chapter8-5
“เอ่อ รุ่นพี่เรย์คะ จำเป็นต้องจองห้องที่แพงที่สุดในโรงแรมด้วยเหรอ?” หลังจากที่มาถึงเมืองโดยสวัดดิภาพแล้วทั้งสองก็ออกปากขอบคุณชายวัยกลางคนที่มาส่งที่เมืองหลังจากนั้นจึงมาหาที่พักเสียก่อนแต่เธออดแปลกใจไม่ได้ที่ต้องจองห้องพักที่หรูขนาดนี้
“เอาน่ายังไงซะเราก็เบิกค่าโรงแรมนี้ได้อยู่แล้ว จะถูกจะแพงไปสนมันทำไม ดีซะอีกโอกาสได้พักห้องแบบนี้มันไม่บ่อยนักหรอกนะ” เงินของเขาก็ไม่ใช่ดังนั้นแล้วเขาจึงกล้าใช้อย่างเต็มที่และก็ไม่มีสิทธิบ่นอะไรด้วยเนื่องจากเป็นเงินที่ต้องใช้ในยามภารกิจจริงๆ
“หรือเราอยากได้อีกห้องละ เดี๋ยวไปจองเพิ่มให้ก็ได้” แน่นอนว่าเขายินดีผลาญเงินของกองทหารมนตราอย่างเต็มใจดังนั้นหากว่าเนียร์ต้องการอีกห้องพักนึงแล้วละก็เขาก็จะไปจัดการให้ในทันทีแต่ทางด้านของสาวน้อยผู้นี้กลับส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ อยู่ห้องเดียวกันจะวางแผนรับมือได้ง่ายกว่าด้วย” แค่นี้เธอก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วแถมเขายังบอกเองว่าเวลานอนเดี๋ยวจะไปนอนตรงโซฟาดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปจองห้องเพิ่มและอีกอย่างเธอไม่อยากอยู่ห้องที่กว้างขนาดนี้คนเดียวด้วย
“เดี๋ยวก็ต้องออกไปล่อเป้ามากๆ หน่อย แต่บอกตามตรงไม่ถนัดเลยจริงๆ” ไอ้ที่ไม่ถนัดน่ะมันเป็นการที่ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงต่างหากเรื่องการล่อเป้านั้นเขาไม่ได้คิดมาหรอกเพราะเขาก็ค่อนข้างเคยชินกับหน้าที่นี้แต่ไม่ใช่ในสภาพแบบนี้เนี่ยสิ
“รุ่นพี่เรย์คะคือฉันมีเรื่องจะขอร้องน่ะค่ะ” แม่สาวน้อยที่ออกปากขอร้องเป็นพิธีการนั้นทำเอาเรย์แปลกใจขึ้นมานิดหน่อยแต่ยังไงเสียเด็กคนนี้แต่เดิมก็เป็นคนขี้เกรงใจ(กับทุกคนยกเว้นพี่ชาย)อยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรมากนัก
“ช่วยสอนเรื่องการใช้มนตราให้กับฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากจะเก่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงดี” เป็นปัญหากับเธอมาตลอดเนื่องจากว่าช่วงนี้เธอรู้ตัวเองดีว่าฝีมือของเธอนั้นแทบไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยสักนิดเดียว
“จริงๆ แล้วตระกูลคานิวาน่าจะมีเรื่องพวกนี้อยู่นี่นา ถ้าเป็นเรื่องของมนตราละก็ตระกูลคานิวาลน่าจะเชี่ยวชาญที่สุดด้วยซ้ำไป กระทั่งบทร่ายส่วนนึงของพี่ยังศึกษามาจากหนังสือของตระกูลนี้เลย” อันที่จริงแล้วเรื่องพวกนี้นั้นเธอไม่จำเป็นต้องมาถามเขาเลยด้วยซ้ำเพราะแต่เดิมแล้วตระกูลคานิวาลเป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญด้านพลังมนตราอยู่แล้ว
ดังนั้นอันที่จริงแล้วเรื่องนี้เธอไม่จำเป็นต้องมาถามเขาเลยสักนิดเพราะเธอสามารถศึกษาจากหนังสือของตระกูลก็ได้หนังสือเกี่ยวกับพลังมนตราที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั้นโดยมากแล้วก็มาจากผลงานการเขียนของคนในตระกูลนี้ทั้งสิ้น
“คือแนวทางการฝึกของฉันไม่ค่อยเหมือนคุณพ่อน่ะค่ะ แถมธาตุของมนตรายังไม่เหมือนกันวิธีการสอนของท่านเลยค่อนข้างจำกัดด้วย” คุณพ่อของเธอนั้นเป็นสไตล์ใช้มนต์อัดใส่ในระยะประชิดขณะที่กำลังร่ายมนต์ใหญ่ๆไปด้วยซึ่งเธอยังไม่สามารถสู้ไปร่ายมนต์ไปได้อีกทั้งการโจมตีของเธอส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ในระยะประชิดเสียด้วย
“จะให้สอนก็ได้หรอก แต่วิธีที่พี่ฝึกออกจะผิดหลักการแถมไม่เหมือนมนุษย์มนาเขาด้วยนา ที่สำคัญเลยพี่แทบไม่มีความรู้กับการฝึกมนตราตามมาตราฐานสักนิดคงแนะให้มากไม่ได้” ด้วยวิธีการฝึกและใช้งานที่พิสดารและแปลกแยกกว่าชาวบ้านแม้วาจะทำให้เขาแข็งแกร่งก็ตามแต่มันก็ไปสอนกับคนอื่นลำบากยิ่งไปประยุกต์กับพวกที่ฝึกในระบบมาตราฐานมาตลอดยิ่งลำบากใหญ่
“ขอความกรุณาด้วยเถอะค่ะ ไม่งั้นฉันไม่มีวันชนะอีตาพี่บ้านั่นแน่” ไม่ว่ายังไงเธอก็อยากจะเก่งขึ้นเพราะเธอรู้ดีว่าในบรรดาคนที่มาด้วยกันทั้งหมดนั้นเธอมีฝีมือด้อยที่สุดไม่เพียงเท่านั้นที่เธอเข้าหน่วยที่สองมาได้เป็นเพราะว่าส่วนนึงเธอเป็นน้องสาวของครอส คานิวาล
แต่เดิมแล้วหากนับตามฝีมือเธอไม่น่าจะได้มาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำแต่เธอก็เข้ามาอยู่หน่วยที่สองได้ตอนนั้นเธอดีใจมากหากแต่พอรู้ว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะพี่ชายของเธอไปขอไว้ทำให้เธอนั้นโกรธพี่ชายของตัวเองมากแม้ว่าความโกรธจะจางหายไปแล้วแต่เธอก็ต้องการพัฒนาฝีมือให้สมกับตำแหน่งที่ได้รับไม่ให้คนครหาว่าเธอได้มันมาเพราะเส้นสายแต่ได้มันมาด้วยฝีมือของตัวเอง
“งั้นเริ่มเลยนะก่อนอื่น เราเข้าใจสายลมมากแค่ไหน?” แค่คำถามแรกก็ทำให้แม่สาวน้อยเบื้องหน้างุนงงขึ้นมาแล้วเพราะไม่คิดว่าจะถูกถามคำถามเช่นนี้ดวงตาสีแดงทับทิมของเธอฉายชัดถึงความไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับการใช้มนตรา
“มนตราน่ะคือธรรมชาติหรือก็คือพลังที่ไม่ได้มาจากตัวเราเองแต่มาจากโลก สิ่งแรกที่เราควรจะทำให้ได้คือต้องเข้าใจมันว่ามันคืออะไร ต้องการอะไร หลักเกณฑ์เป็นแบบใด ถ้าเราไม่เข้าใจมันแล้วเราจะดึงมันออกมาใช้งานได้ยังไง” เป็นบทเรียนแรกที่ทำเอาเธอเบิกตาวกว้างเนื่องจากมันเป็นคติประจำใจของตระกูลเธอเลยแต่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยสนใจมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เราน่ะไม่ใช่เจ้าครอส รายนั้นไม่ต้องเข้าใจก็ได้ขอแค่หัวศิลป์พอจะประยุกต์ได้ก็แค่นั้นแหละ แต่มนตราน่ะไม่ใช่แบบนั้นมันอาศัยความเข้าใจในตัวตนของธาตุนั้นๆและการเข้าถึงธรรมชาติ ยิ่งเราเข้าใจในตัวตนของมันมากเท่าไหร่เราจะยิ่งดึงพลังของมันออกมาได้มากเท่านั้น เหมือนแบบนี้” ประกายแสงไปรวมกันอยู่ที่มือข้างซ้ายของเรย์อย่างรวดเร็วหากแต่ในยามนี้มันไม่ใช่แสงสีฟ้าเหมือนที่ควรจะเป็นแต่เป็นแสงสีขาวก่อนที่มันจะกลับมาเป็นแสงสีฟ้าตามปกติ
“แต่เดิมแล้วมาตราฐานของผู้ใช้มนตราธาตุแสงจะเป็นแสงสีขาว แต่ของพี่น่ะหลังจากเข้าถึงแก่นของมนตราธาตุแสงแล้วเวลาใช้มนต์แสงจะเปลี่ยนสีไปทำให้ได้พลังทำลายมากกว่าเดิม ที่เป็นแบบนี้เพราะเราเข้าใจในตัวมัน มันจึงเข้าใจในตัวตนของเรายังไงละ” ที่จริงจะว่าเป็นตัวเขาที่เข้าถึงแก่นแท้ของมันก็ไม่ถูกซะทีเดียวแต่ก็ไม่ถือว่าผิดดังนั้นจึงพอจะสามารถอธิบายได้
“ดังนั้นสำหรับผู้ใช้มนตราสิ่งแรกที่เราต้องเรียนรู้ไม่ใช่บทร่ายแต่จงเข้าใจในตัวมนตรา นี่เป็นคำสอนจากอาจารย์ของพี่อีกทีน่ะนะ” อันที่จริงตอนนั้นเขาก็แค่ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปงั้นเนื่องจากตัวเขาไม่จำเป็นต้องใช้ใครจะไปคิดว่ามาวันนี้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ทั้งหมดจะสำคัญถึงเพียงนี้
“เข้าใจถึงสายลมเหรอ?” ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดถึงแนวคิดนี้เลยกระทั่งพ่อของเธอก็ยังไม่ได้สอนโดยไม่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอนั้นต้องการให้เธอค้นพบด้วยตัวเองต่างหากส่วนครอสนั้นแม้จะเข้าใจตั้งแต่ฟังรอบแรกแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เนื่องจากไม่ได้มีพลังมนตราสายธาตุใดๆสักธาตุ(และเนียร์ก็ไม่เคยไปถามด้วย)
“จริงๆ สำหรับธาตุพื้นฐานทั้งสี่มันเป็นขั้นสูงไปแล้วจึงจะเริ่มเอะใจในเรื่องนี้ แต่ถ้าเป็นพวกธาตุพิเศษจริงๆละก็นี่คือสิ่งที่ต้องฝึกให้ได้หากอยากจะเก่ง นี่พี่ให้เราเรียนลัดขั้นตอนนะเนี่ย” ถ้าเป็นเจ้าพวกธาตุพิเศษอย่างสายฟ้าของเจ้าหัวหน้าหน่วยที่หกละก็รายนั้นเข้าใจมาตั้งสองชาติได้แล้วเพราะนี่คือสิ่งแรกๆที่ต้องหัดให้ได้เลยทีเดียว
“แต่เอาเถอะลองเก็บไปคิดดูไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรเพราะมันไม่ใช่ของง่าย อันดับต่อมาที่สำคัญคือการควบคุมพลัง” หลักสูตรการสอนมนตราฉบับเฉพาะตัวยังคงดำเนินต่อไปเขาไม่คิดจะกล่าวถึงบทร่ายมากนักเนื่องจากตัวเขาเองก็ใช้บทร่ายมนต์ในสถานการณ์จริงไม่ถึงสิบห้าบท
“ก่อนอื่นเลยเราลองเรียกพลังธาตุของตัวเองให้มาอยู่ที่มือดูสิ” สายลมหอบเล็กๆมาอยู่ที่มือของเธออย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของเรย์นั้นประกายแสงยังคงอยู่ในมือซ้ายของเขามาตั้งแต่ตอนนั้นไม่ได้หายไปไหนมาตั้งแต่ต้นแล้ว
“แล้วก็ลองคงสภาพให้มันเป็นอย่างนั้นสักสองชั่วโมงห้ามเพิ่มหรือลดกระแสลมในมือเด็ดขาด ถ้าทำได้เราก็จะผ่านตรงนี้เลย” มันเหมือนจะง่ายแต่หากได้มาลองทำจริงๆแล้วละก็มันเป็นอะไรที่หินเอาการเหมือนกับการตั้งสมาธิกับอะไรสักอย่างที่กินพลังสมาธิมากๆซึ่งในกรณีนี้แต่ละคนจะมีขีดจำกัดต่างกัน
เนียร์พยายามคงสภาพมันเอาไว้ให้นานที่สุดแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังยากอยู่ดีการคงสภาพพลังมนตราในมือให้คงที่ตลอดเวลานั้นไม่ได้เหนื่อยอะไรแต่ด้วยความที่มันใช้สมาธิสูงมากเม็ดเหงื่อจึงเริ่มผุดออกมาจากใบหน้าของเด็กสาวก่อนที่ในที่สุดมันก็สลายไป
“ใจเย็นๆ การควบคุมพลังน่ะสิ่งสำคัญที่สุดต้องเยือกเย็น ถ้าเราประคองเอาไว้แบบนี้ได้ละก็เราจะสามารถควบคุมมนตราได้ไม่ต่างจากแขนขาของตัวเองเหมือนกับพลังจิตนั่นแหละ การฝึกนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพื้นฐานและพื้นเพนิสัยของแต่ละคน” นี่คือหนึ่งในการฝึกที่เขาได้เจอแถมนี่เป็นแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นแต่สำหรับสาวน้อยคนนี้แค่เพียงขั้นนี้ก็ต้องใช้เวลาสักพักแล้วกว่าจะฝึกฝนมันได้
“อย่างสุดท้ายก็คือการใช้มนตราร่วมกับสไตล์ต่อสู้ของตนเองซึ่งมันแล้วแต่คน เหมือนอย่างของพี่ที่เลือกสร้างดาบแสงแล้วฟาดฟันศัตรูในระยะประชิดและอุดช่องโหว่ที่เหลือด้วยมนต์ใหญ่ๆและมนต์ป้องกัน” อันที่จริงสไตล์ของเขาจะบอกว่าเป็นผู้ใช้มนตราก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะผู้ใช้มนตราจริงๆมันต้องอย่างแม่สาวนักเวทที่อยู่หน่วยที่สามมากว่า
“จุดเด่นของเราคือมีดที่ขว้างจากระยะไกล ตามปกติแล้วถ้าเป็นสไตล์อาวุธขว้างจะต้องใช้ในระยะประชิดเน้นความไร้ร่องรอยเหมือนอย่างเซจิโร่แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้นแต่เน้นความเร็วและความรุนแรงของมีดแทน” เป็นแนวทางการใช้พลังที่จัดว่าแหวกแนวเลยทีเดียวเพราะจริงอยู่ที่มนตราธาตุลมบางบทนั้นมีระยะโจมตีที่ไกลมากแต่พลังทำลายจะค่อนข้างด้อยไม่รุนแรงพอจะจัดการศัตรูได้อย่างเด็ดขาด
ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะทำแบบคาซึกิเน้นใช้มนตราธาตุลมเสริมความเร็วและพลังทำลายของอาวุธทำให้โดยมากผู้ที่มีมนตราธาตุลมจะใช้อาวุธยิงที่จำเป็นต้องทิ้งระยะอย่างธนูหรือหน้าไม้ไม่ก็เป็นสายร่ายมนต์เต็มตัวไม่ค่อยมีแบบคาซึกิมากนักที่จะบุกไปฟันในระยะประชิด
แต่อาวุธของเนียร์นั้นเป็นกึ่งประชิดกึ่งระยะห่างเพราะจะบอกว่าเป็นอาวุธระยะประชิดมีดขว้างก็ไม่ค่อยเหมาะจะเอาไปปะทะโดยตรงแต่ระยะของมันก็ไม่ไกลมากเท่าอาวุธพวกธนูทำให้มันไม่ได้โดดเด่นไปในด้านใดจนถึงขีดสุด
“มนต์ที่เหมาะกับเรา ก็น่าจะเป็นบทพวกนี้ละมั้ง” ในรายชื่อมนตราธาตุลมทั้งหมดนั้นมีไม่ถึงหนึ่งในสิบที่อยู่ในหัวของเขาแต่มนต์ธาตุลมบทนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่บทที่หากให้เลือกได้แล้วละก็เขาไม่ขอสู้ด้วยโดยเด็ดขาดยิ่งถ้าใช้อย่างเชี่ยวชาญละก็เขาขอผ่านที่จะสู้ด้วยอย่างเดียว
“เอ๋ แต่นี่มันมนต์ระดับสูงทั้งนั้นเลยนะคะ กว่าจะร่ายเสร็จแถมพลังมนตราของฉันยังไม่แน่ด้วยว่าจะใช้มนต์พวกนี้ได้หรือเปล่า” รายชื่อมนต์เหล่านี้นั้นมีแต่มนต์ที่มีความรุนแรงสูงทั้งนั้นอาจมีมนต์ระดับกลางบ้างบางบทแต่ก็ยังถือว่าเป็นมนต์ที่ฝึกฝนได้ยากทั้งนั้นอย่าว่าแต่พลังมนตราของเธอจะเพียงพอในการใช้มนต์พวกนี้หรือเปล่าเลย
“ถ้ามันมากเกินไปก็ลองตัดออกดูก็ได้หรืออยากลองเพิ่มมนต์ที่คิดว่าจำเป็นก็ตามสบาย มันเป็นแค่แนวทางคร่าวๆที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอเพราะนี่เป็นการมองจากมุมมองของพี่คนเดียวเราอาจไม่ได้ต้องการแบบนั้นก็ได้ แต่มนต์ลำดับที่สี่ในกระดาษพี่ขอแนะนำว่ายังไงก็ต้องฝึกเพราะมันจะช่วยพัฒนาความสามารถของเราแบบก้าวกระโดด” เขาไม่ได้คิดมากอยู่แล้วในเรื่องที่เธอจะทำตามหรือไม่ยังไงเสียก็เป็นแค่การแนะแนวทางเท่านั้นเองไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้
“ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ช่วยถึงขนาดนี้” แค่แนะแนวทางก็นับว่ามีค่ามากโขแล้วเพราะคุณพ่อของเธอนั้นค่อนข้างเน้นการสอนตามตำราที่ไม่ใช่ว่าไม่ดีเพราะมันช่วยทำให้เธอมีพื้นฐานในด้านมนตราที่มั่นคงแต่เธออยากจะแข็งแกร่งเร็วๆเลยอยากลองรู้วิธีฝึกแบบทางลัดดูบ้าง
ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องก่อนที่เรย์จะเดินไปเปิดประตูด้วยความแปลกใจก่อนเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นเป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดของพนักงานโรงแรมที่มีรถเข็นซึ่งใส่ถาดอาหารซึ่งถูกปิดฝาเอาไว้อยู่ด้วย
“รูมเซอร์วิสสินะคะ ขอบคุณมากค่ะ” แน่นอนว่าเป็นอาหารที่เรย์สั่งไปได้สักพักแล้วอันที่จริงเขาก็แปลกใจนิดหน่อยเหมือนกันว่าทำไมอาหารถึงได้ถูกยกมาเสริฟช้านักก่อนที่อาหารจะถูกตั้งไว้บนโต๊ะในห้องพักอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ มันจะดีเหรอคะ อาหารพวกนี้แพงมากเลย” ราคาอาหารพวกนี้นั้นไม่จัดว่าถูกปกติเธอจะได้กินในงานเลี้ยงเท่านั้นแต่การที่เธอสั่งมากินโดยอาศัยงบประมาณของกองทหารมนตราทำให้เธออดรู้สึกผิดไม่ได้ต่างกับเรย์ที่เปรมปรีเต็มที่
“กินเถอะน่า ไม่เป็นไรหรอก” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวเอาอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเริ่มเคี้ยวหากแต่ในตอนนั้นเองที่เจ้าตัวจะต้องชะงักไปดวงตาสีฟ้าครามของเขาหรี่ลงเล็กน้อยทำเอาเนียร์ที่กำลังจะกินเหมือนกันนั้นหยุดมือไป
“มีอะไรเหรอคะ รุ่นพี่เรย์”
“อ๋อ เปล่าหรอก แค่คิดว่าอาหารพวกนี้ทำไมมันอร่อยน้อยกว่าที่คิดเท่านั้นเอง ทั้งที่เป็นอาหารจากโรงแรมแท้ๆ” เนียร์ไม่ได้แปลกใจในคำพูดนี้เท่าไหร่เพราะแต่เดิมแล้วเรย์ก็เป็นคนทำอาหารมือหนึ่งอยู่แล้วจึงอาจมีท่าทางเช่นนี้บ้างก่อนที่เธอจะเริ่มกินบ้าง
‘โหเฮะ ถึงขั้นลงทุนแฝงตัวเข้ามาในโรงแรมเพื่อวางยานอนหลับเอาไว้ในนี้เลยงั้นเหรอเนี่ย’ ไอ้รสชาติก็เรื่องนึงแต่ไอ้ที่ทำให้เขาหยุดมือจริงๆเพราะอาหารที่อยู่เบื้องหน้าของเขาทั้งหมดนี้นั้นมันมีวางนอนหลับแฝงเอาไว้อยู่ต่างหาก
‘ประหยัดแรงไปได้โขเลย ไม่ต้องออกไปล่อเป้าเองแต่ดันมาหาเหยื่อถึงที่’ คุ้มค่ากับที่เขาอุตส่าห์ไปเสียเวลาตระเวณหาโรงแรมจริงๆเพราะเขาออกเดินไปทั่วเมืองโดยทำทีว่าจะหาโรงแรมพักโดยจุดประสงค์แท้จริงคือเพื่อหว่านเหยื่อเอาไว้ต่างหาก
‘เอาเถอะ จะยอมกินเข้าไปดีๆ ก็แล้วกัน’ ทางด้านของเนียร์นั้นเขาปล่อยให้โดนยานอนหลับไปเลยดีกว่าจะได้สมจริงหน่อยก่อนที่เขาจะเริ่มกินอาหารตรงหน้าไปอย่างเงียบงันแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าในอาหารที่กินนั้นมียานอนหลับใส่ไว้อยู่พร้อมส่งสัญญาณให้กับคนที่เหลือ
ทางด้านของพวกเอย์จินั้นพวกเขาไม่ได้เข้ามาในเมืองเนื่องจากติดเหตุผลตามที่ว่ากันไว้ก่อนแล้วทำให้ในตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะก่อกองไฟกันนอกเมืองเสียด้วยซ้ำเนื่องจากไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันพวกนั้นถึงจะงับเหยื่อล่อทั้งสองคน
“ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะส่งสัญญาณติดต่อกันมาแล้ว” สัญญาณที่ร้องเตือนจากอุปกรณ์ภายในรถทำให้คาซึกิรู้ได้ในทันทีว่าสองคนนั้นดำเนินตามแผนการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเลยเปิดเครื่องส่งสัญญาณแม้จะแปลกใจนิดๆว่าทำไมถึงเร็วนักก็เถอะ
“ไม่รู้ว่าสองคนนั้นถูกจับไปจะเป็นอะไรหรือเปล่า?” แม้เขาจะมั่นใจในฝีมือของเพื่อนตนแต่ก็เป็นห่วงเหมือนกันเนื่องจากเรย์เป็นพวกที่ชอบประมาทกับศัตรูพอตัวแถมในคราวนี้ยังโดนจับตัวไปด้วยไม่รู้จะโดนทำอะไรหรือเปล่า
“อย่าห่วงลูกพี่เลยเอย์จิ เนียร์ยังน่าห่วงกว่าเยอะตัวลูกพี่ต่อให้กระดกยาเบื่อหนูแทนน้ำก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะโดนเล่นงานเพราะฉันจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ” ฟังดูพิลึกแต่เป็นความจริงโดยแท้โลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นทำให้ภูมิต้านทานพิษและคำสาปของเรย์อยู่ในระดับสูงทั้งหมดต่อให้โดนยาพิษก็เชื่อว่ารายนั้นคงไม่รู้สึกอะไรแน่นอน ยิ่งเรื่องที่เรย์จะโดนเล่นงานนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วย
เช่นเดียวกับอลันที่ยังคงสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ได้เพราะเขาไม่ได้กังวลเรื่องเรย์เลยแม้แต่น้อยเพราะเขารู้ดีว่าเรย์นั้นสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตามก่อนที่จะเช็คสภาพปืนให้เรียบร้อยอีกครั้งเตรียมออกสนาม
“สัญญาณเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความเร็วแล้ว คิดว่าคงโดนอุ้มขึ้นรถไป” แม่สาวคนเดียวที่เหลือในกลุ่มวิเคราะห์สถานการณ์เป็นการเร่งรัดทุกคนไปในตัวเนื่องจากระยะของเครื่องติดตามมีจำกัดหากไปไกลจนออกนอกระยะละก็พวกเธอคงไม่มีปัญญาตามหาได้แน่
“เลิกไร้สาระแล้วไปกันได้แล้ว” เจ้าคนปากสุนัขทะยานร่างออกไปก่อนโดยไม่สนใจใครส่วนทางด้านของอื่นๆก็ก้าวเท้าตามไปเช่นกันแม้จะยังลงมือช่วยเหลือทันทีไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ต้องไปสำรวจชัยภูมิของฐานที่มั่นศัตรูก่อนมิเช่นนั้นพวกเขาลงมือกันไม่ได้อย่างแน่นอนก่อนที่ร่างของพวกเขาจะเริ่มทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว
