บทที่ 05 เทียนเฟยเท่านั้นที่เหมะสม
มู่เยว่หัวทอดมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนท้องฟ้าปลอดโปร่ง เยว่หัวยืนตรงชานพักในหมิงตูกง ทอดสายตามองดาวเหนือสุกสกาวบนฟากฟ้า อีกทั้งยังมีดาวตกลงมาทางทิศเดียวกัน
“หวางเย่ยังไม่บรรทมอีกหรือพระเจ้าค่ะ”
คนที่พูดขึ้นมาคือจื่อฮั่ว มีหน้าที่ดูแลหมิงตูกง อีกทั้งยังดูแลความเป็นไปในตำหนัก เนื่องด้วยหมิงตูกงมีแต่บ่าวรับใช้เป็นผู้ชายและขันทีเท่านั้นไม่มีนางกำนัลที่เป็นหญิงแม้แต่คนเดียว
“ข้านอนไม่หลับ”
“หวางเย่เสวยน้ำโสมหรือน้ำจัณฑ์ร้อนๆ สักถ้วยหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ไม่ ข้าไม่หิว”
“กระหม่อมขอล่วงเกินถามหวางเย่สักเรื่องหนึ่งพระเจ้าค่ะ” จื่อฮั่วเอ่ยถามเยว่หัวเช่นนี้ เยว่หัวจึงหันกลับมามองจื่อฮั่วด้วยความสงสัย
“ว่ามา” เยว่หัวเอ่ยบอก
“เพลาที่หวางเย่บรรทมสนิท กระหม่อมเคยได้ยินเสียงหวางเย่ละเมอ ตั้งแต่กระหม่อมมารับใช้พระองค์ หวางเย่จะละเมอว่า อย่าไปไหน...กลับมาก่อน...กูเหนียง กระหม่อมจะได้ยินซ้ำๆ เรื่อยมา แต่ว่าหลังจากหวางเย่ไปทำศึกพระองค์ก็ไม่เคยละเมอเช่นนี้อีกเลย” จื่อฮั่วเอ่ยบอกเช่นนี้ (กูเหนียง แปลว่า แม่นาง)
“ข้าก็ไม่รู้ว่านางในฝันนั้นเป็นใคร ข้าเห็นเพียงด้านหลัง และเสียงหัวเราะของนางเพียงเท่านั้น ข้าเองก็อยากรู้ว่านางเป็นใครเช่นกัน” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“โบราณว่าถ้าชายใดฝันถึงหญิงผู้หนึ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน หรือหญิงผู้นั้นฝันถึงชายผู้หนึ่งบ่อยครั้ง ไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในฝันอาจจะเป็นเนื้อคู่ของพระองค์ก็เป็นได้พระเจ้าค่ะ” จื่อฮั่วเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าใช้ เหมือนเคยพบเจอกันนับหมื่นปี ถ้าไม่เจอหญิงผู้นั้น ข้าก็จะไม่มีวันแต่งงานเด็ดขาด” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วก้าวเดินเข้าไปในห้องนอนทันที
“ส่งเสด็จ” จื่อฮั่วเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วก้มโค้งเล็กน้อย
“กูเหนียงเช่นนั้นจะไปหามาจากไหน” เว่ยหรงเอ่ยบอก ขณะที่ก้าวเดินมาข้างๆ จื่อฮั่ว
“เราอยู่ในสนามรบมาเกือบสองปี ยังไม่เคยรู้ว่าหวางเย่ชอบกูเหนียงแบบไหน แล้วชอบหน้าตาของนางเช่นไร” หลี่เฉียงเอ่ยบอกเช่นนี้
“เทียนเฟยเท่านั้นแหละ ที่เหมาะสมกับหวางเย่ของพวกเรา” จื่อฮั่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน แล้วทั้งสามก็ทอดมองไปยังหมิงตูกงที่ตบแต่งด้วยไม้จันทน์ขาว ฉาบด้วยสีดำและขาวที่พวกเขาคุ้นตา ซึ่งต่างจากตำหนักของหวางเย่และตำหนักในวังที่มีสีสัน (เทียนเฟย แปลว่า นางฟ้า)
“เจ้าจะรีบออกไปทำศึกทำไม ความจริงแม่ทัพแคว้นมู่มีตั้งมากมาย เจ้าไม่จำเป็นต้องไปออกศึกเสียด้วยซ้ำ เหนียงชินเองก็อยากให้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงมากกว่าไปอยู่ในสนามรถ”
ผู้ที่เอ่ยถามคือมู่กวงหลี่ มีตำแหน่งเป็นไท่จื่อของแคว้นมู่ เขาได้เอ่ยถามมู่เยว่หัว ซื่อหวางเย่ ที่ชุดเกาะสีดำมีตราพยัคฆ์อยู่บนเสื้อเกาะ กำลังเตรียมขึ้นหลังมาสีดำสนิท ม้าตัวนี้มีชื่อว่า ผิงอัน รบเคียงข้างเขามาสองปีกว่า
“ข้าจะรีบกลับมา ต้าเกอพระองค์รอฟังข่าวดีได้เลย ฝากบอกเสี่ยวซานด้วย ว่าข้าไปก่อน ข้าไม่ได้ไปหานางเลยตั้งแต่กลับมา ข้ากลัวว่านางจะน้อยใจเอาได้”
“เจ้าลืมกระทั่งอู่เม่ยเลยหรือ นางคงน้อยใจตามที่เจ้าว่า” ไท่จื่อเอ่ยบอกเช่นนี้ (อู่เม่ย แปลว่า น้องสาวคนที่ห้า)
“ถึงเพลาที่ต้องเคลื่อนทัพแล้ว หม่อมฉันทูลลาพระเจ้าค่ะ” เยว่หัวถวายบังคมไท่จื่อทันที พร้อมกับขุนพลชำนาญศึกสามสิบกว่าคนที่ติดตามเขาไป
“ขอให้เจ้าและผู้คนในกองทัพแคว้นมู่ โชติดีกลับมาปลอดภัยได้รับชัยชนะ” ไท่จื่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าคงลืมข้าไปแล้วสินะ หัวเอ๋อร์” คนที่เอ่ยเรียกเยว่หัวคือ มู่หลี่หวางหวางเย่ เป็นหวางเย่องค์รองจากไท่จื่อ ถือกำเนิดจากอิ๋งเหมยปาจื่อ
“ข้าขออภัยด้วยที่ข้าไปกะทันหัน” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“บ้านเมืองสำคัญ แต่เจ้าก็ต้องรักษาตัวด้วย” มู่อันหมิงหวางเย่ ถือกำเนิดแต่เซียวเฟยฟูเหริน
“กระหม่อมจะรีบกลับมา จะรวบรวมสามแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว ให้เป็นของเราให้จงได้” เยว่หัวเอ่ยบอกและขึ้นม้าศึกทันที แล้วขุนพลม้าชำนาญศึกก็ตามเขาไปเช่นกัน
