บทที่ 04 มองครั้งเดียวก็รู้ว่าใช่
มู่เยว่หัว ซื่อหวางเย่ ทอดสายตามองโคมไฟที่ลอยสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืนนี้ บนกำแพงเมืองตรงประตูฉางเฉิน เป็นประตูหน้าเมือง เป็นภาพที่งดงามยิ่งนักในเทศกาลซ่างหยวน เขายืนกับเหล่าองครักษ์เสื้อแพร พวกเขาเหล่านั้นยืนอารักขาเมื่อเขาไปก็ตาม องครักษ์เสื้อแพรติดตามไปด้วย
“อาหรง ทางด้านชายแดนแคว้นเยว่ แม่ทัพหม่าถอนทัพกลับมาหรือยัง” เยว่หัวเอ่ยถามเว่ยหรง องครักษ์คนสนิทที่เป็นเพื่อนเรียน โดยเตี่ยของเขาเป็นแม่ทัพเว่ยผู้ล่วงลับ (เตี่ย แปลว่า พ่อ)
“ทางชายแดนฝ่ายเราถอนทัพกลับมาแล้วพระเจ้าค่ะ” เว่ยหรงเอ่ยบอกเช่นนี้
“อีกสามวันข้าจะนำทัพไปด้วยตัวเอง” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ซื่อหวางเย่ พระองค์พึ่งเสด็จกลับมา อย่าพึ่งไปออกรบเลยพระเจ้าค่ะ ข้าขออาสาไปทำศึกเอง” หลี่เฉียงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลี่เฉียงก็เป็นสหายของเยว่หัวในวัยเรียนเช่นกัน เตี่ยของเขา คือ เจ้ากรมอาญา
“ข้าออกรบตั้งแต่อายุสิบสาม เพื่อต้องรวบรวมแผ่นดินทั้งห้าแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวในเร็ววัน เพื่อใต้หล้าไม่ต้องทำศึกลูกหลานแคว้นมู่จะได้มีที่ทำกิน” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“รายงาน” เสียงของทหารผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามา พร้อมกับยื่นม้วนผ้าผืนหนึ่งที่มีกระดาษอยู่ในนั้นส่งให้เว่ยหรง เว่ยหรงรับเอาไว้ แล้วส่งให้เยว่หัว เยว่หัวรับแล้วเปิดอ่าน เขาอ่านใจความในกระดาษด้วยสีหน้าเครียดยิ่งนัก
“มีสิ่งใดหรือพระเจ้าค่ะ” เว่ยหรงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อาหรง เตรียมทหารทหารฝีมือดีสักสามสิบคนล่วงหน้าไปเมืองเยว่ชิงก่อน ส่วนเจ้าอาเฉียงพาทหารทั้งหมดกลับเมืองในวันพรุ่งนี้ แล้วมาสมทบกับข้า” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“พระเจ้าค่ะ” เว่ยหรงและหลี่เฉียงน้อมรับคำสั่งโดยทันที
ทหารอีกคนก้าวเดินเข้ามา แล้วถวายบังคมโดยทันที
“ซื่อหวางเย่ หวางโฮ่วเป็นลมในเจียวฟางกงจะเจ้าค่ะ”
เมื่อเยว่หัวได้ยินเช่นนั้น เขาจึงรีบวิ่งลงจากกำแพงเมืองไปยังม้าสีดำปอดและขึ้นขี่โดยทันที ตรงไปยังวังหลวง
“ฮกโซ่”
เยว่หัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันด้วยความร้อนใจยิ่งนัก ทอดมองเข้าเข้าไปในเจียวฟางกงกลับไม่เห็นฮกโซ่ผู้เป็นหวางโฮ่วและเป็นเหนียงชินของเขา
“เอ่อคือ...” ฮกโซ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดทำให้เขามีสีหน้าดุดันจนนางไม่กล้าซบตาเขา
“ฮกโซ่ ถ้าเจ้าไม่รีบตอบข้า หัวเจ้าได้หลุดออกจากบ่าแน่” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำให้คนฟังขนลุกถึงกระดูกดำ ถึงใบหน้าเขาจะหล่อจะได้สมญานาม องค์ชายหน้าหยก หรือมีอีกสมญานามว่าพยัคฆ์ร้ายไร้พ่ายด้วยเช่นกัน เขาสังหารผู้คนไม่เลือกพิธีการทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวเขาเป็นยิ่งนัก
“ผู้ใดมาเอะอะ เสียงดังในตำหนักข้า”
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมา ซึ่งเป็นเสียงของหวางโฮ่วที่ดังมาจากม่านกันและฉากผืนใหญ่ทำจากไม้จันทน์ขาวที่มาจากแดนตะวันตกแกะสลักด้วยลายหงส์ ลวดลายวิจิตรงดงามสูงค่ายิ่งนัก
“หม่อมฉันมู่เยว่หัวถวายบังคมเหนียงชิน” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้ และคลุกเข่าลงถวายบังคม หมี่ซูหวางโฮ่วก้าวเดินออกมาจากม่านกันพร้อมด้วยนางกำนัลอีกสองคนที่ถวายบังคมเยว่หัว
