บทที่ 02 หน้ากากนางพญา
กาลเพลาผันเปลี่ยนไปถึงสิบห้าปี ในช่วงฤดูคิมหันต์ของปีนี้พืชผลออกดีนักแล เพราะแคว้นเยว่ไม่หนาวทั้งปีเช่นแคว้นมู่ที่อยู่เหนือแคว้นเยว่ขึ้นไปอีกหลายพันลี้ อีกทั้งแคว้นเยว่ติดทะเลทำให้ข้าขายสะดวกยิ่งนัก จึงมีแคว้นต่างๆ เข้ามารุกรานอยู่เป็นเนืองๆ โดยมีแคว้นที่เป็นศัตรูตัวสำคัญ คือแคว้นมู่ ที่ได้เมืองท่าของแคว้นเยว่ไปหลายเมืองตลอดสามปีที่ผ่านมา โดยผู้นำทัพมีตำแหน่งเป็นหวางเย่ ควบด้วยตำแหน่งต้าซื่อหม่า เขาเก่งกล้าชำนาญศึกหาตัวจับยากด้วยวัยสิบห้าปีแค่นี้เขากลับยึดแคว้นได้ทั้งสิ้นสามแคว้น และเผ่าอีกสิบสี่เผ่า ทำให้หลายแคว้นต้องยอมสวามิภักดิ์ ทำให้ต้าหวางแคว้นเยว่เริ่มหวั่นใจยิ่งนัก (ต้าซื่อหม่า แปลว่า เสนาบดี)
หญิงสาวใบหน้างดงามราวกับเทพธิดามาจุติในร่างของมนุษย์ นางมีใบหน้าเป็นวงกลมดุจพระจันทร์เต็มดวง หน้าผากกว้างได้รูป ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน แก้มทั้งสองข้างเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับผลลูกท้อสุกพร้อมกิน ริมฝีปากเป็นกระจับสีกลีบบัวชมพูเหมือนมีใครมาทาเอาไว้ นางเป็นกงจู่พระองค์โตแห่งแคว้นเยว่ สกุลจ่างซุน ฟู่จวินนามว่าจางซุนเค่อ เหนียงชินมีนามว่าหวังอิง มีตำแหน่งเป็นหวางโฮ่ว
“ซุนลี่กงจู่ กงจู่ กงจู่เพคะ”
เสียงของเหล่านางกำนัลสาวประมาณห้าถึงหกคนตะโกนเรียกกงจู่ในอุทยานหลวง เพราะซุนลี่นั้นแอบหนีนางกำนัลออกมาเดินเล่นในอุทยานหลวงในยามเย็นพลบค่ำเช่นนี้ ทำให้เหล่านางกำนัลต่างเป็นห่วงนางยิ่งนัก (กงจู่ แปลว่า องค์หญิง)
“จ้างให้ข้าก็ไม่ออกหรอก” จ่างซุนลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาขบขัน แอบซ่อนตัวอยู่ตรงหลังพุ่มดอกโบตั๋นสีชมพูสดใสที่บานสะพรั่งเต็มต้น นางทอดสายตามองเหล่านางกำนัลภายใต้หน้ากากหน้าทองคำลักษณะครึ่งใบหน้า มีลายวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก
จ่างซุนลี่กับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรสะกิดอยู่ด้านหลัง แต่นางก็ไม่หันกลับไป มีเพียงพยักไหล่ด้วยความลำคานเท่านั้น
“อย่ามายุ่ง ข้าจะดูนางกำนัลวิ่งหาข้า จ้างให้ก็ไม่เจอ” จ่างซุนลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน ทอดสายตามองเหล่านางกำนัลที่วิ่งกันให้วุ่นวาย แต่มือนั้นก็ยังคงสะกิดไม่เลิก
“ลี่เอ๋อร์”
น้ำเสียงมีอำนาจเช่นนี้ ทำให้จ่างซุนลี่รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เพราะนางรู้ว่าน้ำเสียงที่เรียกชื่อของนางเป็นผู้ใด นางจึงหันกลับหลังช้าๆ มองใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยผ้าไหมชั้นดีสีแดงสดลวดลายนกยูงสีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องหัวมากชิ้น จ่างซุนลี่เผยยิ้มแบบใจดีสู้เสือ
