บท
ตั้งค่า

chapter10-1

“เฮ้อ ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ในร่างนี้สักที” หลังจากที่เขากลับมาถึงเมืองลาเฟสต้าจึงได้กลับมาอยู่ในชุดของหัวหน้าหน่วยเหมือนเดิมแม้จะไม่ได้รังเกียจอะไรร่างนั้นแต่การอยู่ในชุดผู้หญิงนานๆนี่มันก็อึดอัดเหมือนกันถึงเมื่อก่อนจะเคยโดนจับแต่งแบบนั้นบ่อยๆก็เถอะ

หลังจากที่ไปรายงานเรื่องทุกอย่างจบแล้วเขาจึงตั้งใจจะกลับบ้านซึ่งตอนนี้แม่สาวนักดนตรีคงถือโอกาสใช้ห้องนอนของเขาเป็นที่นอนชั่วคราวไปแล้วเพราะเขาไม่เคยล็อคห้องนอนของตัวเอง(และต่อให้ล็อคเชื่อเถอะว่ายัยตัวเล็กจะสามารถสะเดาะกลอนได้อยู่ดี)คาดว่าตอนนี้คงนอนฟังแผ่นเสียงของคุณแม่เขาอย่างอารมณ์ดีเป็นแน่แท้

แต่จะว่าไปหมู่นี้เขาก็ชักกังวลขึ้นมาหน่อยๆ ว่าแม่คุณจะไม่กลับบ้านกลับช่องเลยหรือไง อาศัยห้องเก็บของคุณแม่หรือไม่ก็ห้องของเขานอนแบบนี้เขาค่อนข้างแน่ใจว่าถ้าเป็นคานาเดะคนนั้นต้องฟังแผ่นเสียงทั้งหมดแล้วอย่างแน่นอนแต่เธอก็ยังไม่ยอมกลับบ้านเสียทีเลยไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วเธอจะอาศัยอยู่ที่บ้านของเขาถาวรเลยหรือยังไง

“แต่ไม่รู้จะนอนกันหรือยังเนี่ยสิ” กว่าเขาจะเดินทางกลับมาและเคลียร์งานทั้งหมดจบก็ปาเข้าไปห้าทุ่มได้แล้วกับแม่สาวนักดนตรีน่ะเขาคิดว่าคงยังเพราะเจ้าตัวตามปกติพอเริ่มฟังแผ่นเสียงของคุณแม่แล้วกว่าจะนอนก็ประมาณตีสองตีสามแต่ทางด้านของพี่ไรอากับเรเดียนั้นเขาไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะเขาไม่ได้บอกวันกลับมาอย่างละเอียดเอาไว้ซะด้วยไม่แน่ว่าเธออาจจะนอนไปแล้วก็เป็นได้

ในตอนที่เรย์กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นเองหูของเขาก็ได้ยินเสียงเพลงอาจเพราะว่าเขาเป็นนักดนตรีส่วนหนึ่งแม้จะไม่ได้เป็นนักดนตรีเต็มตัวเหมือนอย่างคานาเดะแต่ก็ประสาทไวกับเสียงพวกนี้พอตัวยิ่งเป็นเพลงที่ไพเราะแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

เสียงร้องที่ไพเราะจนเขาต้องอดเงี่ยหูฟังไม่ได้ก่อนที่เรย์จะก้าวเท้าไปตามเสียงร้องนั้นอย่างเงียบงันทิศทางที่เขาก้าวเดินไปนั้นเป็นทิศทางของแถบชานเมืองซึ่งเป็นสถานที่ๆเขาชอบมานั่งฆ่าเวลาเล่นเป็นบางครั้งก่อนที่เขาจะพบกับเจ้าของเสียงนั้น

ร่างตรงหน้าเป็นร่างของเด็กสาวคนนึงที่อายุน่าจะอยู่ในรุ่นเดียวกับเขาเรือนผมน้ำเงินสยาย เธอนั่งห้อยขาอยู่ตรงบริเวณแม่น้ำโดยที่ขาทั้งสองข้างแช่ลงไปในผืนน้ำอันเย็นเฉียบตอนนี้แม้ตอนนี้จะพ้นหน้าหนาวไปแล้วแต่การเอาขาลงไปแช่ในน้ำคงไม่ใช่เรื่องที่น่าทำมากนักมือทั้งสองข้างประสานกันราวกับเป็นการวิงวอนต่ออะไรบางอย่าง ดวงตาทั้งสองข้างของเธอปิดสนิททำให้เธอมองไม่เห็นเขาที่พรางร่องรอยของตัวเองอยู่

แม้ว่าหน้าตาของเธอจะงดงามมากก็ตามหากแต่เสียงของเธอกลับมีสเน่ห์ยิ่งกว่านั้นมันทั้งไพเราะและอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการร้องเพลงก็ตามแต่เขาแน่ใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต

หากแต่มันกลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจนั่นคือเสียงร้องของเธอแม้จะไพเราะแต่พอได้ฟังแล้วเขารู้สึกแปลกๆอย่างไรพิกล มันไม่เหมือนกับดนตรีของคานาเดะที่เมื่อฟังแล้วทำให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจราวกับการปลอบประโลมหากแต่เสียงร้องของเธอคนนี้กลับต่างออกไป

เสียงหวานที่แสนเศร้าสร้อยเป็นความปวดร้าวที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทางเสียงดนตรีที่แม้จะไพเราะแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกว่ามันขัดใจอยู่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งหยดน้ำที่ไหลอาบลงมาตามแก้มทั้งสองข้างที่ทำให้ผู้ฟังอดปวดใจไม่ได้ที่จะได้เห็น

‘ดนตรีเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตนลงไปในเพลงที่เราบรรเลงมันออกมา เป็นสิ่งที่มีไว้ใช้ในการมอบความสุขแก่ผู้คน’ คติประจำใจของเขาไม่สิ ของคุณแม่ของเขาต่างหากเพราะแบบนั้นท่านถึงเลิกเล่นดนตรีไปในยามที่มีเขาเพราะท่านรู้ดีว่าดนตรีที่ไพเราะที่สุดของท่านนั้นไม่อาจเล่นให้ใครอื่นฟังได้อีกนอกจากสามีและลูกชายที่เธอรักหมดหัวใจเท่านั้น

แม้จะไพเราะมากแค่ไหนแต่โดยความรู้สึกส่วนตัวนั้นเขาไม่อาจทำใจบอกออกไปได้เลยจริงๆว่าชอบในเสียงเพลงของเธอเพราะหากว่าผู้ร้องยังมีแต่ความทุกข์และเศร้าสร้อยเต็มเปี่ยมอยู่ในใจละก็จะทำให้ผู้อื่นมีความสุขไปด้วยได้ยังไง จนในที่สุดเสียงเพลงของเธอก็จบลง

“มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?” ดูเหมือนเป็นอีกครั้งที่เขามัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนลืมซ่อนตัวไปเสียหน่อยทำให้เธอรู้ตัวจนได้พร้อมกับที่ผู้หญิงคนนั้นลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าก่อนพบว่าดวงตาของเธอก็เป็นสีฟ้าสดใสด้วยเช่นกันแต่มันกลับสงบนิ่งดุจดั่งผิวทะเลสาบที่ไร้ระลอกคลื่นแทนเมื่อรวมกับหน้าตาของเธอแล้วทำให้คนตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่างดงามเป็นอย่างยิ่ง

“เปล่าหรอก ก็แค่ได้ยินเสียงเพลงเลยออกมาดูเท่านั้นแหละ” ไม่มีใดอื่นมากกว่านั้นเลยและเขาก็ไม่ได้ต้องการให้เธอคิดว่าเขาจะมาทำอะไรเธอด้วยเพราะแม้เขาจะมีชื่อเสียงด้านลบยังไงเขาก็ยังมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น

“ขอโทษด้วยนะคะ ที่เสียงเพลงของฉันคงไปรบกวนคุณเข้า” รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าแม้จะเป็นรอยยิ้มหากแต่มันกลับแลดูเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาดแววตาของเธอก็เช่นกันแม้จะยังคงสงบนิ่งอยู่ก็ตามหากแต่เขาบอกได้เลยว่ามันมีอะไรแฝงเอาไว้อยู่อะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจนัก

“ไม่หรอกมันก็เพราะดีนะ เป็นเพลงที่เพราะที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมาเลย” ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่อยากหักหาญน้ำใจของเธอคนนี้จึงเลือกจะพูดไปเฉพาะในด้านที่ดีอันที่จริงมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละแค่ความรู้สึกส่วนตัวของเขามันบอกว่า‘ไม่ใช่’และ‘ไม่ควรจะเป็นแบบนี้’เท่านั้นเอง

“แต่ดูจากสีหน้าของคุณแล้ว มันดูไม่เหมือนคนที่ชอบเพลงของฉันเท่าไหร่เลยนะคะ” ครั้งนี้ทำเอาเรย์อดชะงักไปไม่ได้ถ้าเป็นตามปกติเขาถูกอ่านอารมณ์ออกนั้นเขาจะไม่แปลกใจแต่นี่เขาแทบไม่ได้แสดงท่าทางออกไปด้วยซ้ำแต่ทำไมถึง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่คิดมากหรอกเสียงเพลงของฉันน่ะถึงจะไม่มีคนชอบก็ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าฉันกำลังร้องเพลงไปเพื่ออะไรกันแน่” เป็นคำกล่าวที่ทำให้เขาอดที่จะงุนงงไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไรกันแน่แต่ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเพลงของเธอถึงได้เป็นแบบนั้น

อย่างที่ตัวเขาเองเป็นการเล่นดนตรีของเขานั้นเล่นเพราะคิดว่ามันมีคุณค่าต่อผู้ที่ได้ฟังมันซึ่งในกรณีของเขานั้นคนที่เขาจะเห็นคุณค่าในการเล่นให้ฟังที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้นอกจากพี่สาวและน้องสาวของเขาก็มีเพียงอลัน เอย์จิและก็อีกคนนึงก็เท่านั้นเอง

การร้องเพลงของเธอนั้นยิ่งแล้วใหญ่เพราะการร้องเพลงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้มากยิ่งกว่าการเล่นดนตรีเสียอีกเรียกได้ว่าอารมณ์ทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดออกมาจากเสียงร้องของเธอโดยตรงเลยทีเดียวและเสียงที่เศร้าสร้อยของเธอก็แสดงถึงความรู้สึกของเธอในยามนี้ด้วยเช่นกัน

“ได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะ ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เจอกันใหม่นะคะ” เธอลุกขึ้นมาจากแม่น้ำก่อนที่เธอจะเริ่มก้าวเดินออกไปอย่างเงียบงันหากแต่ในขณะนั้นเองสัญชาตญาณของเขาก็กำลังร้องเตือนอยู่เตือนว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างกับรูปการณ์นี้เพราะมิเช่นนั้นเธออาจเลือนหายไปเหมือนภาพลวงตาก็เป็นได้

“เดี๋ยวก่อน คุยกันตั้งนานยังไม่ได้ถามชื่อของเธอเลย?” แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดออกได้แค่นี้ถ้าเขาถามล้วงลึกไปกว่านี้มันอาจเป็นการเสียมารยาทแต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลยเขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตก่อนที่เธอจะหันกลับมาหาเขาพร้อมทิ้งคำพูดเอาไว้ก่อนเดินลับสายตาไป

“ฉันไม่มีชื่อหรอกค่ะ อยากเรียกอะไรก็ตามสบายเถอะ ราคิออส ไรคาลิส” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องชะงักไปด้วยความแปลกใจเนื่องจากเขาไม่นึกว่าเธอจะรู้ชื่อของเขาได้เช่นนี้และเขาก็แน่ใจด้วยว่าตนยังไม่ได้บอกชื่อตัวเองไปเลยทำให้เขาอดหรี่ตาลงไม่ได้

มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจก็คือเขารู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอย่างน่าประหลาดมันเหมือนกับคนผู้หนึ่งที่เขารู้จักหากแต่หมอนั่นไม่มีทางจะมีรอยยิ้มได้เวลาเจอหน้ากันไม่งัดมนต์มาซัดเขาก็นับว่าบุญแล้วแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่เขาติดใจอยู่ดี

แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาในเวลานี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีถึงจะร้อนรนไปก็ใช่ว่าจะช่วยให้เขาเข้าใกล้เธอได้มากขึ้นเสียหน่อยทางเลือกที่ดีที่สุดคือรอคอยอย่างเยือกเย็นเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้เขาจะต้องได้เจอเธออีกครั้งอย่างแน่อน

ส่วนทางด้านของรากูล ดราโกนิสนั้นหลังจากที่กลับมาจากภารกิจแล้วเจ้าตัวก็ตรงดิ่งกลับบ้านในทันทีด้วยความที่เจ้าตัวยังมีตำแหน่งเป็นแค่ทหารมนตราชั้นผู้น้อยดังนั้นเขาจึงได้กลับบ้านก่อนเรย์อยู่โขเพียงแค่ทุ่มกว่าเขาก็ถึงบ้านแล้ว

บ้านของเขาเป็นเพียงบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ เท่านั้นเนื่องจากว่าบ้านหลังนี้มีคนอาศัยอยู่เพียงสองคนบวกกับเงินเก็บของเขาไม่มากพอจะซื้อบ้านราคาแพงเหล่านั้นได้เขาจึงตัดสินใจจะซื้อบ้านหลังนี้แทนที่แม้จะไม่แพงมากแต่ก็สามารถอยู่ได้อย่างไม่ติดขัด

“กลับมาแล้ว” อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจในธรรมเนียมแบบนี้นักเพราะแค่มองก็น่าจะรู้ว่าเขากลับมาแล้วไม่จำเป็นจะต้องให้เขามาอ้าปากพูดแบบนี้เลยแต่ด้วยความที่เขาไม่อยากจะขัดใจแม่น้องสาวของตัวเองเลยยอมทำตาม

“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ ท่านพี่ รอแปบนึงนะคะอาหารกำลังจะเสร็จแล้วค่ะ” ร่างที่อยู่ครัวทักทายออกมาเธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนนึงผมสีดำสลวยของเธอถูกรวบเอาไว้ไม่ให้เกะกะในการทำอาหารดวงตาสีดำคู่นั้นฉายแววสดใสมากขึ้นเมื่อพบว่าพี่ชายของเธอกลับมาบ้านแล้ว

ใช่แล้วแท้จริงแล้วรากูลนั้นเป็นพี่ชายของนาโอะนั่นเองหากแต่ก็เป็นเพียงแค่พี่ชายบุญธรรมเท่านั้นตอนนั้นรากูลที่เพิ่งอายุเพียงแค่สิบขวบไปเจอกับเด็กคนนี้เข้า เธอสูญเสียพ่อแม่ของเธอจากสงครามภายในประเทศจนหมดในตอนนั้นเธอกำลังนั่งร้องไห้อยู่อย่างเดียวดายในบ้านที่ใกล้จะถล่มลงมาเต็มที

แน่นอนตัวเขาในตอนนั้นเลือกจะเมินเสียงร้องไห้ของเธอก็ได้เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสามารถช่วยคนอื่นได้มากนักแต่ถึงแบบนั้นเขาก็เมินเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอไม่ได้และเลือกที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเธอออกมา

และด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าจะเอาเธอไปไว้ที่ไหนเลยเลือกจะให้เธอมาพร้อมกับเขาซะเลยในตอนแรกพวกเขาก็ลำบากนิดหน่อยเวลาที่ไม่มีเงินแต่เขาก็พอจะสามารถหาแหล่งงานใต้ดินได้ไม่ยากและพอจะใช้เงินที่ได้จากงานเหล่านั้นเลี้ยงปากท้องไปได้

จนตอนหลังเขาเข้าหน่วยทหารมนตราความเป็นอยู่จึงสบายขึ้นและเก็บเงินจนซื้อบ้านเล็กๆได้หลังหนึ่งแต่ก่อนที่จะออกมาจากแหล่งงานใต้ดินเขาจัดการทำลายมันให้ย่อยยับไปเสียก่อนเพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาออกมาโดยไม่ทำอะไรแบบนี้เขาคงไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ๆ

ส่วนตัวของนาโอะที่ทำอะไรไม่ได้จึงตัดสินใจว่าจะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแทนเธอฝึกทำงานในทุกรูปแบบทั้งทำอาหาร ดูแลบ้านสารพัดจะทำเพราะอยากจะช่วยเขาเท่าที่ทำได้ทั้งที่เขาก็เคยบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำก็ได้แต่เธอก็เลือกจะปฏิเสธเสียงแข็งจึงได้แต่ยอมให้เธอทำ

“ท่านพี่พึ่งกลับมาเหนื่อยๆ จะไปอาบน้ำก่อนมากินข้าวไหมคะ?” เป็นคำถามที่ราวกับภรรยาผู้แสนดีถามสามีเลยทีเดียวแต่น่าเสียดายที่เธอดันเป็นน้องสาวของเขาดังนั้นคงไม่มีประโยคต่อแน่นอนส่วนรากูลส่ายหน้าเบาๆในเมื่ออาหารมาแล้วกินก่อนค่อยไปอาบน้ำก็ไม่เสียหาย

“อร่อยเหมือนเดิมเลยนะ นาโอะ” ฝีมือการทำอาหารของแม่น้องสาวของเขาในช่วงแรกก็ไม่ได้จัดว่าเลวร้ายทั้งที่เขาเคยได้ข่าวว่าการทำอาหารในครั้งแรกโดยมากร้อยละเก้าสิบห้าจะกินไม่ได้ตามที่ท่านพ่อของเขาเคยพูดเอาไว้ซึ่งในตอนแรกเขาก็อดหวาดๆไม่ได้เหมือนกันแต่พอได้ลองชิมดูจึงอดตกใจไม่ได้เพราะมันจัดว่าอร่อยเลยทีเดียว

ในภายหลังเขาถึงได้รับรู้ว่าเธอไปช่วยทำงานที่ร้านอาหารร้านหนึ่งและเป็นร้านอาหารของเจ้าหัวหน้าหน่วยที่สี่ด้วยซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะอันที่จริงแล้วในร้านที่มีหัวหน้าหน่วยแวะเวียนไปสองถึงสามคนนั้นอาจปลอดภัยกว่าบ้านของเขาเสียอีก

“ขะ ขอบคุณมากเลยค่ะ ท่านพี่” ใบหน้าของนาโอะขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมจากเขาซึ่งมันก็มักจะเป็นเช่นนี้ไปเสียทุกครั้งมือไม้ของเธอปั่นป่วนไปเล็กน้อยจนคีบกับข้าวไม่ค่อยได้ซึ่งเป็นภาพที่รากูลเห็นมาจนชินตา

หลังจากที่เขากินอาหารเสร็จแล้วนาโอะก็รับอาสาล้างจานและขอให้เขาไปอาบน้ำทั้งที่อันที่จริงแค่การล้างจานนั้นเขาควรจะเป็นคนทำมากกว่าเพราะยังไงเสียเธอก็เป็นคนทำอาหารไปแล้วแต่แม่น้องสาวของเขาก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวเลยได้แค่ยอมรับอย่างจำใจเท่านั้น

ต้องยอมรับว่าการที่มีนาโอะมาอยู่ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขามีคุณค่าขึ้นมาเพราะหากว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาจะสามารถรักษาตัวตนเอาไว้ได้จนถึงทุกวันนี้หรือเปล่าไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นบ้าไปแล้วก็เป็นได้

หากแต่เพราะได้เด็กสาวคนนั้นเขาจึงยังรู้สึกว่าตนยังมีคนคอยรออยู่หากเขาฝืนทำอะไรบุ่มบ่ามหรือบ้าระห่ำเกินไปเด็กคนนั้นจะอยู่ยังไงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คอยเตือนใจเขาอยู่เสียทุกครั้งถึงตอนแรกเขาจะรู้สึกรำคาญนิดๆ ที่มีคนมาคอยเกาะติดก็ตามแต่มาวันนี้เธอเป็นน้องสาวคนสำคัญของเขาไปแล้วจริงๆ

อย่างน้อยเขาก็ปรารถนาให้ความสัมพันธ์แบบนี้ดำเนินไปตลอดกาลไม่ต้องอะไรมากมายใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขแบบนี้ไปตลอดไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรหวือหวาแม้จะคิดแบบนั้นแต่เมื่อเขาฟิวส์ขาดเมื่อไหร่เขาจะโยนหลักเกณฑ์ที่ว่าทิ้งไปโดยสิ้นเชิงเหมือนในคราวนี้

อย่าว่าแต่ชะตาชีวิตในอดีตของเขาจะกลับมาหลอกหลอนเขาเมื่อไหร่เลยเขาไม่แน่ใจสักนิดว่าวันเวลาที่จะสามารถอยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้มันจะอีกนานขนาดไหนเพราะแม้เขาจะพยายามละทิ้งอดีตไปมากเพียงไรแต่สุดท้ายเขาก็ยังหนีจากความจริงไม่พ้นอยู่ดีว่าที่จริงแล้วเขาเป็น... ในขณะนั้นเองอาการปวดที่มือข้างซ้ายของเขากลับดึงสติของรากูลกลับมาจากห้วงความคิดเสียก่อน

จะว่าไปบาดแผลที่เขาถูกดาบของศัตรูแม้จะเป็นแผลเล็กๆแต่พิษที่แฝงมากับดาบนั้นค่อนข้างยุ่งยากทำให้แผลหายช้าไปนิดหน่อยอีกทั้งเขายังไม่ได้รับการรักษาจากใครด้วย ตอนที่โดนน้ำมันเลยออกอาการแสบแต่ในสายตาของรากูลความเจ็บปวดเท่านี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยสักนิดต่อให้ถูกดาบฟันทั้งตัวเขาก็คิดว่าเขาสามารถทำตัวเฉยชากับมันได้เช่นเดิม

“มีอะไรเหรอนาโอะ?” เขาแปลกใจนิดหน่อยเมื่อแม่น้องสาวของเขาถือกล่องยาใบเล็กๆมาด้วยซึ่งเป็นของที่บ้านนี้มีติดเอาไว้เพราะในสมัยก่อนหลายครั้งเขามีบาดแผลจำนวนมากกลับมาเธอจึงต้องคอยทำแผลให้เขาอยู่เป็นประจำ

“คือแผลที่มือซ้ายน่ะค่ะท่านพี่ ฉันจะมาทำแผลให้” อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเพราะตอนกินข้าวยังไงมันก็สังเกตได้ไม่ยากอยู่แล้วอีกทั้งเขาไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรและไม่มีความคิดจะโกหกเด็กคนนี้อยู่แล้วแต่เขาส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ต้องหรอก แผลเล็กๆ แค่นี้ไม่หนักหนาอะไร พี่โคจรพลังวัตรอีกวันสองวันก็หายแล้ว” เป็นความจริงแต่อาจจะลำบากไปนิดเพราะแม้พิษที่ไหลเข้าสู่ร่างกายจะหายไปหมดแล้วแต่พิษบางส่วนยังตกค้างอยู่ที่บาดแผลจึงทำให้การฟื้นตัวช้ากว่าที่ควร

“ถ้าแบบนั้นกินยาแก้ปวดหน่อยเถอะค่ะ มันน่าจะเจ็บมากไม่ใช่เหรอคะ” ถึงดูเผินๆ บาดแผลมันจะไม่มีอะไรก็ตามแต่ด้วยความที่เธอปฐมพยาบาลพี่ชายของตัวเองมาตลอดจึงรู้ดีว่ามันต้องเจ็บมาอย่างแน่นอนมิเช่นนั้นพี่ชายของเธอคงแม้แต่จะแลมันเสียด้วยซ้ำต่อให้ถามก็ต้องตอบว่า‘อ้าว มีแผลตรงนี้ด้วยเหรอ’มากกว่า

“เข้าใจแล้ว” ถ้าเขาไม่ยอมละก็เธอต้องร้องไห้แน่นอนดูจากดวงตาที่แฝงแววความวิงวอนคู่นั้นแล้วเพราะฉะนั้นเขาจึงยอมรับยาแผงนั้นมาพร้อมกินน้ำตามลงไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางรอยยิ้มของเด็กสาวที่อย่างน้อยพี่ชายก็ยอมรับในความหวังดีของตน

แม้ว่าจะดื้อรั้นในหลายเรื่องแต่ก็เป็นเพราะเธอเป็นห่วงเขาทั้งนั้นทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วตัวเขากับเธอไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดใดๆ เลยทั้งสิ้นแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังคอยดูแลเขามาตลอดเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะปกป้องเธอให้จงได้...แม้เพื่อการนั้นจะต้องหันกลับไปยอมรับตัวตนจริงๆ ของตัวเขาเองก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel