พ่อหนุ่ม” ชายชราเอ่ยเอ่ยบอกแล้วเดินจากไป
เยว่หัวเดินสำรวจรอบเมือง ทอดสายตามองดูผู้คนช่างดูมีความสุขยามไม่มีสงคราม เยว่หัวมีความคิดว่าต้องจบศึกสงครามความให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้คนต้องเดือดร้อน
“นายท่านใกล้ค่ำแล้ว เราจะออกไปประตูเมืองคงไม่ทันแล้ว คืนนี้เรานอนที่โรงเตี๊ยมดีหรือไม่” หลี่เฉียงเอ่ยบอกกับเยว่หัวเช่นนี้
“โรงเตี๊ยมไป่ถัง เป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ อยู่ตรงมุมตึก ข้าคิดว่าควรไปนอนกันที่นั่นดีหรือไม่ขอรับ นายน้อย” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไปจัดการเถิด” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“ขอรับ”
รองเท้าลายดอกเหม่ยสีแดงทำมาจากหนังกวางและกระเป๋าใบผ้าน้อยถูกโยนข้ามออกมาจากกำแพงข้างวัง หญิงสาวผู้หนึ่งแต่งกายสีแดงสดใสบนไหลทั้งสองข้างมีขนของจิ้งจอกขาวฟูฟ่องและผ้าคลุมยาวสีแดงไปจรดพื้น
จ่างซุนลี่ปีนต้นไม้ข้างกำแพงวังทางทิศตะวันตกข้างๆ ประตูขนศพออกจากวัง เพราะไม่มีผู้คนออกมากนัก ถ้าออกจากวังทางประตูนี้ก็จะขนศพออกมาด้วย นางจึงเลือกปีนต้นไม้และกระโดดลงมาราวกับใช้วิชาตัวเบาจนสำเร็จ
ทันใดนั้นนางฉุกคิดได้ว่าลืมสิ่งใด
“ข้าลืมหน้ากากได้อย่างไรกัน ช่างเถอะไม่มีใครในวังจำข้าได้อยู่แล้วนอกจากนางกำนัลของข้า เจาจวินข้าต้องขอโทษด้วยนะ เจ้ารับหน้าไปก่อนแล้วกัน”
เยว่หัวให้เว่ยหรงเจรจากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมในราคาสูง เพื่อเหมาโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เมื่อเจรจาสำเร็จเยว่หัว และทหารก็เข้ามาในโรงเตี๊ยมไป๋ถังแห่งนี้ เมื่อเข้ามาก็เพลาพลบค่ำแล้ว
เยว่หัวได้ยินเสียงผู้คนกำลังครึกครื้นภายนอกโรงเตี๊ยม เขาจึงเปิดหน้าต่างชั้นสองที่เขานั่งอยู่กับเว่ยหรง และหลี่เฉียง เยว่หัวทอดสายตาโคมไฟส่องทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นเยว่ ผู้คนมากมายอยู่ตรงสะพานตรงข้ามโรงเตี๊ยม หญิงสาวหลายคนต่างโยนลูกแพรต่างโยนในเทศกาลซีซี
เยว่หัวกับสะดุดตากับหญิงสาวชุดแดงที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คน เพราะนางใช้ชุดของบุตรีของขุนนาง แต่ทว่าเดินเพียงลำพัง ทันใดนั้นนางหันมองโคมไฟที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ทำให้เขาเห็นใบหน้าของนางท่ามกลางผู้คนได้เด่นชัด
นางผู้นี้มีใบหน้ากลมราวกับดวงจันทร์ที่ส่องแสงเป็นประกายบนฟากฟ้า หน้าผากโหนกนูนตามตำรา คิ้วโก่งดุจคันศร ดวงตากลมโตดำสุกสกาวราวกับดวงดาวที่ทอแสงแข่งกับแสงจันทรา จมูกของนางสวยได้รูป และริมฝีปากบางเป็นกระจับสวยแต่งแต้มด้วยสีกลีบบัว
“พบพานครั้งหนึ่ง เหมือนได้พบเจอนับหมื่นปี” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนในเพลาเดียวกัน ทำให้เว่ยหรงและหลี่เฉียงสงสัยว่าทำไมเยว่หัวถึงท่องกลอนออกมา อีกทั้งน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“นายน้อยมีสิ่งใดหรือขอรับ” หลี่เฉียงเอ่ยถามเยว่หัวด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่เอ่ยกลอนรักเช่นนี้มาก่อน
“หรือว่านายน้อยเจอกูเหนียงที่ถูกใจ” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม เยว่หัวมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เว่ยหรงไม่กล้าซบตาเขาด้วยความกลัวโดนทำโทษ
“ข้ามองดูลาดเลาว่าควรบุกเข้าประตูไหนดี ที่ทำให้ชาวเมืองล้มตายน้อยที่สุด” เยว่หัวเอ่ยบอกแล้วดื่มสุราดอกท้อที่รินเอาไว้ จนเย็นชืด
“ทำไมนายน้อยดูใจดีผิดแปลกไปมาก ทุกครั้งนายน้อยจะบุกทะลวง ตัดหัวเจ้าเมืองอย่างเดียว” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อาหรง เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร” เยว่หัวเอ่ยถามเว่ยหรง
“นายน้อยจะให้ข้าพูดจริงๆ เหรอ” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“พูดมา” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สังหารศัตรูไม่สนพิธีการ โหดร้าย ป่าเถื่อน เผาได้เผา ฆ่าได้ฆ่า ทรมาน...” เว่ยหรงยังพูดไม่จบหลี่เฉียงพูดขึ้นมาทันควัน
“อาหรง เงียบปากของเจ้าเดียวนี้ ก่อนที่นายน้อยจะจับเจ้าเผาทั้งเป็น” หลี่เฉียงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุ
“นายน้อยบอกให้พูดความจริง ข้าก็พูดความจริง” เว่ยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
แต่เยว่หัวกลับได้สนใจพวกเขาทั้งสองคนที่ถกเถียงกันเรื่องที่เขาเป็นคนเช่นไร เขากลับสนใจหญิงสาวชุดสีแดงชาดด้านล่างที่ก้าวเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