“ลุกขึ้น ให้ข้าดูหน้าเจ้าชัดๆ สิ” หวางโฮ่วเอ่ยบอกเช่นนี้ เยว่หัวจึงลุกขึ้นโดยทันที เขามองหวางโฮ่วที่เผยรอยยิ้มกว้าง ใบหน้างดงามราวกับสาวแรกรุ่นสวมใส่เครื่องหัวมากชิ้น อีกทั้งยังสวมชุดสีน้ำเงินขาวลายดอกกล้วยไม้สีแดง ทำให้ดูสง่างามยิ่งนัก แต่ไม่มีทีท่าจะป่วยแต่อย่างใด
“เหนียงชิน พระองค์ไม่ประชวรอยู่หรือ” เยว่หัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย หวางโฮ่วจึงเดินไปที่ตั่งยาวเพื่อนั่งลง โดยเยว่หัวเข้ามาประคองนางนั่งลง
“นั่งสิ” หวางโฮ่วเอ่ยบอกเช่นนี้ เยว่หัวจึงนั่งลงโดยมีมือนางฉุดเขานั่งเคียงข้าง
“พระองค์สุขสบายดี เหตุใดถึงบอกว่าป่วย” เยว่หัวเอ่ยถามเช่นนี้
“ข้าสบายดีทุกอย่าง หัวเอ๋อร์ ข้าแค่อยากเห็นเจ้าเพียงเท่านั้น รู้ไหมข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน เจ้าหายไปเกือบสองปี เจ้าไม่คิดถึงข้าบ้างหรืออย่างไร” หวางโฮ่วตัดพ้อด้วยความน้อยใจ บุตรชายคนโตของนางก็มีงานทำมากมาย เนื่องด้วยเป็นไท่จื่อจึงไม่ค่อยได้มาหานาง มาหาเพียงอาทิตย์ละสองครั้งมาพร้อมด้วยไท่จื่อเฟยเท่านั้น ซึ่งทั้งสองก็ยังไม่มีบุตร ส่วนลูกชายคนเล็กของนางก็คือ มู่เยว่หัว ซื่อหวางเย่ ซึ่งติดพันกับศึกสงครามยาวนานเกือบสองปีไม่เคยกลับเข้ามาในวัง
“กระหม่อมอกตัญญู ไม่สามารถอยู่ดูแลเหนียงชินเท่าที่ควร กระหม่อมขออภัยจริงๆ แต่เรื่องบ้านเมือง กระหม่อมต้องทำให้สำเร็จ รวบรวมแว่นแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อใต้หล้าได้สงบสุข” เยว่หัวเอ่ยบอกเช่นนี้
“ต้าหวางแคว้นเซี่ยส่งทูตมาสู่ขอเจ้าให้อภิเษกกับหมิ่งหลิวกงจู่ เพื่อเป็นการเจริญไมตรีของทั้งสองแคว้นสืบต่อไป” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหนียงชินก็รู้ว่าชีวิตของกระหม่อมอยู่กับสงคราม เข่นฆ่านองเลือด กระหม่อมไม่อยากให้หญิงผู้นั้นที่แต่มาอยู่ด้วยต้องรอคอยสามีของนางวันแล้ววันเล่า ว่าเมื่อไหร่สามีของนางจะกลับมาหานาง” เยว่หัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าข้าและต้าหวางคิดจะบังคับเจ้าให้แต่งงาน เจ้าก็คงหนีไปทำศึกฆ่าฟันในสนามรบ หัวเอ๋อร์สักวันหนึ่งต้องอภิเษกไม่วันใดวันหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้าได้มีครอบครัวเหมือนกับต้าเกอและหวางเย่คนอื่น ที่ทยอยมีลูกชายลูกสาววิ่งกันเต็มบ้าน” หวางโฮ่วเอ่ยจบแล้วถอนหายใจ (ต้าเกอ แปลว่า พี่ชายคนโต)
“เหนียงชิน ถ้าหญิงที่กระหม่อมจะแต่งงานด้วย แค่มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าใช้ เหมือนเคยพบเจอกันนับหมื่นปี ถ้าไม่เจอหญิงผู้นั้นหม่อมฉันก็จะไม่มีวันแต่งงานเด็ดขาด” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะมีคนแบบนั้นที่ไหนเล่า” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงระอาหัวใจ
“อีกไม่กี่เพลาหม่อมฉันจะเคลื่อนทัพไปบุกแคว้นเยว่ กระหม่อมจะต้องไปเข้าเฝ้าต้าหวางและไท่จื่อ ขอให้เหนียงชินอวยพรให้ข้าด้วยพระเจ้าค่ะ” เยว่หัวเอ่ยบอก
“ขอให้เจ้าชนะกลับมา ถ้าเป็นไปได้กลับมาครั้งหน้าเจ้าต้องกลับมาแต่งงานนะ ข้าจะหาบุตรีขุนนางในเมืองหลวงเพื่อให้เจ้าแต่งงานกับเจ้า” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หม่อมฉันทูลลาพระเจ้าค่ะ” เยว่หัวเอ่ยบอกลาหวางโฮ่วพร้อมกับถวายบังคม ลุกขึ้นก้าวเดินถอยหลังสามก้าวและหันหลังออกไป
“ข้าจะทำอย่างไงดี ฮกโซ่”
หวางโฮ่วเอ่ยบอกเช่นนี้และถอนหายใจ ฮกโซ่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
