chapter7-3
ส่วนทางด้านของอลันและเซจิโร่นั้นพวกเขาเดินทางมาส่งของได้อย่างไม่ติดขัดแม้จะมีคนมาขวางประปรายตามทางแต่ด้วยเข็มบินของเซจิโร่และกระสุนปืนของอลันนั้นก็สามารถจัดการพวกนั้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัดเลยกว่าจะส่งมาถึงได้” แน่นอนการต่อสู้ระหว่างทางมันไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่หรอกที่เหนื่อยคือพวกเขาต้องวิ่งเป็นระยะทางเกือบสามสิบกิโลต่างหากนั่นแหละคือสิ่งที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุด
“กินแรงจริงๆ นั่นแหละ แต่จะไม่ไปช่วยยูโตะหน่อยเหรอ?” หากถามว่าเหนื่อยไหมต้องตอบว่าเหนื่อยพอดูเซจิโร่ยังไม่เท่าไหร่เพราะมีพลังวัตรช่วยในการเพิ่มความสามารถทางกายแต่เขาเป็นสายผู้ใช้มนตราเลยไม่ได้มีความสามารถแบบนั้นกว่าจะวิ่งมาถึงที่นี่ได้ก็ปวดขาเอาการ
“ไม่หรอกรุ่นพี่อลัน ยูจังน่ะเห็นแบบนั้นเก่งมากเลยนะ ไม่แพ้คนพวกนั้นหรอก” เขาเชื่อมั่นในฝีมือของยูโตะว่าจะไม่แพ้อย่างแน่นอนแต่หากจะถามว่าเป็นห่วงไหมเขาก็คงต้องตอบว่าอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกันเพราะทุกครั้งนั้นการต่อสู้ของยูโตะมักจะ...
“ตอนนี้เราไปที่ห้องที่จองไว้กันก่อนดีกว่า ถือโอกาสพักผ่อนไปในตัวรอยู่จังกลับมาด้วย” การวิ่งนั้นกินแรงไปไม่เบาเพราะแต่เดิมแล้วเซจิโร่ถนัดในด้านการวิ่งระยะสั้นที่ไม่ได้อาศัยความอึดอะไรมากมายการต้องมาวิ่งระยะยาวนั้นแม้จะไม่ได้เหนื่อยมากเท่าอลันที่ปวดขาแต่ก็ต้องใช้พลังวัตรในการฟื้นฟูตัวเองเหมือนกัน
“เซจิโร่นี่สนิทกับยูโตะมากเลยนะ” ไม่ใช่แค่คำเรียกที่แต่ละฝ่ายเรียกกันอย่างสนิทสนมเท่านั้นแต่น้ำเสียงเวลาที่เซจิโร่พูดถึงยูโตะนั้นเป็นน้ำเสียงที่มีทั้งความชื่นชมและเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆเลยมันราวกับว่าไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นคนเลวร้ายถึงเพียงไหนแต่เซจิโร่ก็จะยังคงเชื่อมั่นในตัวยูโตะอยู่ดี
เช่นเดียวกับยูโตะแม้จะหลายครั้งที่มีท่าทีอ่อนใจแต่ก็มักจะทำตามที่เซจิโร่ขอทุกครั้งแม้จะเจอความงอแงของเซจิโร่เข้าไปแต่เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มได้อีกทั้งยังขอโทษแทนด้วยหากจะบอกว่าเซจิโร่เป็นหัวหน้าที่น่าเคารพนั้นมันก็ไม่น่าจะใช่เพราะตามปกติแล้วหัวหน้าหน่วยคนนี้จะมีนิสัยเหมือนเด็กมากกว่าและแทบจะเป็นอยู่ตลอดเวลามีแค่ตอนที่เข้าไปคุยกับนายจ้างและตอนต่อสู้บางครั้งเท่านั้นที่เจ้าตัวจะดูเหมือนหัวหน้าหน่วยจริงๆ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือยูโตะในยามที่อยู่กับเซจิโร่นั้นรอยยิ้มของเจ้าตัวมันไม่ใช่รอยยิ้มที่เหมือนกับหน้ากากแต่เป็นรอยยิ้มจริงๆไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มอ่อนใจหรือรอยยิ้มอารมณ์ดีก็เป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าตัวเองไม่ใช่การใส่หน้ากากที่เป็นส่วนนึงของนิสัยที่ทำให้เรย์ไม่ชอบนั่น
“อื้ม ยูจังน่ะเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดเลยล่ะ ขนาดที่เรียกได้เต็มปากเลยว่าชอบมากพอๆกับพี่ชายเลย” น้อยคนนักที่เซจิโร่จะออกปากชื่นชมถึงขนาดนี้ด้วยความที่เขายังถือว่าเด็กมากทั้งอายุงานในฐานะทหารมนตราทั้งวัยวุฒิทำให้เขานึกชื่นชมคนในหน่วยทั้งเจ็ดทุกคนโดยเฉพาะพี่ชายของตัวเองที่สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยที่ลุยเดี่ยวไม่ต้องมีคนมาคอยสนับสนุนมาแต่ไหนแต่ไร
แต่กับยูโตะนั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะหากไม่ได้ยูโตะแล้วละก็เขาก็คงไม่มีวันที่จะได้ก้าวเข้ามาในตำแหน่งนี้อย่างแน่นอนเพราะการสนับสนุนของยูโตะที่เวลาทำพลาดก็มักจะช่วยเขาแก้ไขอยู่เสมอรวมถึงคอยเป็นกำลังใจและมักจะเตือนสติให้ในเวลาที่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงด้วย
จะว่าไปพอมานึกตอนนี้ก็อดขำไม่ได้เหมือนกันในตอนที่เจอกับยูโตะครั้งแรกนั้นเซจิโร่เดินเข้าไปหาเพราะคิดว่าเป็นพี่ชายของตัวเองไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่ความรู้สึกของเซจิโร่นั้นบอกว่าคนๆนี้คล้ายพี่ชายตัวเองมากเลยทีเดียว
ในภายหลังถึงได้มารู้ว่ายูโตะนั้นเป็นคนที่ฉายเดี่ยวในภารกิจตลอดมาเพราะแม้เจ้าตัวจะสุภาพก็ตามแต่ก็ไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียวอีกทั้งยังแทบจะทำงานร่วมกับใครไม่ได้เลยด้วยแม้จะฝีมือดีก็ตามแต่ในทุกครั้งยูโตะมักจะเล่นงานเพื่อนร่วมหน่วยของตัวเองจนเคยถูกลงโทษมาแล้วด้วยซ้ำ
ที่เป็นแบบนี้ส่วนนึงเป็นเพราะนิสัยของเจ้าตัวเองยูโตะนั้นในสมัยก่อนมักชอบทำงานยากๆที่ท้าทายเป็นคนแรกเลยที่กล้าขอรับภารกิจระดับBทั้งที่ในตอนนั้นเพิ่งเข้าหน่วยทหารมนตรามานอกจากจะขอรับภารกิจยากๆยังไม่พอในภารกิจง่ายๆบางครั้งเจ้าตัวก็ทำให้ยากขึ้นเองอีกด้วย
อย่างภารกิจกวาดล้างศัตรูนั้นก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยูโตะปล่อยให้ศัตรูรอดมือไปแล้วรอให้ไปตระเตรียมกำลังพลเอาไว้ให้พร้อมจนภารกิจง่ายๆกลายเป็นภารกิจที่ยากขึ้นมาทันตาหรือภารกิจส่งของที่เขาเคยปล่อยให้ของที่ต้องคุ้มกันหลุดมือแล้วไปตามชิงกลับมาแทน
เจ้าตัวให้เหตุผลว่างานมันง่ายไปเลยเพิ่มความท้าทายให้ตัวงาน ทุกงานที่ยูโตะรับนั้นถ้าไม่ใช่งานหินๆหรือต้องเสี่ยงอันตรายเจ้าตัวจะทำแบบนี้เสมอและหากว่าพรรคพวกถ่วงแข้งถ่วงขาหรือคิดขัดขวางการกระทำของเขายูโตะก็จะหันกลับมาเล่นงานพรรคพวกตัวเองด้วย ทำให้ในสมัยก่อนนั้นแม้ว่าฝีมือของยูโตะจะโดดเด่นมากก็ตามแต่ก็ไม่ได้รับพิจารณาให้เข้าหน่วยทั้งเจ็ดจากนิสัยส่วนตัว
จนกระทั่งได้มาเจอกับเซจิโร่เองในตอนแรกนั้นเซจิโร่ตกลงไปทำภารกิจกับคนๆนี้เพราะเห็นว่าน่าสนุกดีสร้างความตะลึงให้กับคนอื่นๆมากกระทั่งพี่ชายของเซจิโร่เองยังออกปากว่าอย่าทำงานร่วมกับยูโตะเพราะมันอันตรายแต่เขาก็ยังดื้อไปจนได้
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันตัวเขาในตอนนั้นถึงได้อยากทำงานร่วมกับคนๆนี้มากขนาดนี้มันเหมือนกับว่าไม่ว่าจะยังไงก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆและก็เป็นจริงตามคำล่ำลือยูโตะในตอนนั้นแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มของศัตรูแล้วแกล้งเผยตัวออกมาเองสร้างสถานการณ์เสี่ยงตายให้กับตัวเองอีกครั้ง
‘ถ้ากลัวจะกลับไปก่อนก็ได้นะครับผมไม่ห้าม ผมจะไปชิงของนั่นมาเอง แล้วจะมาลงชื่อร่วมเป็นคนทำภารกิจกับผมก็ได้ ผมไม่แคร์เรื่องเงินอยู่แล้วแต่ถ้ามาถ่วงผมล่ะก็ ผมไม่เอาคุณไว้แน่’ สีหน้าของยูโตะยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นเดิมเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติหากแต่จิตของเจ้าตัวบ่งบอกเลยว่าเอาจริงแน่นอน
‘ถามสักคำได้ไหม ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ’ แม้จะเคยได้ยินคำร่ำลือมาแล้วก็ตามแต่ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมยูโตะถึงได้ต้องมาทำอะไรแบบนี้เพราะนี่มันอาจทำให้ภารกิจล้มเหลวเลยก็เป็นได้
‘ผมมั่นใจในฝีมือของตัวเองน่ะครับว่าต่อให้ในสถานการณ์แบบนี้มันก็ต้องสำเร็จแน่ งานแบบนั้นอาจจะง่ายกว่าก็จริงแต่ผมไม่ต้องการทำงานที่ไร้คุณค่าแบบนั้น ผมต้องการทำอะไรที่มีความหมายไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเงินหรืออำนาจแต่เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่า และนี่แหละครับคือความหมายในการมีชีวิตของผม’ เป็นแนวคิดที่บ้าระห่ำและคลุ้มคลั่งจนน่าหวาดกลัวกับคนที่มีแนวคิดเช่นนี้ได้โดยเฉพาะรอยยิ้มและดวงตาสีอำพันที่ฉายชัดถึงความตื่นเต้นและสนุกสนานตามที่ว่าเอาไว้แม้ว่านี่จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายก็ตาม
‘อืม ฟังดูเข้าใจยากจังเลย’ แน่นอนโดยส่วนตัวของเซจิโร่นั้นไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นักหรอกเพราะชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุข พ่อกับแม่ทั้งสองคนของเขารวมถึงพี่ชายที่แม้จะต่างมารดาแต่ก็รักใคร่เขาเป็นอย่างดีส่วนยูโตะไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาไม่ได้คิดจะให้ใครมาเข้าใจความสุนทรีย์เฉพาะด้านแบบนี้ของตัวเองเหมือนกัน
‘แต่ฉันขอเข้าร่วมภารกิจด้วยนะ ถ้ามันสนุกตามที่นายว่าจริงก็แบ่งปันความสนุกนี้ให้ฉันด้วยก็แล้วกัน’ แต่ประโยคถัดมาของเซจิโร่นั้นทำให้คนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไรก็ยังคงสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ได้นั้นเกิดอาการชะงักไปวูบนึง
‘หายากนะครับเนี่ยที่จะมีคนที่มาเข้าใจถึงเรื่องนี้แล้วทำตามแบบผม’ ปกติแล้วในยามที่เขาอธิบายแนวคิดแบบนี้ออกไปแทบทุกคนล้วนแล้วแต่หลีกหนีหรือไม่ก็ออกห่างจากเขาจนหมดนี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่มีคนร่วมทางกับเขาต่อหลังได้เห็นตัวตนของเขา
‘ไม่เลยขอยืนยันนะว่าไอ้ที่ว่ามาน่ะไม่เข้าใจสักนิดแต่ อืม จะพูดไงดีละ มันก็อธิบายไม่ได้หรอกนะแต่คิดว่าถ้าลองทำอะไรร่วมกับนายอาจเข้าใจในตัวนายมากขึ้นก็ได้’
‘เข้าใจในตัวผม? จะเข้าใจไปทำไมหรือครับ’ เขากลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าทำไมคนข้างตัวถึงได้ต้องมาทำความเข้าใจในตัวของเขาด้วยตอนแรกเขานึกเสียอีกว่าได้มาเจอคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตของตนเองแต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นแบบนั้น
‘เอ จะให้บอกตามตรงไหมอะ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าถ้าฉันพูดออกไปแล้วจะไม่โกรธน่ะ’ แน่นอนโดยส่วนลึกแล้วเขาก็มีเหตุผลอยู่แต่ออกจะเป็นเหตุผลที่ดูประหลาดไปสักหน่อยทำให้ไม่มั่นใจว่าบอกออกไปแล้วจะโดนโกรธหรือเปล่า
‘บอกมาเถอะครับ ผมไม่โกรธหรอก’ หลายวันมานี้เขาชินกับนิสัยแบบนี้ของเซจิโร่แล้วจึงไม่ได้มีอาการแปลกใจกับท่าทางที่เหมือนเด็กเกินไปของเจ้าตัวแต่เขาอยากรู้มากกว่าว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ต้องการเข้าใจในตัวตนของเขาแบบนี้
‘ฉันรู้สึกว่าฉันปล่อยนายไปไม่ได้ นายน่ะเหมือนกับว่ากำลังปฏิเสธการมีชีวิตของตัวเองกลายๆยังไงก็ไม่รู้สิ เหมือนกับคนหลงทางที่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อเลยเลือกเข้าไปในเส้นทางที่อันตรายเพราะคิดว่าบางทีนั่นอาจทำให้ค้นพบในสิ่งที่ตัวเองต้องการก็ได้ ฉันรู้สึกแบบนี้นะ อย่าโกรธนะฉันพูดไปตามที่คิดจริงๆ’ มันเป็นความรู้สึกที่หลายวันมานี้เขารู้สึกมาตลอดยามที่ได้อยู่ข้างๆคนผู้นี้แม้จะไม่ได้พูดออกมาโดยตรงก็ตามแต่ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้เซจิโร่รู้สึกอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆแม้จะไม่รู้ว่าตนทำอะไรได้หรือเปล่าแต่ก็อยากจะช่วย
‘หึๆ ฮะๆๆๆ ไม่ได้ยินคนพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะครับเนี่ย’ ไม่มีความโกรธใดๆ ตรงข้ามเจ้าตัวกลับหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำสร้างความแปลกใจให้กับเซจิโร่เป็นอย่างมากแต่อย่างน้อยก็ยังดีละนะที่อีกฝ่ายไม่โกรธคำพูดของเขา
‘ถึงจะไม่ตรงกับแนวคิดผมเท่าไหร่แต่ต้องยอมรับเลยครับคนที่กล้าวิจารณ์ผมตรงๆแบบนี้ นับแต่นี้ไม่ต้องเรียกนามสกุลแล้วก็ได้ เรียกผมว่ายูก็พอ’ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยูโตะอีกครั้งแต่ในคราวนี้มันเป็นรอยยิ้มจากใจจริงของเจ้าตัวพร้อมกับที่เขายอมรับในตัวของเซจิโร่กลายๆ
‘อืม งั้นเรียกฉันว่าเซจิก็พอนะ ยูจัง’ แม้ว่ายูโตะจะขมวดคิ้วกับคำเรียกนั้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนับแต่วันนั้นเขากับยูโตะก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดเป็นคู่หูที่ทำงานร่วมกันจนในที่สุดพวกเขาก็สามารถไต่เต้ามาถึงระดับหัวหน้าหน่วยได้สำเร็จ
“สำหรับฉันแล้วยูโตะเป็นเพื่อนคนสำคัญเลยล่ะ เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆและไว้ใจได้เสมอ ถึงตอนแรกที่เป็นคู่หูกันต้องมาปรับนิสัยการทำงานกันยกใหญ่ แต่ยูโตะก็เป็นคู่หูคนสำคัญที่หาใครมาแทนไม่ได้แล้วจริงๆ” สำหรับเขาแล้วยูโตะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งคู่หูและพี่ชายอีกคนที่คอยอยู่ข้างๆเสมอมาให้ความรู้สึกอีกแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกกับพี่ชายมาก่อนแต่เขาก็รู้สึกดีใจที่ยูโตะยังคงอยู่ข้างๆเสมอมาและถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้มันเป็นแบบนั้นเสมอไป
“ไม่หรอกเรื่องนั้นพี่ก็เข้าใจดีเลยล่ะ เพราะเราสองคนน่ะเหมือนกับพี่และเรย์นั่นแหละ” แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นคู่หูที่รู้ใจกันขนาดนั้นแต่พอได้ฟังจุดเริ่มต้นที่เซจิโร่เล่าให้ฟังนั้นทำให้เขาอดที่จะหวนคิดถึงวันแรกที่เขาเจอกับเรย์ไม่ได้เหมือนกัน
โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าที่หลังมือขวาของทั้งสองคนนั้นส่องแสงออกมาอย่างแผ่วเบาและเลือนลางจนแทบไม่มีใครจะสังเกตเห็นได้กระทั่งตัวของทั้งสองเองยังไม่ได้รับรู้ถึงตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนหลังมืออยู่ชั่ววูบนึงก่อนจางหายไปในเวลาไม่นาน
“ขอร้องๆ ขอร้องล่ะปล่อยฉันไปเถอะ ฉันยังมีลูกเมียที่ต้องดูแลนะ” เสียงร้องไห้อ้อนวอนของชายผู้หนึ่งในขณะที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยแม้ว่าเขาจะเคยมั่นใจในพลังวัตรของตัวเองและคนคุ้มกันก็ตามแต่มาวันนี้มันไม่เป็นแบบนั้นเลยเพราะเหล่าคนคุ้มกันของเขาต่างถูกเข่นฆ่าจนหมดในเวลาไม่ถึงสองนาที
“เอ้าๆ จะหนีทำไมละครับ บาปกรรมที่คุณได้ทำเขาได้มาทวงสิ่งที่คุณพรากไปจากเขาแล้วก็เท่านั้นเอง คุณน่าจะเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำชั่วแล้วนะครับเนี่ย” แต่มันก็ไร้ประโยชน์ร่างที่เขาวิ่งหนีนั้นมาดักอยู่เบื้องหน้าของเขาเป็นที่เรียบร้อยราวกับว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางหนีมัจจุราชผู้นี้ได้พ้น
คนเบื้องหน้าอยู่ในชุดสีดำสนิททั้งชุดราวกับเป็นความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้งน้ำเสียงที่แม้จะสุภาพแต่การลงมือกลับอำมหิตจนน่าสะพรึงกลัว หน้ากากของเขานั้นมีลวดลายดาบสีอ่อนจางจนแทบมองไม่เห็นสองเล่มที่ไขว้กันอยู่ด้วย
“คุณก็น่าจะรู้นี่ครับว่าทำไมคุณถึงถูกเพ่งเล็ง แกรอน เฮเวส คุณน่ะเป็นผู้พิพากษาแท้ๆแต่ดันรับใต้โต๊ะทำให้คนผิดหลายคนหลุดรอดจากความผิดไปได้ แถมยังปั้นเรื่องโยนความผิดให้แพะรับบาปที่ไม่รู้เรื่องต้องเข้าคุกคุณยังไม่เห็นใจพวกเขาเลย ทำไมผมต้องเห็นใจเดนมนุษย์อย่างคุณด้วยล่ะครับ” แม้คำพูดจะสุภาพแต่ทุกประโยคนั้นเสียดแทงเขาทุกคำเพราะมันเป็นความจริงทุกอย่างทำเอาชายคนนั้นได้แต่นิ่งงัน
“คะ แค่นั้นใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้นล่ะน่า” แต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะสำนึกทั้งยังอ้าปากเถียงมือสังหารที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองต่ออีกอันที่จริงแล้วมันก็ส่วนนึงเพราะในปัจจุบันนั้นขุนนางและข้าราชการจำนวนมากก็รับสินบนเป็นว่าเล่นจริงๆ
“จริงๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับผมหรอกนะครับ ไอ้เรื่องพวกนั้นเพราะพวกนั้นก็ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักซะด้วยไม่มีความจำเป็นต้องให้ผมลงมือเลยสักนิด แต่สิ่งที่คุณกำลังจะทำต่อจากนี้ก็คือการตัดสินให้เรื่องยื่นฟ้องของพวกกองกำลังต่อต้านดินแดนยกฟ้องน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้ครับ คุณก้าวล้ำเส้นที่พวกเราขีดเอาไว้เข้ามาแล้ว และจุดจบเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ความตาย” น้ำเสียงแสนสุภาพแต่ทำเอาคนฟังหนาวไปถึงไขสันหลังเพราะมือที่อยู่ในถุงมือสีดำคู่นั้นดับชีวิตไปนับสิบในเวลาไม่กี่วินาทีต่อหน้าเขานี่เอง
“ขะ ขอร้องล่ะฉันจะกลับตัวเป็นคนดี ไม่ทำแบบนี้อีก ฉันจะส่งพวกมันเข้าตารางให้หมดเพราะงั้นแหละ ปล่อยฉันไปเถอะ” แม้จะเป็นการกระทำที่น่าทุเรศแต่ถ้ามันทำให้เขารอดไปได้เขาก็จะทำแต่นั่นยิ่งทำให้มือสังหารนั้นมีแต่ความสมเพศเสียมากกว่า
“ทำไมเวลาคุณทำชั่วถึงไม่คิดว่าสักวันคุณจะโดนพิพากษาล่ะครับ คุณควรจะคิดไว้ซะด้วยนะครับว่าคนที่เข่นฆ่าผู้คนน่ะ ต้องเตรียมใจที่จะถูกฆ่าเอาไว้ด้วย” ร่างในชุดดำก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายที่พยายามจะวิ่งหนีพร้อมวาดฝ่ามือของตนเข้าใส่ลำคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด
เพียงแค่ครั้งเดียวคอของร่างเบื้องหน้าก็หลุดกระเด็นออกมาอยู่บนพื้นพร้อมกับเลือดีแดงฉานที่พุ่งออกมาจากคอปราศจากศรีษะเป็นน้ำพุแต่แน่นอนว่ามันไม่ได้เปื้อนร่างของมือสังหารผู้นี้เลยแม้แต่หยดเดียวเพราะเขาหลบหลีกออกมาได้เสียก่อน
“อืม เป็นข้อมูลที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยนะครับเนี่ยก็แค่ค่าใต้โต๊ะที่ถูกเอามาใช้บังหน้า ปล่อยเอาไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายทุ่นแรงพวกเบื้องหลังไม่ต้องไปนั่งขุดขุ้ยหลักฐานเอาเองด้วย” เอกสารในกระเป๋าทั้งหมดของคนที่ตนสังหารไปถูกกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจหากเขาไม่เผลอไปเห็นเอกสารอีกแผ่นสุดท้ายเข้า
“เดี๋ยวก่อนนี่มัน” แม้จะไม่แน่ชัดแถมยังไม่มีอะไรยืนยันเป็นรูปธรรมแต่เขากลับรู้สึกถึงอะไรที่มันแปลกกว่าปกติดวงตาภายใต้หน้ากากหรี่ลงเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาไม่ใช่สายวิเคราะห์ข้อมูลพวกนี้อีกทั้งเขาไม่ได้มีความรู้มากพอที่จะอ่านสิ่งที่อยู่ภายในออกจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วไอ้สิ่งที่เขาติดใจคืออะไรกันแน่
“แถมยังลางสังหรณ์นี้บวกกับคำพูดของเมจิเชี่ยนและจัสติสที่เคยเตือนไว้ก่อนหน้า มีค่ามากพอให้ตรวจสอบดูละนะครับ” เขาเก็บเอกสารชุดนี้เอาไว้ก่อนทะยานร่างออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งศพของผู้พิพากษาคนนั้นเอาไว้อย่างไม่ใยดีก่อนเตรียมส่งข้อมูลที่ตนได้รับไปวิเคราะห์ต่อในภายหลัง
