บท
ตั้งค่า

chater2 part2

การนอนหลับในรอบนี้นั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายได้รับการพักผ่อนจริงๆ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันยามที่ได้อยู่ใกล้กับพี่ไรอา ร่างกายของเขาที่แต่เดิมก็ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วอยู่แล้วยิ่งมีการฟื้นตัวเร็วมากขึ้นไปอีก ซึ่งอาจเป็นการคิดไปเองของเขาก็ได้ แต่ต้องยอมรับว่าตักของพี่สาวเขานอนหลับสบายจริงๆ

ดวงตาสีฟ้าครามของเรย์เปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความสบายในการหลับครั้งนี้นั้นทำให้เขารู้สึกอยากหลับต่อไปอีกสักหน่อย แต่หากทำแบบนั้นมันจะเป็นการรบกวนพี่สาวของเขามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงควรที่จะตื่นได้แล้ว

“สวัดดีจ๊ะ เรย์ ตื่นแล้วเหรอ” เสียงหวานละมุนทักทายดังขึ้นมาในทันทีที่เขาลืมตา ราวกับว่าเธอเฝ้ามองดูเขาอยู่ตลอด ดวงตาสีเขียวมรกตงดงามคู่นั้นเมื่อมารวมกับใบหน้าหมดจด ทำเอาเรย์ที่กำลังงัวเงียอยู่ตาสว่างขึ้นมาทันควัน

“อะ ขอบคุณมากครับพี่ไรอา ที่อุตส่าห์ให้ผมนอนตักแบบนี้” หลังจากถูกรอยยิ้มอันอ่อนโยนของพี่สาวตัวเองทำให้ใจเต้นไปสักพัก กว่าจะรวมรวมสติได้ก็กินเวลาไปหลายวินาที ทำเอาสาวเจ้าหัวเราะคิกคัก

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ออกจะชอบให้เราทำแบบนี้ซะอีก แต่พี่แนะนำว่าอย่าพึ่งขยับตัวจะดีกว่านะ” คำพูดของเธอทำให้เรย์แปลกใจเล็กน้อย ก่อนตวัดสายตาไปมองก็พบว่า ตอนนี้ร่างของเขานั้นถูกใช้ต่างหมอนของแม่สาวตัวป่วนที่กำลังหลับปุ๋ยไปซะแล้ว

“พอจะเห็นภาพเลยล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น” คาดว่าแม่สาวน้อยคนนี้กลับมาจากเดินเล่นแล้วเห็นเขานอนหนุนตักของพี่ไรอาอยู่ แล้วคงพูดว่า ‘พี่ชายขี้โกงนี่นามาแอบนอนหนุนตักพี่ไรอาแบบนี้’ แล้วจึงใช้ร่างของเขาต่างหมอนไปแทน

“ผมหลับไปนานเท่าไหร่เหรอ?”

“น่าจะประมาณสองชั่วโมงล่ะมั้ง” ดวงตาสีมรกตฉายแววครุ่นคิด นิ้วเรียวของเธอแตะอยู่ที่ริมฝีปากเพราะเธอก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเรย์มานอนตักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่มารู้ตัวตอนเขาตื่นเอาตอนนี้

แต่หญิงสาวคงไม่รู้หรอกว่าการกระทำนี้ทำให้เธอดูน่ารักจนทำให้น้องชายของเธอใจเต้นแค่ไหน

“เอ่อ นานขนาดนั้นเชียว ถ้าพี่ไรอาจะลุกไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวผมหาอย่างอื่นหนุนหัวแทนก็ได้” แน่นอนว่าเขาย่อมเกรงใจพี่สาวของตนมาก การให้เขานอนหนุนนตักนานๆ เช่นนี้อาจทำให้เธอเมื่อยก็ได้ หากแต่พี่สาวของเขากลับส่ายหน้า

“ไม่หรอกไม่เมื่อยเลยสักนิด ถ้าเรย์ยังง่วงอยู่จะนอนอีกรอบก็ได้นะ”

“ไม่ละครับ ผมหายง่วงแล้วล่ะ” ยังมีใครที่ไหนหลับลงอีกตั้งแต่ได้เห็นรอยยิ้มของพี่สาวของเขาเมื่อกี้ เขาก็เผลอจ้องตาค้างจนความง่วงทั้งหลายเหล่บินหนีไปหมดแล้ว

“งืม อะ ตื่น~แล้ว~เหรอ~พี่~ชาย” เสียงยานคานดังขึ้นมาก่อนที่ร่างเล็กจะค่อยๆ ยันกายขึ้นมาจากร่างของเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับที่เธอขยี้ตาขับไล่ความง่วงงุนไปด้วย

“ขอโทษนะเรเดีย พวกพี่พูดเสียงดังจนเราตื่นเลย” เธอลืมนึกไปเลยว่าตอนนี้น้องสาวของเธอกำลังอยู่ใกล้ๆ เลยเผลอลืมลดเสียงเวลาพูดคุยกับน้องชายของเธอไปหน่อย

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ไรอา หนูไม่ได้ง่วงอะไรเท่าไหร่ แค่อยากนอนหนุนพี่ชายเท่านั้นเอง” เจ้าตัวน้อยไม่ได้รู้สึกอะไร ในเมื่อแต่แรกเริ่มเดิมทีที่เธอมานอนแบบนี้ เป็นเพราะพี่ชายของเธอมาแอบนอนหนุนตักพี่สาวโดยไม่ได้ชวนเธอต่างหาก

“ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว จะเล่นอะไรอีกหรือเปล่า? อีกสักพักเราก็ต้องกลับแล้วนะ” เรย์พูดกับแม่น้องสาวตัวน้อยที่ดูเหมือนกำลังแอบทำหน้ามุ่ยอยู่ ส่วนทางด้านของเรเดียที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว

“ไม่อ่ะ ก็เล่นไปหมดแล้วนี่นา ไว้วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้” หลังจากที่วันนี้ทั้งวันเธอเล่นกับพี่ชายจนจุใจ ไม่รู้จะทำอะไรดีแล้วเธอจึงตัดบทไปเสียอย่างนั้น

“ถ้ายังไงพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม ช่วยเล่นไวโอลีนให้พี่ฟังหน่อยสิเรย์” เธอยกมือแทรกระหว่างการสนทนาของทั้งคู่แล้วจึงเอ่ยปากขอในสิ่งที่ต้องการ พอได้ยินดังนั้นดวงตาสีฟ้าสดใสของแม่สาวตัวป่วนก็เป็นประกายในทันที

“อ๊า ลืมไวโอลีนของพี่ชายไปเลย หนูเอาด้วยพี่ชายเล่นให้ฟังหน่อยน้า” พอนึกขึ้นได้ว่าแท้จริงเธอหลงลืมอะไรไปยัยตัวเล็กก็ตาเป็นประกายพราวระยับ ก่อนหันมาออดอ้อนพี่ชายของตัวเองจนทำให้เด็กหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่เกาหัว

“จริงๆ ผมก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไร แต่ถ้าอยากฟังกันก็ไม่ขัดศรัทธาก็แล้วกัน” โบกมือร่ายมนตราอย่างแผ่วเบาอยู่ชั่วครู่ ในไม่กี่วินาทีถัดมากล่องไวโอลีนสีดำสนิทก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาเรียบร้อยแล้ว

มนตราเรียกของบทนี้เป็นมนตราพื้นฐานที่ไม่ว่าใครที่มีพลังมนตราก็ใช้ได้ แต่จะใช้ได้เฉพาะกับของที่ประทับตราของตนเองเอาไว้เท่านั้น โดยมากแล้วเหล่าทหารมนตราทั้งหลายมีไว้เพื่อใช้เรียกอาวุธคู่กายออกมา แต่สำหรับเรย์นั้นเขาเอาไปใช้กับไวโอลีนเพื่อที่จะได้เรียกหามันได้ในทุกเวลา

“งั้นจะเริ่มละนะ” กระชับไวโอลินในท่าเตรียมพร้อม ก่อนจรดคันชักในมือด้วยความคล่องแคล่ว เขาไม่จำเป็นต้องถามว่าจะให้เล่นเพลงอะไร เพราะไม่ที่ทั้งคู่จะร้องขอก็มีหลักๆ อยู่แค่ประมาณสี่ถึงห้าเพลงเท่านั้น

เสียงดนตรีดังขึ้นมาอย่างนุ่มนวล การเล่นของเด็กหนุ่มลื่นไหลไร้จุดสะดุด เสียงดนตรีที่ทำให้รู้สึกกระชับกระเชงขึ้นมาทันควัน หากแต่ฟังแล้วกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและสดใส ราวกับแสงตะวันทำให้ผู้ฟังยิ้มได้ทุกครั้งที่ได้ยิน

ติ้ง

เสียงสุดท้ายเป็นการจบเพลงดังขึ้นมา หลังจากที่เรย์เล่นจบไปแล้วนั้นทุกสิ่งโดยรอบยังคงตกอยู่ในความเงียบสงัด ไม่มีกระทั่งเสียงลมพัดต้นหญ้าไหวใดๆ ราวกับว่าทุกสรรพชีวิตโดยรอบนั้นกำลังเคลิบเคลิ้มกับบทเพลงที่เขาเป็นคนบรรเลงไป

“ยังเพราะเหมือนเดิมเลย พี่ชายเป็นสุดยอดในการเล่นไวโอลินจริงๆ นั่นแหละ” เสียงร้องอย่างร่าเริงของเรเดียพร้อมสองแขนที่สะบัดไปมา เพลงที่พี่ชายของเธอเล่นให้ฟังนั้นเป็นเพลงเหมือนดั่งในตอนที่เธอได้เจอกับพี่ชายครั้งแรก เป็นสิ่งที่ทำให้เธอประทับใจในตัวพี่ชายคนนี้เสมอมา

ทางด้านของไรอานั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร แค่เพียงยิ้มให้กับเพลงที่น้องชายของเธอเล่นเท่านั้นสำหรับเธอแล้วเพลงที่เรย์เล่นให้ฟังนั้นเป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ฟังมาและมันยังเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถเข้าถึงตัวตนของเขาได้ดีที่สุดอีกด้วย

แปะๆๆๆๆ

เสียงปรบมือดังขึ้นมาทำเอาทุกคนในที่นั้นชะงักไป เนื่องจากแทนที่จะมีเพียงสองแต่กลับได้ยินเสียงปรบมือเพิ่มมาอีกหนึ่งจากอีกทิศทาง ทำเอาดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องไปยังร่างที่กำลังยืนปรบมืออยู่อย่างพร้อมเพรียง

“สุดยอด นานแล้วนะที่ไม่เคยได้ยินใครที่เล่นดนตรีได้ดีแบบนี้ เทคนิคการเล่น การถ่ายทอดอารมณ์ และที่สำคัญที่สุดยังเป็นดนตรีที่เข้าถึงจิตใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี สมบูรณ์แบบมากเลย” เจ้าของเสียงปรบมือนั้นแสดงความยินดีราวกับเด็กเล็ก

เธอเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างตัวเล็กอยู่สักหน่อย สวมชุดเสื้อแขนสั้นสีเหลืองและกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นเรียวขางามทำให้แลดูทะมัดทะแมง เรือนผมสีเหลืองอ่อนนั้นถูกรวบเอาไว้เป็นเปียทั้งสองข้างอย่างน่ารัก ดวงตาสีอำพันคู่นั้นดูราวกับดวงดาวที่เปล่งประกายเจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้า

“ก็นะฉันพอเล่นเป็นอยู่บ้างนิดหน่อย ว่าแต่เธอเป็นใครเนี่ย?” อดขมวดคิ้วเพราะตอนแรกเขาตั้งใจจะเล่นให้พี่สาวและน้องสาวของเขาฟังเท่านั้น แต่ไหงไปๆ มาๆ ถึงได้มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาฟังด้วยก็ไม่อาจทราบได้

“ฉันชื่อชิโรคาวะ คานาเดะ พอดีมีความรู้ด้านดนตรีอยู่บ้างน่ะ ว่าแต่นายเป็นนักดนตรีอาชีพเหรอ?” ดวงตาสีอำพันคู่นั้นเป็นประกายน้ำเสียงที่ไพเราะชวนฟังของเธอแฝงแววความชื่นชมมาด้วยอย่างไม่ปิดบังแต่คำพูดนี้ทำให้เรย์ยิ้มขัน

“เปล่าฉันเป็นทหารมนตรา ไวโอลินแค่เล่นเป็นงานอดิเรกเฉยๆ” จะว่าเป็นงานอดิเรกก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นัก เพราะอันที่จริงแล้วเขาก็แทบไม่เคยอยากเล่นเองเลย ที่เขาเล่นนั้นเป็นเพราะว่าพี่ไรอาและเรเดียขอให้เขาเล่นให้ฟังมากกว่า

“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่านายไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพแต่ฝีมือขนาดนี้แต่ ว้า แบบนี้ที่จะได้ฟังดนตรีของนายก็มีแค่พี่สาวกับน้องสาวของนายเท่านั้นสิ ว่าแต่ยังไม่ได้รู้ชื่อของทั้งสามคนเลยนี่นา” ได้แต่บ่นด้วยความเสียดายคนที่จะมีความสามารถในการเล่นดนตรีแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่เขากลับไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพเสียนี่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่รู้ชื่อของทั้งสามคนเลย

“ราคิออส ไรคาลิส ส่วนทางนี้เป็นพี่สาวกับน้องสาวของชั้นไรอา ไรคาลิส กับ เรเดีย ไรคาลิส” แม้จะยังงงๆ แต่เขาก็แนะนำตัวเองกับพี่สาวและน้องสาวของเขาเสร็จสรรพ ส่วนทางด้านของคานาเดะที่ได้ยินดังนั้นก็ค้อมหัวลงทักทายเล็กน้อย

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ อะ แย่ละสิได้เวลาแล้วนี่นา” เธอดูนาฬิกาข้อมือก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรน จากนั้นก็ไม่รอช้าเธอรีบวิ่งฉิวไปในทันทีหากแต่ในตอนนั้นเองเธอก็ชะงักฝีเท้าลงก่อนหันกลับมา

“ เอาไว้เจอกันใหม่นะราคิออส ” เสียงอันไพเราะและหวานชวนฟังของเธอดัง ก่อนจะหันโบกมือให้กับเรย์ทีนึงแล้วจึงวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความงุนงงของสามพี่น้องเท่านั้น

“ผู้หญิงคนนั้นเค้าเพี้ยนหรือเปล่าอ่ะพี่ชาย?” แม่สาวจอมป่วนที่ยืนงงกับการพูดของอีกฝ่ายที่ถามเสียจนตอบไม่ทัน กำลังกระพริบตาปริบๆ กับเด็กสาวที่มาและจากไปอย่างรวดเร็วโดยที่เธอแทบไม่ได้ตั้งตัวเลย

“อืม พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปกติแล้วสำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบความคิดคาดเดาได้ยากยิ่งกว่าตลาดหุ้นหรือการอ่านแผนการรบอยู่แล้ว ดังนั้นแล้วเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่จะนิยามว่าเพี้ยนดีไหม

“แต่พี่คิดว่าเขาก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะ แค่เป็นคนที่ให้ความสนใจกับดนตรีมากจนเกินไปเท่านั้นเอง” ตรงข้ามกับพี่สาวคนโตที่รู้สึกว่าเธอคนนั้นไม่ได้เข้ามาเพราะเจตนาร้ายใดๆ เพียงชื่นชมเสียงดนตรีที่น้องชายเธอเล่นอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

แต่เรื่องนี้ก็เป็นความสนใจไปได้ไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะกลับบ้านกันในเวลาอันรวดเร็ว ทิ้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้หญิงพิลึกคนนั้นไปอย่างไม่ค่อยสนใจนัก หากแต่เรย์ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าในอนาคตข้างหน้า เขาต่างหากที่จะเป็นฝ่ายเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับหญิงสาวที่เมื่อครู่ตนเพิ่งนิยามเธอไปว่าพิลึก

วันรุ่งขึ้นเรย์กลับเข้าสู่หน่วยทหารมนตราอีกครั้ง ตามคำสั่งเรียกตัวของผู้บังคับบัญชาสูงสุดแห่งกองทหารมนตรา ซาเอนอส ไทรด์เอดจ์ ที่ราวกับนกรู้ว่าร่างกายของเขาจะฟื้นสภาพจากอาการบาดเจ็บทั้งหมดที่ได้รับภายในเวลาสองวัน และติดต่อมาพอดิบพอดี

“วันนี้ลุงแกมีธุระอะไรอีกล่ะปกติแล้วไม่เห็นจะเรียกอะไรแบบนี้เลย ภารกิจที่แล้วก็เรียบร้อยดีนี่หว่า” ปกติแล้วภารกิจส่วนใหญ่จะแจกจ่ายผ่านทางอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารเฉพาะหน่วยของทหารมนตรา ซึ่งจะมีรายละเอียดภารกิจแนบมาให้ด้วย ดังนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นใดจะต้องมาถึงสำนักงานใหญ่เลยแม้แต่น้อย(แต่ในคราวที่แล้วเรย์จงใจมาโวยโดยเฉพาะกับภารกิจที่ได้รับต่อเนื่อง)

“เอ ไม่ใช่ว่าเรย์แอบเก็บของกลางเข้ากระเป๋าไปหรอกนะครับ” คนมาด้วยก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะมีไม่กี่ครั้งนักที่พวกเขาจะโดนเรียกตัวเข้ามาเช่นนี้ และโดยส่วนมากแปดในสิบจะเป็นคำด่าจากความเสียหายที่เกิดขึ้น

“อย่าพูดอะไรให้มันเสี่ยงคุกสิฟะอลัน ไอ้อัญมณีดาดๆไม่กี่เม็ดน่ะจะเอาไปทำอะไรล่ะ ของแบบนั้นไม่จำเป็นสำหรับฉันหรอก” สำหรับเขาแล้วอัญมณีพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก เพราะพลังมนตราที่เขามีตอนนี้ก็มีเหลือกินเหลือใช้แล้ว

แม้เขาจะพอรู้ว่าในบรรดาของกลางที่เขาเห็นนั้นมีอัญมณีหายไปเม็ดนึงก็ตาม หากแต่มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาที่จะต้องโพล่งออกไป ยังไงเสียภารกิจของเขาก็แค่จับกุมกลุ่มค้าของเถื่อนเท่านั้น แค่อัญมณีเม็ดสองเม็ดจะหายไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องไปสนใจ

“เอาเถอะคิดมากไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็รู้เองแหละ” ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องตีความให้วุ่นวาย เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาห้องของคนที่เรียกเขามาอย่างรวดเร็ว ก่อนเปิดประตูพรวดเข้าไปโดยไร้ซึ่งคำว่าเกรงใจฃ

“ฮัลโหลลุง ตกลงมีอะไรเนี่ยที่เรียกมานี่มีธุระอะไร?”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกแค่จะเรียกมาทำความรู้จักกับสมาชิกใหม่นิดหน่อย แล้วคราวหน้าไม่ต้องเปิดแรงขนาดนั้น มีเจ้าเด็กบ้าแรงช้าอย่างเจ้าไซคนเดียวก็เสียค่าซ่อมประตูไปโขแล้ว มีอีกคนคงได้เปลี่ยนประตูเป็นโลหะผสมทั้งบานแน่” คนสูงวัยกว่านั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรกับท่าทีไม่ให้ความเคารพของลูกน้องมากนัก แต่เจ้าตัวกลับห่วงประตูที่ปีนี้เขาเปลี่ยนไปร่วมครึ่งโหลแล้วเสียมากกว่า

“ทำความรู้จักเหรอครับ?” ทางด้านของอลันกลับไม่ได้ใส่ใจท่าทีของเพื่อนและหัวหน้าที่ตนเห็นจนชินตา แต่เขากลับให้ความสนใจไปที่ร่างของใครบางคนที่กำลังยืนมองมาทางพวกตน

ร่างนั้นเป็นร่างที่อยู่ในเครื่องแบบทหารมนตราเหมือนกับชุดที่เขาสวมอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ใบหน้าที่ฉายชัดถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัวทั้งที่หน้าตานั้นจัดว่าดีมากเลยทีเดียว ผมสีเขียวอ่อนสั้นระต้นคอ ดวงตาสีเขียวดุจผืนป่า หากแต่มันกลับเฉียบคมดุจดั่งพญาเหยี่ยว ข้างกายมีดาบคาตานะเล่มหนึ่งเหน็บเอาไว้อยู่ด้วย

“ใช่ นับแต่วันนี้ไปเด็กนี่อา ไม่สิ คามิงาริ คาซึกิจะขอเข้าร่วมหน่วยที่สี่” สิ้นเสียงของผู้สูงวัยนั้นเองที่ทำให้เรย์นั้นชะงักค้างไปในทันที ดวงตาสีฟ้าของเขาเปิดกว้างขึ้นมาอย่างฉับพลันก่อนเปลี่ยนเป็นหรี่ลงไม่กี่วินาทีจากนั้น

“หมายความว่าไงฟะลุง บอกแล้วไงว่าสมาชิกที่จะมาเข้าร่วมหน่วยสี่ทั้งหมดชั้นจะเป็นคนตัดสินใจเองน่ะ” แต่เดิมแล้วเขาไม่ชอบที่จะถูกยัดเยียดให้รับผิดชอบชีวิตของใคร ยิ่งเป็นกลุ่มที่ต้องร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว หากจะต้องมีคนที่คอยมาถ่วงมือถ่วงเท้าล่ะก็สู้ทำงานคนเดียวเสียดีกว่า และการที่เขาจะชวนคนเข้าร่วมกลุ่มนั้นเป็นเพราะเขายอมรับแล้วว่า คนผู้นั้นเหมาะสมที่จะทำงานร่วมกับเขาไม่ใช่ถูกยัดเยียดให้มาเข้าหน่วยแบบนี้

“รับไม่ได้เหมือนกัน ทำไมถึงให้ฉันมาทำงานร่วมทีมกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย” ทางด้านของคนชื่อคาซึกิดังขึ้นมาด้วยเช่นกันดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็จะไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าจะต้องถูกบังคับให้เข้ามาร่วมหน่วยที่สี่เช่นนี้และยังไม่พอใจมากด้วย

“ใจเย็นก่อนทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เจ้าหนูคาซึกิเรื่องที่เคยขอมาน่ะการจะทำได้น่ะมันมีข้อจำกัดหลายทาง วิธีการที่เร็วที่สุดก็คือการเข้าร่วมกลุ่มกับคนระดับหัวหน้าหน่วยจะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลลับในระดับสูงได้มากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะ” ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นคนหน้าใหม่ก็ชะงักไปในทันที แม้ดวงตาสีเขียวดุจคู่นั้นจะยังคงมีความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในเรื่องที่หัวหน้าของตนพูด

“ส่วนเจ้าเรย์โทษทีฟะแกไม่มีสิทธิปฏิเสธเพราะ นี่-เป็น-คำ-สั่ง” แม้เหตุผลที่เจ้าตัวบอกเจ้าหนุ่มคาซึกิจะทำให้เจ้าตัวเถียงไม่ออกก็ตาม แต่กับที่ยกมาอ้างกับเรย์นั้นดูเหมือนเป็นการหักดิบกันเสียดื้อๆ จนเรียกว่าไม่มียังดีกว่า

“เฮ้ย ลุงพูดงี้ก็บันเทิงสิฟะ มาเจอกันข้างนอกเลยดีกว่ามา” กับคนที่ปกติไม่ได้มีเส้นความอดทนสูงเท่าไหร่นัก เมื่อเจอความไม่มีเหตุผลเช่นนี้ทำให้เจ้าตัวแทบจะตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเตรียมลากผู้บังคับบัญชาของตัวเองออกมาวิวาทกันในทันที เสียแต่ถูกพ่อหนุ่มหน้าหวานดึงคอเสื้อเอาไว้

“แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ยังไม่ยอมรับการเข้าร่วมกลุ่มซะทีเดียว ขอดูฝีมือของนายหน่อยว่าจะสมกับการเป็นหัวหน้าของฉันจริงหรือเปล่า” แต่ดูเหมือนทางด้านของเจ้าคนที่มีสีหน้าอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลานั้นจะตกลงเข้าร่วมหน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้สนใจอาการของเรย์แม้แต่นิดเดียว

“ทางนี้ขอปฏิเสธฉันไม่คิดจะให้ใครเข้าร่วมหน่วยยิ่งกับคนที่ชั้นไม่ได้เลือกยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าจะให้พูดตามตรงแล้วทีมของฉันก็สมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว มีทั้งการโจมตีในระยะใกล้และไกล ลงเวทหนักกระทั่งสนับสนุนก็มี ไม่มีความจำเป็นจะต้องให้คนอื่นมาเข้าร่วมด้วยซ้ำ” แม้จะเป็นคำพูดที่โอหังแต่ก็เป็นจริงตามที่เจ้าตัวพูด เรย์เป็นตัวสารพัดประโยชน์ที่ทำได้ในแทบทุกหน้าที่ และมีอลันคอยอุดช่องว่างในเรื่องระยะการโจมตีและการลอบเล่นทีเผลอด้วย ทำให้แม้จะมีแค่สองคนแต่หน่วยที่สี่ก็เป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ

“จะบอกว่าฉันฝีมือไม่พอในการเข้าร่วมทีมของนายงั้นเหรอ?” คาซึกิที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง เพราะปกติเจ้าตัวก็ไม่ค่อยชอบที่จะต้องมาอยู่ใต้ใครอยู่แล้ว พออีกฝ่ายเล่นดูถูกกันถึงขนาดนี้ทำให้เขายอมไม่ได้เช่นกัน ทำเอาดวงตาสีเขียวคู่นั้นทอประกายคมกริบ

“เออ ฉันจะเลือกคนเข้าร่วมทีมด้วยตัวเองไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ที่บอกว่าตัวเองอยากเข้าก็จะเข้าหน้าตาเฉย” เช่นเดียวกับเรย์ที่ตอนนี้กำลังหงุดหงิดได้ที่เช่นกัน ยิ่งเขาไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว ทำให้คาซึกิจรดมือไปไว้ที่ดาบข้างเอวในทันที ส่วนเรย์ก็เริ่มมีละอองแสงมาอยู่ที่ฝ่ามือแล้วเช่นกันแต่ในที่สุดก็ต้องมีคนมาห้ามจนได้

“ถ้ายังไงขอเสนอให้ทั้งสองฝ่ายยุติปัญหาด้วยการประลองไปเลยเป็นไง แต่ละฝ่ายตั้งเงื่อนไขที่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับได้ขึ้นมา คาซึกิจะได้พิสูจน์ด้วยว่าเจ้าเรย์มันเหมาะกับเป็นผู้นำไหม ส่วนไอ้เรย์ถ้าอยากปฏิเสธก็ทำตามเงื่อนไขให้ได้” หากยังปล่อยไว้เจ้าบ้าสองตัวนี่ได้ตีกันจนป่วนไปหมดแน่นอน ดังนั้นเพื่อสวัสดิภาพของสำนักงานกองทหารมนตรา ซาเอนอสจึงต้องสอดปากเข้าห้าม

“ต้องงี้ดิลุง ค่อยเข้าใจง่ายหน่อยแทนที่จะเถียงกันไม่จบไม่สิ้นวิธีนี้เร็วกว่าเป็นไหนๆ” ส่วนตัวเรย์ค่อนข้างถูกใจกับความคิดนี้มาก เพราะการต่อสู้เป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเขาก็มั่นใจในฝีมือของตนมากเช่นกัน

“ไม่มีข้อโต้แย้ง” ทางด้านของคาซึกิก็ดูจะพอใจในการตัดสินด้วยวิธีการนี้เช่นกัน ดวงตาสีเขียวคมกริบของเขาจ้องเขม็งไปยังเรย์ที่ไม่ได้รู้สึกรู้สากับมันเลย

พวกเขาพากันมายังสนามประลองแห่งกองทหารมนตรา สถานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการฝึกฝนคนในกอง เพราะในสถานที่แห่งนี้นั้นวัสดุที่ใช้สร้างจะต้านทานการโจมตีด้วยพลังพิเศษประเภทต่างๆ ได้มาก อีกทั้งยังมีความทนทานสูงด้วยดังนั้นทหารมนตราระดับล่างถึงระดับกลาง จึงมักนิยมมาฝึกซ้อมกันที่นี่

“แล้วจะตัดสินกันยังไง?”

“ก็ง่ายๆ เจ้าหนูคาซึกิ ได้ยินว่าวิชาที่ใช้เป็นวิชาดาบเชิงรุกสินะ งั้นภายในห้าดาบก็โค่นเจ้าเรย์มันให้ได้โดยเจ้านั่นจะไม่ตอบโต้กลับมา ถ้าเจ้านั่นทำสำเร็จก็ถือว่าให้ยอมรับให้เจ้าเด็กนั่นเป็นหัวหน้า แต่ให้ใช้ได้แค่ดาบเท่านั้นห้ามใช้พลังพิเศษเสริม คาซึกิพยักหน้ารับกับเงื่อนไขนี้แม้จะฟังดูเหมือนว่าเรย์จะได้เปรียบก็ตาม หากแต่แท้จริงแล้วเสียเปรียบกว่าเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าเรย์นั้นมีชื่อเสียงในด้านมนตรามานานปี จากภารกิจและสงครามที่เคยเข้าร่วมมาหากให้ทั้งสองฝ่ายใช้พลังมนตราได้เต็มสูบ แม้ว่าคาซึกิจะสามารถใช้มนตรามาเสริมวิชาดาบให้มีความร้ายกาจยิ่งขึ้น แต่โล่มนตราของเรย์นั้นมีความแข็งแกร่งถึงขนาดที่เจ้าสามารถยืนหาวรับมนตราขั้นสูงของฝ่ายตรงข้ามยิงเข้ามาได้ด้วยซ้ำ การห้ามใช้มนตราจึงกลบจุดเด่นนี้ของเรย์ไปโดยสิ้นเชิง

อีกทั้งในการประลองดาบกันนั้น แต่ละครั้งก็ใช่ว่าจำเป็นจะต้องสู้กันยืดเยื้อ บางครั้งแค่เพียงดาบเดียวก็ทำให้รู้ผลการต่อสู้ได้อย่างเด็ดขาด การให้เอาชนะอีกฝ่ายในห้าดาบจึงไม่ใช่เรื่องเกินไป และยิ่งในกรณีที่อีกฝ่ายจะไม่ตอบโต้เช่นนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้ง่ายขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวลุงฉันก็มีเงื่อนไขของตัวเองเหมือนกัน หลังจากผ่านห้าดาบนั้นไปแล้วฉันจะจัดการนายภายในสามดาบ ถ้าทำสำเร็จก็ไม่ต้องมาพูดถึงการเข้าร่วมหน่วยที่สี่อีก” เรย์เสนอเงื่อนไขของตัวเองไปด้วยเช่นกัน เพราะหากว่าจะต้องได้มาเข้าร่วมจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่ได้ต้องการสมาชิกที่ไม่มีฝีมือถึงขั้นนั้น

“ในฐานะที่นายเป็นผู้ท้าชิงจะแถมเงื่อนไขพิเศษให้นาย เชิญใช้ดาบคู่มือตามสบาย ฉันจะใช้ดาบโหลๆ นี่เล่มเดียว” ดาบที่เรย์ถืออยู่ในมือนั้นเป็นเพียงดาบเหล็กธรรมดาๆ ไร้ซึ่งลูกเล่นเสริม เป็นดาบที่มีให้ใช้ในสนามฝึกซ้อมของหน่วยทหารมนตราเท่านั้น เป็นเงื่อนไขที่เพิ่มความบ้าให้มากขึ้นไปอีก

“แล้วนายจะเสียใจ” คมดาบคาตานะสีเขียวอ่อนถูกดึงออกมาจากฝัก ก่อนที่ตัวดาบนั้นจะสะท้อนแสงเป็นประกายสีเงิน แค่เพียงดูก็รู้ได้ทันทีว่าดาบเล่มนี้เป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาอย่างประณีต ลวดลายอ่อนจางที่สลักเสลาบนตัวดาบยิ่งเพิ่มความงดงามของมันให้มากยิ่งขึ้น ก่อนที่คาซึกิจะสะบัดดาบเบาๆ ครั้งนึงจนเกิดเสียงแหวกอากาศบ่งบอกถึงความคมกริบของมันได้เป็นอย่างดี

“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” เรย์ขยับยิ้มแค่เขาดูการตั้งท่าก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าคนเบื้องหน้าตนมีฝีมือไม่ธรรมดา ถึงงั้นก็ไม่มีสักส่วนความคิดที่จะนึกกลัว ดาบในมือซ้ายถูกกระชับเอาไว้มั่นเตรียมรับมืออีกฝ่ายอย่างเต็มที่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel