chapter8-7
ส่วนทางด้านของเรย์นั้นในตอนนี้เขาก็กำลังนั่งคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่แต่สีหน้าของเขานั้นยังไม่ได้แสดงถึงความเคร่งเครียดอะไรตรงข้ามกับแม่สาวน้อยที่มาด้วยกันโดยสิ้นเชิงที่ตัวเธอนั้นเครียดเขม็งจนเด่นชัดเลยทีเดียว
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าเนียร์ มีดเราก็มีไม่ใช่เหรอ ต่อให้ใช้มนต์ไม่ได้ก็ยังไม่เห็นต้องกังวลเลย” ถ้าจะให้พูดตามตรงเทียบกันแล้วสไตล์การต่อสู้ที่พึ่งพามนตราล้วนๆของเขานั้นเมื่อโดนผนึกมนตราไปแล้วลำบากกว่าแม่สาวน้อยคนนี้มากเลยทีเดียว
“แต่ฉันไม่ถนัดในการต่อสู้ระยะประชิดนี่คะ” แม้จะเป็นผู้ใช้อาวุธแต่ความสามารถของเธอจะเด่นไปในด้านมนตรามากกว่าเพราะเหตุนี้ทำให้เมื่อเจออุปกรณ์ประเภทกระสุนทลายมนตราหรือกำไลผนึกพลังแล้วจะเป็นคนที่ลำบากที่สุด
“ไม่ถนัดก็ต้องหัด ครอสน่ะแต่เดิมหมอนั่นมันพวกโจมตีจากระยะไกลของแท้เมื่อก่อนเวลาโดนประชิดตัวทีก็แทบจะจบกันแล้วด้วย” เขายังจำในตอนที่ครอสฝึกฝนได้ตอนนั้นหมอนั่นยังเพิ่งใช้พลังจิตได้ไม่นานการควบคุมก็ไม่ดีพอทำให้เวลาโดนศัตรูเข้าประชิดตัวแล้วก็แทบจะรู้ผลกันเลย
“แต่ตอนนี้เป็นไงละ สามารถต่อยกับผู้มีพลังวัตรในระยะประชิดได้ทั้งที่หมอนั่นเคยพ่ายแพ้มาก่อนแท้ๆ คนเราน่ะถ้าไม่มีความพยายามก็ไม่มีทางได้พลังที่ปรารถนามาหรอก” แต่เรื่องบางเรื่องนั้นไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไรมันก็ไม่มีวันจะสามารถสลัดมันทิ้งออกไปได้นั่นเป็นบทเรียนที่เขาเจอมันมากับตัว
“แต่เอาเถอะมันก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ตอนนี้ที่น่าห่วงที่สุดคือสภาพจิตใจของผู้หญิงคนนั้นเนี่ยสิ” เขาปรายตาไปยังร่างที่หลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วแม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากมายแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ดูออกไม่ยากว่ามันไม่ใช่ความสงบนิ่งแต่เป็นความปลงตกที่ยอมรับในทุกสิ่งแล้วต่างหาก
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เล่นโดนจับมาแบบนี้เป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้นกันทั้งนั้น” ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นทหารมนตราแถมที่นี่ยังมีรุ่นพี่เรย์ด้วยแล้วละก็เธอคงเป็นอีกคนที่จะมีสภาพเป็นเช่นนั้นหรืออาจจะหนักกว่านั้นก็เป็นได้
“ว่าแต่จะมาคุยกันหน่อยไหมละ เธอยังไม่ได้หลับสักนิดเลยไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเรย์ยังคงไม่อนาทรร้อนใจเช่นเดิมแต่ทางด้านของเนียร์ที่ได้ยินดังนั้นก็อดที่จะตกใจไม่ได้เช่นเดียวกับคนที่นอนอยู่ที่ค่อยๆยันกายขึ้นมา
“รู้ได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ขยับตัวเลยนะ” เป็นอย่างที่พูดผู้หญิงคนนี้ยังไม่ได้แม้แต่จะเคลื่อนไหวร่างกายแม้แต่ส่วนเดียวดูราวกับคนที่หลับสนิทไปจริงๆกระทั่งเนียร์ยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้หลับไปแล้วเลยแต่เรย์กลับขยับยิ้ม
“อัตราการหายใจของเธอไงละ คนหลับกับคนตื่นน่ะสังเกตง่ายๆด้วยอัตราการหายใจเป็นเทคนิคที่ถูกสอนมาอะนะ แม้จะไม่อยากเป็นเท่าไหร่ก็เถอะ” ประโยคสุดท้ายเป็นคำบ่นงึมงำเหมือนหมีกินผึ้งแต่แค่คำพูดประโยคหน้าก็ทำให้อีกสองคนที่เหลืออดที่จะตกใจไม่ได้เพราะอัตราการหายใจมันเป็นเช่นนั้นก็จริงแต่คนที่สามารถสังเกตได้นี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า
“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงกล้าคุยความลับกันให้ฉันได้ยินละ” แน่นอนนี่เป็นสิ่งที่เธอแปลกใจอย่างมากเพราะถ้าหากว่าเขารู้ตัวในเรื่องที่เธอเพียงแค่แกล้งหลับก็ไม่น่าจะยอมปริปากบอกข้อมูลออกมาเช่นนี้เลยส่วนทางด้านของเรย์กลับยักไหล่
“ถึงรู้ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ฉันไม่คิดว่าเธอจะบอกเรื่องของพวกฉันไปให้ใครรู้ด้วย อีกอย่างต่อให้พวกมันรู้ฉันก็มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้แล้วกัน” เป็นความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าต่อให้ตนอยู่ในสถานการณ์คับขันเพียงไรก็จะฟันฝ่าไปได้ด้วยพลังของตัวเอง
“งั้นจะขอถามเลยแล้วกัน พวกเธอเป็นใครกันแน่?” ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังใดๆอีกเหมือนกันจึงซักถามโดยตรงเพราะอันที่จริงเธอรู้สึกแปลกใจในท่าทีของคนผู้นี้ที่ไม่อนาทรร้อนใจตอนโดนจับตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว
“พวกเราคือทหารมนตราได้รับภารกิจให้มาช่วยเหลือพวกเธอน่ะ และเพื่อป้องกันผู้เสียชีวิตเลยต้องใช้วิธีแฝงตัวเข้ามาแต่ตอนนี้กำลังเจอปัญหานิดหน่อย ฉันนึกว่าพวกมันจะขังรวมกันไว้ซะอีก แบบนี้ก็ทำงานลำบากน่ะสิ” การทำแบบนั้นง่ายต่อการดูแลมากกว่ากวาดต้อนผู้คนไปในที่เดียวแล้วเฝ้าไปทั้งอย่างนั้นอีกทั้งประหยัดคนมากกว่าด้วย
“ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นคิดเผื่อเอาไว้หรือเปล่า และฉันก็ไม่รู้ถึงจำนวนของคนที่คอยเฝ้าและคนที่โดนจับโดยแน่ชัดด้วย” เธอไม่แน่ใจนักว่าพวกมันทำเผื่อเอาไว้ว่าในกรณีที่มีคนหายไปจะสามารถสังเกตได้ง่ายๆและยังได้ข้อมูลของพวกมันไปไม่ทั้งหมดอีกด้วย
“ตอนนี้พวกเราโดนกำไลผนึกพลังเอาไว้อยู่ มั่นใจเหรอว่าในสภาพนี้จะสามารถสู้กับพวกมันได้” ในสายตาของเธอแล้วการใช้พลังพิเศษไม่ได้นั้นแทบจะปิดหนทางในการเอาชนะศัตรูของพวกเธอเลยเสียด้วยซ้ำไป
“อย่าดูถูกทหารมนตรานักเลย พวกเราไม่ได้มีดีแค่พลังพิเศษหรอกนะฉันมั่นใจว่าจะคุ้มกันทุกคนได้ก็แล้วกัน แต่ที่ฉันอยากรู้ก็คือจำนวนของเวรยามที่เดินตรวจตราต่างหาก” เขาไม่กังวลในเรื่องกำไลผนึกพลังนี่สักนิดที่เขาค่อนข้างให้ความสนใจมากกว่าก็คือพวกมันเดินตรวจตราเวรยามยังไงกันบ้าง
“ไม่รู้ ฉันไม่เคยนับรู้แค่ว่าพวกมันจะเดินตรวจตราทุกสามชั่วโมง” เป็นการตรวจตราที่ขยันขันแข็งเอาเรื่องในสภาพเช่นนี้หากประเมินจากสภาพร่างกายของผู้หญิงธรรมดาแล้วไม่มีทางที่จะหนีรอดออกไปได้เลยแม้แต่น้อย
“อืม กระทั่งนั่งตัดลูกกรงที่น่าประตูยังดักทางเอาไว้เลยเหรอเนี่ย?” ตัวประตูห้องที่ขังพวกเขาไว้นั้นเป็นลูกกรงบานเล็กๆซึ่งมากพอจะให้คนลอดผ่านได้แค่คนเดียวอีกทั้งยังทำจากเหล็กที่ค่อนข้างหนาหากคิดจะตัดอาจต้องใช้เวลานานเอาการแน่นอนว่าไม่มีทางทันภายในสามชั่วโมงได้เลย
“เอาเถอะเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ว่าแต่เธอชื่ออะไรละอยู่กันมาจะเป็นวันยังไม่รู้ชื่อเลย” เรื่องที่สมควรจะคำนึงถึงทั้งหมดถูกโยนทิ้งไปในพริบตาก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วแม้ทางด้านเนียร์จะค่อนข้างชินแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนอีกคนจะยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่นัก
“มิเชล นาเรียส”
“ทำไมเธอถึงได้ทำท่าหดหู่ได้ขนาดนั้น พวกเรามาช่วยทั้งทีอย่าทำเหมือนกับว่าชีวิตมันน่าสิ้นหวังขนาดนั้นสิ” มันเป็นการบรรยายที่ตรงตัวเหลือเกินเพราะตัวเธอในตอนนี้นั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยเลยเธอเตรียมใจจะตายเอาไว้แล้วด้วยซ้ำไป
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง!! หัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนที่ตัวเองโดนจับตัวเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า!!” แน่นอนว่าเธอระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรวดเร็วซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะนี่เป็นท่าทางปกติของคนที่ถูกจับมาอยู่แล้ว
ที่เธอสามารถนิ่งเฉยได้เป็นเพราะเธอเลิกหวังไปนานแล้วในตอนแรกที่เธอโดนจับมานั้นเธอคิดจะหาทางหนีออกไปด้วยซ้ำแต่การต้องมาเจอห้องขังแถมยังกำไลผนึกพลังเข้าไปอีกทำให้เธอแทบหมดสิ้นหนทางเท่านั้นไม่พอเคยมีคนที่คิดจะลองหนีออกไปแต่ผลสุดท้ายก็ถูกจับกลับมาแถมยังถูกซ้อมอย่างหนักด้วยทำให้ความคิดจะหนีนั้นมลายหายไปจนหมด
“แล้วเธอจะมาบอกว่าให้ฉันมีความหวังงั้นเหรอ!! ทั้งที่ตัวเธอเองก็ถูกจับเหมือนกันแท้ๆไม่เห็นจะทำอะไรเลยนอกจากพูด ถ้าอยากให้ฉันมีความหวังก็ลองแสดงให้ดูหน่อยสิว่ามีอะไรที่ฉันหวังได้บ้าง!!” หยดน้ำไหลอาบแก้มของแม่สาวคนนี้อย่างรวดเร็วเป็นอารมณ์ที่เธออัดอั้นมาตลอดและถูกเก็บกดเอาไว้พอมาเจอคำพูดที่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนๆนี้เข้าไปทำให้เธอระเบิดอารมณ์ในทันที
เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้เนียร์อดตระหนกไม่ได้ส่วนทางด้านของเรย์นั้นยกมือคล้ายกับจะขอยอมแพ้ดวงตาสีฟ้าครามของเขาก็ยังคงเป็นเช่มเดิมไม่เปลี่ยนแปลงการระเบิดอารมณ์ของเด็กคนนี้นั้นไม่ได้เกินจากความคาดหมายของเขาเสียเท่าไหร่
“ไง ได้ระบายออกมาบ้างแล้วรู้สึกเป็นไง โล่งขึ้นมาบ้างไหม?” ใบหน้าของเจ้าตัวยังคงเปื้อนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองในการระเบิดอารมณ์นั้นออกมาเลยแม่สาวมิเชลที่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป
จะว่าไปก็ถูกหลายวันมานี้เธอทั้งสิ้นหวังและหวาดกลัวจนแทบจะด้านชาไปหมดแล้วการได้ระเบิดอารมณ์ออกมานั้นอย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองเสียบ้างแม้จะยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจมจ่ออยู่กับความทุกข์
“การเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเอง บางครั้งมันก็ทรมานมากกว่าที่คิดไว้นะสาวน้อย หัดระบายมันออกมาซะบ้าง เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” อาการไม่ทุกข์ร้อนจนน่าหมั่นไส้แต่ในเวลานี้นั้นมันกลับสร้างความอุ่นใจให้มากขึ้นไม่น้อยแม้ท่าทางจะกวนประสาทไปนิดแต่ต้องยอมรับว่าเป็นการกระทำที่แฝงความห่วงใยเอาไว้จริงๆ
“ขอบคุณ” ถ้าหากไม่ได้คนตรงหน้าเธอคงต้องทุกข์ใจไปอีกนานแน่นอนถึงเธอจะไม่รู้ว่าคนๆนี้จะสามารถพาเธอออกไปจากที่นี่ได้ตามที่พูดจริงหรือเปล่าก็เถอะแต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้ในระดับนึง
“เอาละทีนี้ก็นอนก่อนดีกว่า เรื่องอื่นไว้ว่ากันพรุ่งนี้เถอะนะ” เจ้าตัวจัดแจงเอนร่างลงนอนบนพื้นต้องนับว่าโชคดีที่อย่างน้อยในห้องนี้ก็มีเสื่อให้แม้จะแข็งไปเสียหน่อยก็ตามแต่ก็ยังดีกว่าการต้องมานอนบนพื้นปูนโดยไม่มีอะไรรองเลยละนะ
“ราตรีสวัดดิ์ค่ะ” ถึงตอนแรกจะงุนงงในการกระทำของรุ่นพี่ไปนิดหน่อยแต่อย่างน้อยผลลัพธ์ก็ออกมาดีดังนั้นเธอจึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจแม้จะมีปัญหามากมายรออยู่แต่ถ้ามีคนๆนี้อยู่ด้วยคงสามารถแก้ไขได้เธอคิดแบบนั้น
ส่วนแม่สาวมิเชลนั้นก็ล้มตัวลงนอนเช่นกันแม้ว่าวันนี้จะแทบไม่มีอะไรต่างจากเดิมเท่าไหร่เพราะเธอก็ยังออกไปไม่ได้แต่ถึงแบบนั้นอย่างน้อยนี่ก็เป็นคืนแรกที่เธอได้หลับอย่างเต็มตาพร้อมกับความฝันที่ว่าจะได้ออกไปอยู่กับพ่อและน้องชายของเธอเริ่มมีหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนทางด้านนอกนั้นพวกเอย์จิก่อกองไฟและกางเต๊นท์นอนกันเป็นที่เรียบร้อยโดยจะหมุนเวียนกันมาเฝ้ายามซึ่งตอนนี้เป็นเวรของเอย์จิซึ่งตัวเขานั้นก็นั่งจ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้ท่อนไม้อย่างเลื่อนลอยและเงียบงัน
เขากำลังทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้และกำลังตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่เขาดันเอาเรื่องราวของตนไปซ้อนทับกับเด็กคนนั้นที่ เขายอมให้เด็กคนนั้นเข้ามาร่วมในเรื่องครั้งนี้ด้วยทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควนั้นไม่ได้เป็นเพราะคุณธรรมเท่าไหร่นัก
ก็แค่อยากจะไถ่บาปในเรื่องที่ตนเองทิ้งพี่ชายเอาไว้เท่านั้นเขาแค่ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมและอาจจะไม่อยากให้เด็กคนนั้นไม่อยากให้เด็กคนนั้นต้องเผชิญชะตาชีวิตแบบเดียวกับเขาก็ได้แต่เขารู้ว่าน้ำหนักเอนไปทางเหตุผลแรกซะเป็นส่วนมาก
‘เอย์จินายน่ะถึงจะเยือกเย็นแต่บางครั้งเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งเกินไป ส่วนเจ้าเรย์น่ะตรงข้ามปกติเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งแต่พอเหตุการณ์สำคัญดันเยือกเย็นซะงั้น’ เป็นคำวิจารณ์ของพี่ชายเขาที่ตรงเผงเลยทีเดียวเพราะให้เทียบแล้วไม่ว่าจะในด้านของความคิดหรือฝีมือดาบนั้นเขาก็แพ้เรย์หมดทุกด้าน
จนเขาคิดด้วยซ้ำว่าตนไม่ควรจะได้รับสมญานามเจ้าแห่งดาบต่อจากพี่ชายเลย ความจริงแล้วสมญานามนี้มันควรจะเป็นของเรย์มากกว่าแต่เจ้าตัวกลับบอกปฏิเสธและยกฉายานี้ให้เขาแทนซึ่งเป็นอีกสิ่งที่เขาตั้งใจจะเก็บไว้ให้พี่ชายนอกจากตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสอง
ให้พูดตามตรงเขาไม่เคยคิดจะก้าวเข้ามาเป็นระดับหัวหน้าหน่วยสักนิดเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองไม่เหมาะสม ไม่เหมือนเพื่อนและพี่ชายของตัวเองแต่เขาก็ยังดันทุรังเป็นจนได้ถึงจะอ้างว่าเพื่อเก็บเอาไว้ให้กับพี่ชายแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่มั่นใจนักว่าลึกๆในใจของเขาส่วนนึงอยากรับตำแหน่งนี้ด้วยหรือเปล่า
“อะ พี่ชายเอย์จิไม่นอนหรือครับ” เด็กชายตัวปัญหาที่คิดถึงเมื่อสักครู่ลอดตัวออกมาจากเต๊นท์ของเขา ด้วยความที่ทุกคนนั้นพกเต๊นท์ของตัวเองมาหมดอีกทั้งยังเป็นเต๊นท์ที่ได้รับมายังค่อนข้างกว้างการให้เด็กสิบขวบคนนึงเข้าไปนอนกับเขาด้วยจึงไม่ใช่ปัญหา
“พี่เฝ้ายามแต่เราเถอะไม่นอนหรือไง?” เวลาดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ใช่เวลาที่เด็กตามปกติจะออกมาเดินเล่นสักเท่าไหร่ยิ่งเป็นเด็กที่เพิ่งเดินขึ้นเขามาด้วยตัวคนเดียวแล้วอาจมีกรณียกเว้นเป็นบางคนแต่กับเด็กคนนี้เขาไม่คิดว่าจะมีความบ้าแบบใครบางคนที่เขารู้จัก
“ผมนอนไม่หลับน่ะ เป็นห่วงพี่สาวว่าจะเป็นยังไงบ้างจนพักนี้ได้นอนน้อยทุกคืนเลย” แต่ก็ห้ามไม่ได้เพราะเขารู้สึกเป็นห่วงพี่สาวจริงๆ ถึงพี่จะเข้มแข็งแต่ในตอนแรกที่เขาได้ยินว่าพี่สาวโดนจับตัวไปยังทำให้เขาแทบสติแตกแอบตามหาสถานที่ๆพี่สาวโดนจับตัวไปแทบตาย
“รักพี่สาวมากสินะ?” เป็นความห่วงใยที่บริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรอื่นนอกจากคำว่าพี่น้องตรงจุดนี้ทำให้เขารู้สึกเห็นใจเด็กคนนี้ขึ้นมาจนยอมรับปากทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นตัวเขาแบบนี้ก็เป็นได้
“สำหรับผมพี่สาวน่ะเป็นพี่ที่ดีมากเลยคอยดูแลผมตลอด ถึงจะมือหนักไปนิดตอนเล่นกับผมแต่สำหรับผมเธอเหมือนคุณแม่อีกคนเลยละ จนผมไม่รู้สึกเหงาสักนิดถึงจะไม่เคยได้เจอคุณแม่จริงๆ ก็เถอะ” แม่ของเขาเสียไปตอนที่เขาอายุได้ขวบกว่าดังนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าเขาจะสามารถจำคุณแม่ได้ไหมแค่เคยเห็นจากรูปถ่ายเท่านั้นแหละ
“แต่ที่ผมอยากช่วยพี่สาวน่ะส่วนนึงก็เป็นเพราะความเจ็บใจด้วย ตอนที่พี่สาวโดนจับมาผมก็อยู่ด้วยแต่ถึงแบบนั้นผมก็ช่วยพี่สาวไม่ได้เลย ผมพยายามจะสู้แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตอนนั้นผมเจ็บใจเป็นบ้าเลย” เขาไม่เคยรู้สึกเลยสักนิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ทั้งที่เขาพยายามปกป้องพี่สาวแต่กลับโดนพวกมันรุมซ้อมจนลุกไม่ขึ้นและปล่อยให้พวกนั้นเอาตัวพี่เขาไปต่อหน้าต่อตา
“ตำรวจก็หวังพึ่งอะไรไม่ได้ผมเลยตัดสินใจออกมาช่วยพี่สาวเอง ตอนแรกไม่พบเบาะแสอะไรเลยแต่ในตอนนั้นผมเห็นเจ้าพวกที่จับผมมาซื้อของอะไรบางอย่างตั้งเยอะเลยแอบตามรอยมา” นับว่าโชคดีสุดๆ ที่เขาบังเอิญเจอพวกมันเข้าพอดีแต่ก็รู้ว่าพี่สาวคงไม่อยู่ที่นี่เลยลอบตามพวกมันจนมาถึงที่นี่ในที่สุด
“วิ่งตามรถน่ะเหรอ?” เขาอดแปลกใจนิดหน่อยไม่ได้ไอ้การที่ทหารมนตราอย่างพวกเขาวิ่งตามรถมาได้น่ะเป็นเรื่องปกติเพราะพวกเขาสามารถใช้พลังพิเศษเสริมความเร็วได้อยู่แล้วแม้บางคนจะไม่ถนัดมากนักแต่ก็ต้องเป็นแต่เด็กคนนี้เขาไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนั้น
“ แฮะๆ เห็นแบบนี้ผมมั่นใจในเรื่องการใช้พลังวัตรพอตัวนะ ถ้าเรื่องวิ่งแข่งละก็ผมถนัดมากเลย ถึงจะคลาดสายตาไปรอบนึงแต่ก็พอจะใช้รอยล้อรถตามมาถึงที่นี่ได้ ” เขาเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็พยายามกัดฟันวิ่งต่อไปจนในที่สุดเขาก็ตามมาถึงที่นี่นจนได้แต่ก็สำนึกดีว่าตนในสภาพเหนื่อยหอบคงทำอะไรไม่ได้จึงนั่งพักอยู่หลายชั่วโมงแล้วจึงเตรียมจะเข้าไปในรังของพวกมันก่อนโดนหิ้วออกมา
“นี่พี่เอย์จิ ที่บอกว่ามีคนที่ลอบเข้าไปในฐานของพวกมันแล้วน่ะ คนๆนั้นคงปกป้องพี่ผมได้สินะ” ใช่ว่าเขาไม่รู้กิตติศัพท์ของหน่วยทหารมนตราของแบบนั้นเด็กสี่ขวบก็ต้องรู้แถมตอนที่ได้รู้ว่าพี่เอย์จิเป็นถึงหัวหน้าหน่วยยิ่งทำให้เขาอ้าปากค้าง แต่เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดีในความปลอดภัยของพี่สาวเขานั้นจะเป็นเช่นไร
“ไม่ต้องห่วงเรย์เอ่อ คนที่เข้าไปด้านในน่ะเป็นหนึ่งในทหารมนตราที่พี่ยอมรับในฝีมือถึงขนาดที่ต่อให้เป็นพี่ก็บอกไม่ได้ว่าจะชนะถ้าต้องสู้ด้วย เขาปกป้องพี่สาวของเราได้แน่นอน” ในเรื่องนี้เขากล้ายืนยันเลยทีเดียวเพราะเรื่องที่เรย์ให้สัญญาไว้แล้วเรย์จะทำเต็มความสามารถยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนด้วยแล้วเรย์ยิ่งทุ่มสุดตัว
“ถ้าพี่เอย์จิบอกแบบนั้นผมก็จะเชื่อ ฮ้าว” พอโล่งใจความง่วงก็เข้าเกาะกุมสติของร่างน้อๆเอาไว้ในทันทีเพราะหลายวันมานี้เด็กชายได้นอนน้อยมากอีกทั้งยังออกแรงไปมากขนาดนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะเกิดอาการเช่นนี้ก่อนจะหลับไปในทันที
“เข้าไปนอนในเต้นท์...ช่างเถอะ” เมื่อเห็นว่าเด็กชายหลับไปแล้วเขาก็คร้านจะปลุกขึ้นมาอีกทั้งเขาก็รู้ว่าเด็กชายคงเหนื่อยมากเลยทีเดียวกับการที่ต้องวิ่งตามรถในระยะทางเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตรต่อให้เป็นผู้มีพลังวัตรก็ยังเกินกำลังเด็กธรรมดาไปอยู่ดี
‘เด็กก็ยังเป็นเด็กล่ะนะ’ จิตใจเข้มแข็งเกินเด็กทั่วไปก็จริงแต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีเมื่อเห็นดังนั้นเขาก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ก่อนตั้งใจว่าหลังจากหมดเวรของเขาแล้วเขาจะอุ้มร่างของเด็กคนนี้เข้าไปนอนในเต๊นท์ให้ก็แล้วกัน