“เหนียงชิน” ซุนลี่เอ่ยบอกและลุกขึ้นยืน พับแขนใช้มือเรียวทั้งสองข้างผสานกัน โดยใช้มือขวาทับมือซ้าย (เหนียงชิน แปลว่า แม่)
“พวกเจ้าไม่ต้องหากงจู่แล้ว กลับไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าเถอะ” หวางโฮ่วเอ่ยบอกกับเหล่านางกำนัลที่กำลังหาซุนลี่อยู่
“เพคะ หวางโฮ่ว” นางกำนัลเอ่ยบอกหวางโฮ่ว ถวายบังคมอย่างนอบน้อมและก้าวเดินออกไปจากตรงนี้
“ข้าจะทำอย่างไงกับเจ้าดี ลี่เอ๋อร์” หวางโฮ่วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุไม่จริงจัง อีกทั้งยังทอดสายตามองนางด้วยสายตาที่ดุ ซุนลี่เผยยิ้มกว้างและโอบกอดหวางโฮ่วทันที ให้หวางโฮ่วหายโกรธ และนางก็หายโกรธทุกครั้งที่ซุนลี่ทำเช่นนี้
“รักหม่อมฉันให้มากๆ ทำขนมกุ้ยฮัวให้หม่อมฉันกินเยอะๆ เพคะ” ซุนลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แล้วถอนอ้อมกอดมองหวางโฮ่วด้วยรอยยิ้ม หวางโฮ่วอยากจะหัวเราะกับการอ้อนของนางยิ่งนัก แต่อยากปั้นหน้าดุเพื่อให้นางกลัว
“เหนียงชิน อย่าดุเม่ยเมยเลยพระเจ้าค่ะ นางพึงถึงวัยปักปิ่นเอง อย่าถือสานางเลยพระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหล่าเอ่ยบอกหลังจากถวายบังคมหวางโฮ่วแล้ว (เม่ยเมย แปลว่า น้องสาว / วัยปักปิ่น คือ เด็กสาวอายุสิบห้าปีเป็นต้นไป)
“ต้านเอ๋อร์ เจ้าและต้าหวางของพวกเจ้าให้ท้ายลี่เอ่อร์แบบนี้ นางถึงซนแบบนี้ เจ้าเลยวัยปักปิ่นมาสองเดือนแล้วนะ ลี่เอ่อร์แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะถอดหน้ากากออกจากใบหน้าสักที รู้ไหมเหนียงชิน และฟู่จวินแทบจำใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าไม่ได้แล้ว อีกไม่นานฟู่จวินของเจ้าคงให้เจ้าอภิเษกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นใดแคว้นหนึ่ง” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงริงจัง
“เหนียงชิน หม่อมฉันไม่อยากไปไหนจากเหนียงชิน ฟู่จวิน เกอเกอ หว่านของหม่อมฉัน และหม่อมฉันอยากใส่หน้ากากแบบนี้ตลอดไปด้วย หม่อมฉันจะได้อ่างต่อผู้คนได้ว่าใบหน้าของหม่อมฉันอัปลักษณ์ไม่น่ามอง ผู้คนที่มาสู่ขอหม่อมฉันจะได้ไม่มาสู่ขออีก” ซุนลี่เอ่ยบอกเช่นนี้
“ลี่เอ๋อร์เจ้ามันจริงๆ เลยนะ” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกับนางยิ่งนัก
หวางโฮ่วคิดต่ออีกว่าจะมีชายใดอยากแต่งงานกับนาง เพราะนางเหมือนม้าพยศเช่นนี้
