บท
ตั้งค่า

chapter8-11

เอย์จิที่เผลอหมดสติไปนั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในตอนแรกเขาขมวดคิ้วไปชั่วครู่เพราะสมองกำลังประมวลผลว่าตนอยู่ที่ใดเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่บ้านของเขาหากแต่เป็นห้องในโรงแรมที่ไหนสักแห่งในเสี้ยววินาทีต่อมานั้นเองที่ดวงตาสีแดงของเจ้าตัวเบิกกว้างขึ้นมา

“รีน่อน เด็กคนนั้น!!” ทันทีที่นึกถึงเด็กคนนั้นเขาก็ตระหนกขึ้นมาในทันทีเพราะในครั้งล่าสุดที่เขาจำได้เด็กชายบาดเจ็บสาหัสอยู่หากแต่ในทันทีที่ลุกขึ้นมาก็ต้องพบว่าเรี่ยวแรงของตนเองหายฮวบจนต้องล้มลงไปอีกครั้งหนึ่ง

“เย็นๆ ไว้โยม ถ้าพูดถึงเด็กที่ห้อยมากับนายละก็ปลอดภัยดีมีสุขและได้เจอกับพี่สาวของตัวเองแล้ว” แม้จะไม่หันไปมองแต่คนที่มีน้ำเสียงกวนอารมณ์แบบนี้จะเป็นใคนไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าเพื่อนสมัยเด็กของเขานั่นเอง

“งั้นก็โล่งอกไปที” ถึงจะแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมเรย์ถึงเข้ามาในห้องนี้ได้ก็ตามแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนักยังไงเสียเขาก็เป็นเพื่อนกับเรย์มาตั้งนานแล้วให้อีกฝ่ายไปเดินเล่นในบ้านนับครั้งไม่ถ้วนกับเรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

“แต่ไม่นึกเลยจริงๆ แฮะ ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นน้องของแม่สาวที่ถูกขังห้องเดียวกับฉัน” ต้องบอกตามตรงว่าโลกมันกลมดีจริงๆเอย์จิได้เจอคนน้องส่วนเขาได้เจอคนพี่ตอนแรกนั้นเขาอดแปลกใจไม่ได้ที่มีเด็กมาอยู่ที่นี่แต่พอมาเจอเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องเล็กไปเลย

“แต่ก็ขอบใจนะเรย์ที่รักษาเด็กคนนั้นให้” พอได้ยินว่าเด็กคนนั้นได้กลับไปเจอพี่สาวเขาก็อดดีใจแทนไม่ได้อย่างน้อยเขาก็ทำให้เด็กคนนั้นได้เจอกับพี่สาวอีกครั้งไม่ต้องมามีชะตากรรมเหมือนเขาที่ไม่ว่าอยากจะเจอพี่ชายมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจเจอได้

“ฉันไม่ใช่คนรักษาให้เด็กคนนั้นหรอกนะ ว่าจะถามเหมือนกันว่าทำยังไงเด็กคนนั้นถึงได้หายดีแบบนั้น แถมยังลุกขึ้นมาวิ่งกระโดดโลดเต้นได้อีก” พอพูดมาถึงตรงนี้เขาก็เล่าเรื่องราวในตอนที่เขาพุ่งเข้าไปหาเอย์จิในตอนนั้นโดยเลือกจะข้ามในส่วนของเหตุไป

ตอนที่เขาไปถึงเด็กคนนั้นก็หายดีแล้วส่วนเอย์จินั้นหมดสติอยู่ข้างๆตอนแรกเขาก็แปลกใจเหมือนกันว่าถึงขั้นมีคนที่ทำให้เอย์จิสลบไปได้อยู่ด้วยแต่เท่าที่เขาตรวจสอบดูตัวของเอย์จิและเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรผิดปกติแถมของก็ไม่มีอะไรหายไปด้วยจึงไม่ได้สนใจมากนัก

สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจที่สุดก็คือการรักษาเด็กคนนั้นต่างหากแค่ดูจากร่องรอยการขาดของเสื้อผ้าและรอยเลือดที่เปื้อนพื้นและร่างของเด็กชายก็ดูออกในทันทีว่ามันเป็นบาดแผลที่หนักมากแต่พอเขาไปถึงบาแผลเหล่านั้นกลับไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง

ไม่ใช่แค่นั้นเจ้าตัวยังสามารถลุกขึ้นมาวิ่งเข้าไปหาพี่สาวตัวเองได้อีกยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากขึ้นต่อให้ใช้มนตราธาตุแสงในการรักษาแต่เลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายมันไม่ได้ฟื้นฟูตามไปด้วยในกรณีที่เสียเลือดมาก็ควรจะพาไปโรงพยาบาลอยู่ดีแต่เด็กคนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยราวกับเป็นการรักษาจากพระเจ้ายังไงยังงั้น

“ไม่ใช่นายงั้นเหรอ แล้วเป็นฝีมือของใครละ?” ตอนแรกเขานึกว่าเรย์เป็นคนรักษาให้เด็กคนนั้นเสียอีกหากแต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกันเพราะหากให้พูดไปคนอื่นๆก็ไม่น่ามีพลังพิเศษที่จะรักษาเด็กคนนั้นได้แล้ว

“ช่างเถอะ ถ้าไม่อยากเปิดเผยตัวก็ไม่ต้องไปตามหาหรอก การที่อีกฝ่ายมารักษาเด็กให้แบบนี้แปลว่าไม่ได้เป็นศัตรูกับเรา แค่ไม่เอาพลังนั้นไปใช้ทำร้ายใครแถมยังช่วยเหลือคนอื่นแค่นั้นก็พอแล้ว ใครจะเป็นคนใช้ไม่สำคัญหรอก” เขาไม่ต้องการบีบคั้นเพราะไม่แน่ว่าถ้าไปบีบคั้นมากๆอาจมีปัญหาได้รอให้อยากเผยตัวออกมาเองค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่าซึ่งเอย์จิก็พยักหน้ารับ

“ว่าแต่ขอถามสักคำนะเรย์ ทำไมนายไม่เปลี่ยนชุดแถมทำอีท่าไหนชุดถึงเป็นแบบนั้นได้?” เป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่งเพราะเรย์ในตอนนี้ยังคงอยู่ในร่างของอัลคาน่าเช่นเดิมแต่แค่นั้นอาจยังไม่เท่าไหร่หากเทียบกับชุดของเรย์ในตอนนี้

เจ้าตัวอยู่ในสภาพสวมชุดเดรสสีฟ้าอ่อนแทนทำให้เจ้าตัวดูสดใสและอ่อนโยนในแบบของตัวเองเรือนผมสีขาวที่ยาวสยายนั้นถูกปล่อยออกแต่ก็ดูมีสเน่ห์แม้จะไม่ได้ผ่านการแต่งแต้มใดๆเลยก็ตามหากไม่ติดว่ารู้จักกันมานานเขาคงอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่มันเป็นผู้หญิงหรือเปล่า

“เหอะๆ มิเชลกับรีน่อนพักกันที่โรงแรมนี้รอพ่อเข้ามาตัวเมืองรับพรุ่งนี้เช้า แล้วนายคิดว่าฉันจะหน้าหนาพอคืนสภาพเดิมตอนนี้หรอฟะ ” ชื่อเสียของเขานั้นแผ่ขยายไปทั่วดินแดนแล้วก็จริงแต่เขาไม่ต้องการชื่อเสียแนวนี้ดังนั้นเขายอมทนต่อไปอีกสักนิดก็ได้

“แล้วก็นะอย่าวิจารณ์อะไรเลยจะดีกว่า เพราะฉันเพิ่งจัดมนต์ชุดใหญ่ให้เจ้าตัวปากพล่อยไปหมาดๆ หวังว่าฉันคงไม่ต้องจัดให้นายด้วยนะเอย์จิ” ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็รู้ว่าคนที่ถูกพูดถึงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเซโอที่ปากเปราะไม่มีใครเกินเลยจริงๆและเขาก็ไม่คิดว่าตนเองในสภาพที่ดาบอยู่ห่างตัวจะสามารถเอาตัวรอดจากมนต์ของเรย์ได้ด้วยฉะนั้นเงียบไว้อาจเป็นการดีที่สุดจริงๆ

“แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ ขอบคุณมากนะเรย์” เจ้าคนที่เคยกวนประสาทชาวบ้านชะงักไปในทันทีก่อนตวัดสายตามาหาเอย์จิด้วยความแปลกใจเนื่องจากไม่คิดว่าอยู่ๆจะได้รับคำขอบคุณขึ้นมากระทันหันเช่นนี้พร้อมเลิกคิ้วนิดหน่อย

“ถ้าไม่ได้นาย ภารกิจก็คงไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแบบนี้และอาจต้องมีคนตายด้วย เพราะงั้นขอบคุณจริงๆ” ถ้าไม่ได้ความสามารถและการแฝงตัวเข้าไปในรังของพวกนั้นล่ะก็ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจับคนเหล่านั้นเป็นตัวประกันจนทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ก็เป็นได้

“ไม่ต้องคิดมากน่า ยังไงฉันกับนายก็เป็นทหารมนตราด้วยกันทั้งคู่มีอะไรก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว อีกอย่างนายเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กับฉันถ้าไม่ช่วยนายแล้วจะให้ฉันไปช่วยใครละ สหาย” สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณเลยสักนิดเขากับเอย์จินั้นเป็นเพื่อนกันมานานจนเรื่องเพียงเท่านี้ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณเลยอย่าว่าแต่พวกเขาไม่ได้ทำงานฟรีเลยด้วย

“ว่าแต่ช่วยเหยิบไปหน่อยฉันขอนอนด้วยสิ” คำกล่าวนี้เองที่ทำเอาเอย์จิชะงักไปชั่วครู่ก่อนตวัดสายตาไปหาเรย์ด้วยความแปลกใจตามปกติแล้วทหารมนตราสามารถเบิกค่าห้องพักต่อคนได้อยู่แล้วทำให้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมานอนห้องเดียวกับเขาด้วย

“ช่วยไม่ได้ โรงแรมส่วนใหญ่ปิดกิจการชั่วคราวเหลือแต่ที่นี่ซึ่งมีห้องพักน้อยเลยเหลือห้องพักแค่ห้าห้อง เจ้าอลันกับคาซึกิยึดไปแล้วห้องนึง เซโอกับรากูลก็ห้องนึง สาวๆ ห้องนึง พี่น้องคู่นั้นอีกห้องแล้วก็เหลือห้องนี้แล้ว” ตามหลักตอนนี้เขาควรไปพักห้องเดียวกับเทรีเซียและเนียร์แต่ประทานโทษเห็นหัวโด่แบบนี้เขายังเป็นผู้ชายอยู่นะจะให้ไปนอนห้องเดียวกับผู้หญิงโดยไม่จำเป็นละก็ไม่มีทางเขายินดีไปนอนบนต้นไม้ดีกว่า

“แล้วนายไม่กลัวหรือไงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด อย่าลืมสถานะของตัวเองตอนนี้สิ” ถ้าเป็นตามปกติเขาคงไม่ว่าอะไรแต่เจ้าเรย์ในตอนนี้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงอยู่การเข้าหานอนห้องเดียวกับเขาที่เป็นผู้ชายอาจทำให้มันแลดูไม่งามได้

“อย่าห่วงน่า ฉันบอกไปแล้วว่าอยากขอดูอาการของนายอีกสักนิด แค่นี้ก็แนบเนียนแล้วเห็นปะ?” ไม่มีใครสงสัยสักนิดเพราะเขาสามารถใช้มนต์เยียวยาได้จริงๆแถมยังลบเรื่องข้อครหาทั้งหมดไปได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

“ว่าแต่นายจะนอนต่อหรือเปล่า? ถ้านายไม่ง่วงจะอ่านหนังสือก็ได้นะตามสบาย” กับคนที่นอนมาตั้งหลายชั่วโมงนั้นเขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายจะง่วงหรือไม่หากว่าอีกฝ่ายไม่ง่วงเขาก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนคุยได้

“นอนเถอะ ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน” ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดราวกับว่าใช้พลังมนตราไปเป็นจำนวนมากทั้งที่เขาก็จำได้ว่าตนไม่ได้ใช้พลังมนตราไปอะไรมากมายเลยแท้ๆแต่เขาก็เลิกคิดมากในเรื่องนั้นแล้วนอนจะดีกว่า

ว่าไปมันก็นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้นอนข้างๆเรย์แบบนี้ครั้งล่าสุดคงจะเป็นเมื่อสองปีก่อนในสงครามคราวนั้นที่แม้ว่าศัตรูตรงหน้าจะแข็งแกร่งและมีกำลังพลมากมายกว่าเพียงไรแต่ด้วยแผนการพิสดารของเรย์และการนำทัพของพี่ชายเขาก็สามารถฝ่าฟันมันไปได้ทุกครั้งสำหรับเขาแล้วการมีเรย์มานอนข้างๆทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาดจนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ

“งั้นราตรีสวัดดิ์ ฝันดีเน้อ” ไม่กี่วินาทีจากนั้นเขาก็สัมผัสได้เลยว่าลมหายใจของเจ้าคนที่นอนด้านข้างสม่ำเสมอเป็นที่เรียบร้อยซึ่งเขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวหรือความเหนื่อยล้ากันแน่แต่นั่นก็ยิ่งเรียกรอยยิ้มออกมาจากเอย์จิให้มากขึ้นไปอีก

“ราตรีสวัสดิ์” และในเวลาไม่นานเขาก็หลับปุ๋ยไปจากความเหนื่อยเช่นกันโดยไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าร่างกายของของตัวเองเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมาแม้จะเชื่องช้าแต่ก็สำคัญมากเป็นสัญญาณเตือนต่ออะไรบางอย่าง

ในเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่พวกเขาจะต้องกลับไปยังเมืองลาเฟสต้านั้นหลังจากจัดการเคลียร์เรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วพวกเขาจึงเรียกรถคันทัวร์ใหม่เอี่ยมมาจากกองทหารมนตราโดยปฏิเสธหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมนั่งรถตู้เบียดกันอีกโดยเด็ดขาด(โดยเฉพาะการเบียดกับคาซึกิ)

“ยะฮู้ เราจะได้กลับกันแล้ว” ในสายตาของเซโอภารกิจนี้ได้ไม่คุ้มเสียเท่าไหร่เพราะแม้ว่าตัวเนื้อหาของงานจะง่ายก็ตามหากแต่การที่เขาต้องมานั่งเฝ้ารอให้ลูกพี่เตรียมการตั้งสามสี่วันและรอเฉยๆทำให้เขาที่เป็นประเภทอยู่เฉยไม่ได้แทบจะลงแดงแถมยังเกือบได้งัดข้อกับรากูลอีก แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องที่คุ้มก็มีอย่างหนึ่ง

แต่ทางด้านของแม่สาวแสนเย็นชาของกลุ่มนั้นกลับมีท่าทีไม่พอใจขึ้นมาในทันทีดวงตาของเธอจับจ้องไปยังเจ้าคนร่าเริงด้วยความขุ่นเคืองสาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเธอแพ้ในการแข่งขันอีกแล้วที่สำคัญคือคราวนี้แพ้ไปแค่สองคน

“อย่าทำหน้าระริกระรี้แบบนั้นเลย ก็แค่ฟลุกเท่านั้นเอง” ยิ่งสีหน้าของเซโออารมณ์ดีมากเท่าไหร่เธอยิ่งโมโหจนชักอยากจะงัดปืนคู่ใจมาเป่ากบาลอีกฝ่ายติดที่ว่าต่อให้เป่าไปก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสร้างรอยแมวข่วนให้เจ้าคนหน้าหนากว่าโฮริฮารูก้อนนี่ได้

“แต่ชนะก็คือชนะละนะ คราวนี้จะเองเกมลงทัณฑ์แบบไหนดีหว่า?” ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเกมลงทัณฑ์นั้นอย่างมากก็แค่ไปเดทด้วยกันทั้งวันไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยแต่กับแม่สาวที่จริงจังกับชีวิตจนเห็นว่าการเที่ยวเล่นไม่มีประโยชน์นั้นมันเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก

ส่วนรากูลนั้นเงียบเป็นเป่าสากตั้งแต่จบภารกิจหลังจากนั้นเขาก็เอาแต่นั่งและใช้พลังวัตรในการฟื้นฟูตัวเองมาตลอดแทบไม่รับรักการรักษาจากคนอื่นเลยซึ่งพวกเรย์ก็ค่อนข้างชินกับนิสัยของเจ้าตัวที่เป็นแบบนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

“น่าแปลกใจจริงๆ เลยนะคะที่มิเชลเป็นลูกของคุณลุงแบบนี้” และในวันนี้เองที่เรย์ได้รับรู้ถึงคำว่าโลกกลมอันแท้จริงเพราะลุงที่มาส่งเขาเข้ามาในเมืองเลสไตน์นั้นแท้จริงแล้วคือพ่อของเด็กสองคนนี้นี่เองซึ่งทำให้พวกเขาตกใจไปครู่นึงเลยทีเดียว

“ต้องขอบใจหนูจริงๆ นะที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยลูกสาวของลุงเอาไว้ ถ้าไม่ได้หนูไม่รู้ชาตินี้ลุงจะมีโอกาสได้เจอลูกสาวของลุงอีกหรือเปล่า?” เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเด็กสาว(?)ที่ตนมาส่งที่เมืองซึ่งทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวนั้นแท้จริงแล้วจะเป็นทหารมนตราที่มาช่วยลูกสาวของตัวเองแบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส่วนนึงมันเป็นเพราะหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกนะคะคุณลุง” การที่เขาได้รับการคำนับจากคนที่สูงอายุกว่านั้นไม่ว่าจะทำเช่นไรเขาก็ไม่ชินเพราะในสายตาของเขาคุณลุงคนนี้เป็นพ่อที่ถือว่าใช้ได้และน่านับถือแล้ว

“เอาเป็นถือซะว่าหายกับการที่คุณลุงช่วยพาหนูมาส่งที่เมืองนี้แล้วกัน ตกลงไหมคะ?” แค่พามาส่งทำให้เขาไม่ต้องอาศัยสองขาเดินมาเองก็นับว่าบุญมากแล้วจริงๆเพราะระยะห่างที่พวกเขาจอดรถก่อนถึงเมืองจัดว่าไกลเอาเรื่องเลยทีเดียว

“แต่ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณเธออยู่ดี ถ้าไม่ได้เธอฉันคงต้องเป็นบ้าไปแน่ๆ” เป็นความจริงเพราะหากว่าคนผู้นี้ไม่ยั่วโมโหเธอขึ้นมาละก็ไมแน่ว่าชื่อของมิเชล นาเรียสอาจได้ถูกส่งไปหาจิตแพทย์เพราะเกิดอาการทางประสาทแล้วก็ได้

“เอาน่าๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เรื่องที่พอจะไปอวดคนอื่นได้มันก็มีแต่การกวนประสาทชาวบ้านนี่แหละ” ที่เขาทำลงไปนั้นเพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยอยากให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองเสียบ้างเลยพูดแบบนั้นไป

“ของแบบนั้นมันน่าอวดที่ไหนกันเล่า แต่ก็ขอบคุณมากจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่ลืมเธอเลย” อันที่จริงต่อให้ลืมเขาไปเรย์ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะบางทีเรื่องราวในชีวิตมันอาจหนักหนาเสียจนทำให้ลืมเลือนอดีตไปก็ได้แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยิ้มรับคำพูดของเธอ

“ขอบคุณมากนะครับพี่เอย์จิที่คอยช่วยผมมาตลอดเลย แถมในตอนสุดท้ายพี่ยังช่วยชีวิตผมอีก” เขาดีใจมากเลยทีเดียวที่มีคนยอมฟังคำพูดของเขาเพราะตอนไปขอความช่วยเหลือใครก็ไม่มีคนที่จะยอมช่วยเขาจริงๆเลยสักนิด

“ไม่หรอก พี่ไม่ได้เป็นคนรักษาเรานะ ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก” ที่จริงแล้วที่รีน่อนต้องบาดเจ็บเป็นเพราะเขาด้วยซ้ำหากว่าเขาระวังในการใช้พลังและออมแรงเอาไว้เสียหน่อยกระทั่งในตอนสุดท้ายหากเขาเลือกที่จะต้านรับแทนจะหลบละก็เด็กคนนี้คงไม่ต้องมาบาดเจ็บ

“ไม่เลย สำหรับผมแล้วพี่ชายเป็นคนช่วยผม ไม่ว่ายังไงความจริงนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และพี่ชายจะเป็นฮีโร่ของผมตลอดไปด้วย” ท่าทีร่าเริงสมวัยของเด็กคนนี้ทำให้เอย์จิอดยิ้มไม่ได้อย่างน้อยก็ยังดีที่เด็กคนนี้ปลอดภัยส่วนเรื่องที่จะเอาเขาเป็นฮีโร่อะไรนั่นน่ะเขาไม่คิดมากอยู่แล้ว

“โตขึ้นผมจะฝึกฝนให้เก่งๆและเป็นหน่วยทหารมนตราที่เท่และเก่งแบบพี่เอย์จิให้ได้เลยคอยดู รอผลก่อนนะสักวันผมจะเป็นลูกน้องของพี่เอย์จิเอง” หากเขาเร่งฝึกฝนก็น่าจะอีกไม่เกินห้าถึงหกปีคงพอไปวัดไปวาได้ซึ่งเขาคิดว่าพี่ชายคนนี้ต้องยังอยู่ในตำแหน่งอย่างแน่นอน

“เอาสิ พี่จะรอวันนั้นก็แล้วกัน” อยากเห็นเหมือนกันว่าเด็กคนนี้จะมาตามคำบอกจริงหรือเปล่าแต่ถ้ามาเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฝีมือจะพัฒนาไปได้ถึงไหนพร้อมกับที่เขาลูบหัวของเด็กชายอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล

“ขอบคุณที่ทำให้การหนีออกจากบ้านของผมสนุกนะครับ โอ๊ย” ว่าไม่ทันจบก็มีกำปั้นเพชรฆาตกระแทกเข้าใส่หัวของเด็กชายอย่างรวดเร็วซึ่งจะมาจากใครที่ไหนไปไม่ได้นอกเสียจากพี่สาวของเจ้าตัวที่ยืนทำตาเขียวใส่น้อง

“หนีออกจากบ้านยังมาทำพูดดีอีก คอยดูพี่กับพ่อจะเฉ่งเราสามวันสามคืนเลย เรี่ยวแรงของเธอไม่จัดว่าธรรมดาจริงๆ เพราะเธอลากคอน้องชายส่วนทางด้านรีน่อนนั้นตะเกียดตะกายราวกับไม่อยากรับฟังคำเทศนานั้น

“พวกเราก็กลับกันเถอะครับ” เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้วพวกเขาจึงขึ้นรถกลับสู่เมืองลาเฟสต้าอย่างรวดเร็วโดยที่เรย์และเอย์จิโบกมือให้กับคนรู้จักของตัวเองเบาๆเป็นการลาก่อนที่รถคันนั้นจะค่อยๆแล่นจนลับสายตาออกไป

“เป็นอะไรไปเหรอ รีน่อน?” เธออดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงตาค้างปกติน้องชายของเธอไม่ได้แสดงอาการแบบนี้บ่อยมากนักเธอจึงอดที่จะงงไม่ได้

“อ๋อเปล่าหรอก พอดีเมื่อกี้แวบนึงผมเห็นพี่เอย์จิเขาเป็นผู้หญิงไม่รู้ทำไม ทั้งที่พี่เขาก็ดูเท่ออกขนาดนี้” ภาพตอนที่เอย์จิโบกมือลาก่อนขึ้นรถนั้นทำให้เด็กชายเหมือนกับเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาแทนเป็นผู้หญิงที่มีสีผมและสีตาเหมือนพี่เอย์จิไม่ผิดเพี้ยนกระทั่งความรู้สึกแต่ส่วนนึงมันกลับบอกเช่นกันว่านี่ไม่ใช่มาซานะ เอย์จิ

“เราคงคิดมากไปเองมั้ง จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวพ่อจะพาไปเลี้ยงฉลองกัน” เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กชายจึงปล่อยวางเรื่องนี้ออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้เรื่องราวน้ำไปกำหนดชะตาชีวิตของเอย์จิในอนาคตอีกที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel