chapter8-1
ในขณะที่ทางด้านของพวกคาซึกิและอลันกำลังทำภารกิจกันอย่างยากลำบาก(หรือเปล่า?)ตัวของเรย์เองก็ช่วยงานของร้านด้วยเช่นกันแต่ในวันนี้นั้นร้านอาหารของเขากลับแน่นขนัดไปด้วยลูกค้ามากกว่าเก่าเนื่องจากมีสาวน้อยสามคนที่มาเป็นเด็กเสริฟ
“เฮ้อ รู้สึกว่าร้านอาหารของเรานี่คนจะเยอะกว่าปกติเกินไปหรือเปล่าหว่า?” วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดเมดเหมือนเคยเขาสวมแค่ชุดผ้ากันเปื้อนธรรมดาเท่านั้นเนื่องจากพนักงานในร้านมีถึงสี่คนแล้วเขาจึงหันมาช่วยพี่ไรอาที่ครัวดีกว่า
“คิกๆ สามคนนั้นน่ะน่ารักกันไปคนละแบบเลยเป็นที่นิยมมากล่ะมั้งจ๊ะ ยังไม่รวมคานาเดะอีกนะ” ต้องยอมรับว่าแม่น้องสาวสามคนนั้นเป็นสไตล์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างเรเดียนั้นเป็นสาวน้อยที่ร่าเริง มองโลกในแง่ดีแถมยังใสซื่อจนเหมือนกับเด็กเล็กๆ
ส่วนเนียร์น้องสาวของเจ้าครอสนั้นจะเป็นรูปแบบที่ต่างออกไปเพราะเธอเหมือนสาวที่เหนียมอายจนดูเหมือนไม่อยากมาทำงานแต่นั่นแหละเสน่ห์ในแบบของตัวเธอเอง ทางด้านของนาโอะนั้นออกแนวสาวเรียบร้อยน่ารัก สุภาพและอ่อนหวานทั้งยังใจดีกับทุกๆ คนนั่นคือจุดที่ทำให้พวกเธอน่ารักกันไปคนละแบบ
สำหรับคานาเดะนั้นแต่เดิมเธอค่อนข้างมีนิสัยเป็นเด็กแต่เพราะต้องมาอยู่กับเรเดียจึงต้องคอยเป็นคนปรามแม่ตัวน้อยนี่อีกคนในบางโอกาสเธอจึงเหมือนพี่สาวของกลุ่ม แต่ก็อีกนั่นแหละตัวเธอใช่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ดีทำให้เธอดูเหมือนพี่สาวที่ตามใจน้องมากกว่า
“แต่ก็เอาเถอะนะ โชคดีที่คนเริ่มซาลงแล้ว พี่ไรอาจะไปพักสักหน่อยไหมครับ เดี๋ยวที่เหลือผมทำต่อเองก็ได้” จำนวนลูกค้าในตอนนี้เริ่มลดลงมากแล้วเนื่องจากผ่านเวลาอาหารเที่ยงไปอีกทั้งยังมีเจ้าคนที่ทำหน้าที่คอยไล่แขกกรายๆอย่างครอสมาคุมไว้อีกฉันด้วยถึงเขาจะไม่ชอบใจที่มันมาไล่ลูกค้าเท่าไหร่แต่ต้องยอมรับว่าการที่เจ้านี่มาคุมทำให้เขาหมดกังวลเรื่องความปลอดภัยภายในร้านเลยทีเดียว
“ไม่หรอก นี่มันร้านอาหารของพี่นะพี่ต้องเป็นคนทำสิ เราต่างหากละไปพักได้แล้วนะ ที่เหลือพี่จัดการเอง” นานๆ ทีน้องชายของเธอจะมีวันหยุดแบบที่ให้เขาสามารถใช้เวลากับตัวเองได้เต็มที่แบบนี้ทั้งทีเพราะปกติแล้วเรย์มักมาช่วยงานในร้ายเสมอพอวันหยุดของร้านก็เอาแต่เล่นกับเรเดียอยู่ตลอด เธอจึงอยากให้น้องชายของเธอพักผ่อนตามใจตัวเองมากกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับมันไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อย แถมผมก็อยากช่วยด้วย” ตอนแรกเขาอยากจะให้พี่ไรอาได้พักบ้างเพราะเธออยู่ในครัวเกือบจะทุกวันแต่ไม่รู้ทำไมไปๆมาๆเขาถึงได้กลายมาเป็นฝ่ายถูกไล่ให้ไปพักเสียได้
“ไม่-มี-แต่-จ๊ะ นี่เป็นร้านอาหารของพี่นะเพราะงั้นพี่ขอตัดสินใจแบบเผด็จการสักหน่อยแล้วกัน” เธอโยกนิ้วไปมาเบาๆราวกับไม่ต้องการให้เขาปฏิเสธหากแต่ท่าทางที่เธอทำเช่นนั้นในขณะที่ยังใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่มันดูน่ารักขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว
และในที่สุดเรย์ก็ถูกบังคับให้จำยอมไปพักจากท่าทางของพี่สาวตัวเองเสียได้แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตนจะไปไหนดีเพราะตามปกติแล้วเวลาว่างของเขาก็มักจะหมดไปกับการช่วยงานที่ร้านและเล่นกับเรเดียจริงๆนั่นแหละ
“ไปไหนดีน่อ แวะเที่ยวเล่นบ้านเอย์จิดีไหมแต่จะว่าไปเราก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยจริงๆ” ชีวิตวัยรุ่นของเรย์นั้นหากจะบอกว่าจืดชืดก็อาจใช่เพราะโดยส่วนมากแล้วเขาหมดเวลาไปกับการฝึกฝน การต่อสู้และการอยู่ร่วมกับพี่น้องของเขาทำให้ไม่รู้เลยว่าตนจะทำอะไรดี
ในที่สุดเรย์จึงตัดสินใจจะไปแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นักเพราะเขาคิดว่าบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบสงบแถมปลอดคนจะได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้สบายอารมณ์แถมบริเวณนั้นก็ร่มรื่นย์ไม่ต่างอะไรจากสวนสาธารณะหรืออาจร่มรื่นย์กว่าด้วยซ้ำเพราะในบริเวณนั้นมีแม่น้ำไหลผ่านอีกต่างหาก
หากแต่เมื่อเดินไปถึงที่นั่นเขาจึงได้พบร่างหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นก่อนแล้วเป็นร่างๆหนึ่งที่อยู่ในชุดลำลองธรรมดาร่างนั้นกำลังนั่งอยู่บนทุ่งหญ้า เรือนผมสีเงินที่ใกล้จะยาวจนถึงสะโพก ดวงตาสีฟ้าสดใสจนส่องประกายคล้ายกับน้องสาวของเขาแต่น่าเสียดายที่ด้วยลักษณะนิสัยของเจ้าตัวทำให้มันดูเย็นยะเยือกขึ้นมาแทน ใบหน้าที่นับได้ว่าสวยเฉียบจนผู้หญิงจริงๆยังต้องอายชนิดที่เรียกได้ว่าต่อให้เป็นผู้ชายก็ยังสวย
หมอนี่คือทหารมนตราที่รับงานอิสระอาซามะ ยูสึเกะ แม้จะเห็นหน้าตาสวยเฉียบจนราวกับผู้หญิงเช่นนี้แต่แท้จริงแล้วเจ้าตัวเป็นผู้ชายแต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบมีการตั้งฉายาอย่างลับๆเจ้าหญิงหิมะ ด้วยนิสัยที่เย็นชาไม่สนใจสิ่งใดในโลกซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบวกกับมนตราธาตุพิเศษที่เข้ากับนิสัยสุดๆอย่างน้ำแข็งทำให้หมอนี่ได้รับฉายานี้ไปโดยปริยาย
ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอดูถูกความสามารถของยูสึเกะไปเสียหน่อยเพราะแค่เพียงเขาเผลอหย่อนการระวังตัวไปชั่วครู่เจ้าตัวก็ตวัดดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมายังทิศทางที่เขาอยู่พร้อมซัดศรน้ำแข็งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมสักนิด
แน่นอนว่าการโจมตีเพียงเท่านี้นั้นย่อมทำอะไรเขาไม่ได้ต่อหน้าโล่มนตราที่ถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทหารมนตราด้วยกันแค่เขาโบกมือทีนึงก็สามารถต้านทานศรน้ำแข็งของอีกฝ่ายไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
“ใจเย็นก่อนน่า นี่ฉันเอง” แม้จะต้านการโจมตีระลอกนี้ได้แต่ถ้าอีกฝ่ายยังระดมโจมตีต่อไปก็ไม่แน่เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงหลีกเลี่ยงปัญหาเช่นนั้นโดยการเดินออกไปโดยตรงเลยจะดีกว่าส่วนทางด้านของเจ้าตัวที่เห็นดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“คิดจะทำอะไรถึงหลบซ่อนลับๆ ล่อๆ” น้ำเสียงเย็นเยือกหลุดออกมาจากริมฝีปากบางดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยพอใจที่เขามาแอบดูเช่นนี้แต่อันที่จริงแล้วเขาก็แยกไม่ออกหรอกว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหนเพราะน้ำเสียงของยูสึเกะนั้นเย็นเยียบเช่นนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
“เปล่าๆ ก็แค่เห็นนายเหมือนกำลังหลับสบายเลยไม่อยากจะกวน” เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้นคราวนี้เรย์จึงเดินออกไปแสดงตัวตรงๆโดยไม่หลบซ่อนอีกต่อไปก่อนเข้าไปนั่งด้านข้างแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ชอบใจเท่าไหร่เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายยังคงเย็นชาอยู่ดีแต่อันที่จริงสีหน้าของหมอนี่มันก็เย็นชาตลอดเวลาอยู่แล้วด้วยสิ
“ใครใช้ให้นายมานั่งตรงนี้” ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาจะเดาถูกเพราะเจ้าหมอนี่นั้นจะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเด่นชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิรอบตัวของเขาที่เริ่มลดลงนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์อันขุ่นเคืองของเจ้าคนข้างตัวได้เป็นอย่างดี
“ก็นะนี่มันที่สาธารณะไม่ใช่ของนายสักหน่อย ถ้าอยากไล่จริงๆก็ไปซื้อที่แถวนี้สิ” เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแม้อุณหภูมิรอบตัวจะเริ่มลดต่ำลงไปอีกก็ตามแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาไอเย็นก็เริ่มสลายไปเพราะเจ้าตัวเลิกจะสนใจเขาที่มักชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนด้วยทุกครั้งที่เจอแล้วมากกว่า
“เมื่อไหร่นายจะยอมเข้ามาอยู่ในหน่วยที่สี่ฟะ หน่วยของฉันยังยินดีต้อนรับนายอยู่เสมอนะพวก” เจ้าหมอนี่เป็นคนที่เขาชวนให้มาเข้าร่วมหน่วยที่สี่มาตลอดแทบจะทุกครั้งที่ได้เจอเลยก็ว่าได้แต่จวบจนปัจจุบันเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่เคยตอบตกลงเลยแม้แต่น้อยนิด
“ก็ได้สมาชิกใหม่ไปแล้วไม่ใช่รึไง” และก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเจ้าตัวยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไม่ได้แม้แต่จะปรายตามองแต่ทางด้านของเรย์กลับไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นลักษณะนิสัยของตัวหมอนี่เอง
“รูปแบบการต่อสู้ของนายกับคาซึกิน่ะต่างกัน ดังนั้นหน้าที่ไม่ซ้ำซ้อนกันหรอกน่า อีกอย่างคนเป็นหัวหน้าคือฉัน ถ้าจะใช้อำนาจบาตรใหญ่จริงๆ ใครจะทำไม” ถึงไม่คิดว่าจะมีใครค้านก็เถอะเพราะอลันนั้นไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจะชวนให้เจ้าหมอนี่เข้ามาร่วมหน่วยส่วนคาซึกิเดี๋ยวเขาอธิบายดีๆก็น่าจะพอไหว
รูปแบบการต่อสู้ของคาซึกินั้นเป็นประเภทที่ใช้วิชาดาบเป็นแกนหลักและมนตราเป็นตัวเสริมทำให้ได้การโจมตีที่หลากหลายและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอีกทั้งยังร่ายมนต์ได้ไวทำให้เหมาะมากในการรุกไล่ศัตรูหรือไม่ก็ปะทะกับศัตรูที่มีความเร็วสูงๆซึ่งต้องยอมรับว่าเหมาะกับทีมของเขาที่ขาดความเร็วในการพุ่งเข้าใส่ศัตรูเป็นอย่างมาก
ส่วนยูสึเกะนั้นทั้งความสามารถในสายกระบวนท่าและพลังมนตราจัดอยู่ในสายสมดุลที่เด่นทั้งสองอย่างแถมยังออกจะเอนไปทางพลังมนตรานิดๆด้วยซ้ำทำให้มีพลังโจมตีที่รุนแรงและเฉียบคม อีกทั้งมนตราของเจ้าตัวยังเป็นธาตุพิเศษอย่างน้ำแข็งที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านหยุดยั้งศัตรูเป็นสิ่งที่มนตราธาตุแสงไม่มีอีกด้วย
“เป็นหัวหน้าที่น่าสรรเสริญซะเหลือเกินนะ” ถ้อยคำนั้นจิกกัดเขาสุดฤทธิ์แต่เรย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนิสัยของยูสึเกะนั้นเป็นแบบนี้มานานโขแล้วและเขายอมรับนิสัยนี้ได้หากว่าต้องการให้เจ้าตัวเข้ามาร่วมในหน่วยที่สี่แล้วล่ะก็
“เอาน่าไม่มาอยู่ในหน่วยของฉันหน่อยเหรอ สนุกนาบอกให้ เรื่องอะไรที่ฉันช่วยได้ฉันก็จะช่วย” มันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วสำหรับเขาในยามที่คนในหน่วยของตนเองเดือดร้อนเขาก็ต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอนแม้จะไม่มั่นใจว่าจะช่วยได้เท่าไหร่ก็ตาม
“ขอปฏิเสธ ฉันเกลียดนาย” เป็นคำปฏิเสธที่แทบจะตัดขาดซึ่งเยื่อใยทั้งหมดก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้เพียงเรย์ที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าอยู่เช่นเดิมดวงตาสีฟ้าครามของเขาตวัดสายตามองตามไปยังร่างของอีกฝ่าย
“นายนี่มันดื้อจริงน้า” แม้จะถูกพูดแบบนั้นใส่แต่เรย์กลับไม่ได้รู้สึกโกรธอีกฝ่ายเลยสักนิดเพราะเขายอมรับในตัวของอีกฝ่ายแล้วแค่คำพูดเท่านี้นั้นเขาไม่สามารถทำให้เขาโกรธอีกฝ่ายจริงจังได้หรอกอย่าว่าแต่คำพูดนั้นเขามองออกว่าไม่ได้มาจากใจจริงเลย
“การอยู่ตัวคนเดียวน่ะมันเหงานา แล้วนายก็ไม่เหมาะกับอะไรแบบนั้นเหมือนฉันหรอก เชื่อเถอะน่า” เป็นคำพูดที่เขาไม่เคยบอกกับเจ้าตัวเลยเพราะรู้ดีว่าถ้าพูดแบบนี้ออกไปเจ้าหมอนั่นจะต้องแช่แข็งเขาอย่างแน่นอนแต่ถึงแบบนั้นเขาก็จะยังคงชวนให้หมอนี่เข้าร่วมหน่วยของเขาต่อไป
หลังจากที่เขานอนเอกเขนกอยู่ที่นี่พักใหญ่เขาจึงกลับไปช่วยงานที่ร้านอีกครั้งหนึ่งซึ่งเขาเล็งไปในช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะพร้อมกับช่วยงานในครัวกับพี่ไรอาอีกครั้งซึ่งคราวนี้เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรจนในที่สุดวัตถุดิบก็หมดร้านจนได้
“นานแล้วนะเนี่ยที่ไม่ได้ขายจนวัตถุดิบหมดร้านแบบนี้” ปกติแล้วร้านของเขาจะมีของเตรียมไว้ล่วงหน้าในระดับนึงหากแต่ในวันนี้นั้นของสดทุกอย่างหมดเกลี้ยงจากการที่มีลูกค้าจำนวนมากกว่าปกติที่ควรจะเป็น
“ขอบคุณมากนะคะพี่ไรอา ที่อุตส่าห์ทำอาหารให้ฉันเอาไว้แถมยังทำเผื่อท่านพี่ด้วย” ลูกจ้างชั่วคราวอย่างนาโอะที่ตอนแรกถูกเรเดียเรียกมาช่วยงานนั้นไม่ได้หวังค่าจ้างตอบแทนไม่ใดๆ เลยแค่ได้รับอาหารจากพี่สาวของเขาเท่านั้นแต่เธอก็ขอบคุณพี่สาวของเขาอย่างไม่ขาดปาก
“ไม่หรอกจ๊ะเราอุตส่าห์มาช่วยงานทั้งทีแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” อันที่จริงเธอควรให้ค่าจ้างเด็กคนนี้ด้วยซ้ำไปแต่นาโอะนั้นปฏิเสธอย่างเต็มที่ว่าเธอจะไม่รับค่าจ้างโดยเด็ดขาดทำให้ไรอาตอบแทนโดยทำอาหารให้เด็กคนนี้กับพี่ชายแทน
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ไรอา” เธอโค้งคำนับให้กับพี่สาวของเรย์ก่อนที่เธอจะออกปากลาคนอื่นๆแล้วออกไปจากร้านโดยที่ในมือถืออาหารมื้อเย็นแสนอร่อยของตนเองและพี่ชายไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“งั้นก็กลับกันเถอะเนียร์ นี่ก็เย็นแล้วด้วย” เจ้าทหารมนตราว่างงานที่มานั่งเฝ้าน้องสาวของตัวเองทั้งวันนั้นเมื่อเห็นว่าน้องสาวของตัวเองบอกลากับคนในร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงพาน้องสาวของตนเองกลับบ้านหากแต่กลับมีมือน้อยๆมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ซะก่อน
“พะ พอดีลองทำดูแล้วมันเหลือ จะทิ้งไปก็เสียดายเลยเอาใส่กล่องมาให้” แม่น้องสาวที่แต่เดิมเคยไม่น่ารักมาบัดนี้กลับยื่นข้าวกล่องใบเล็กๆ ใบหนึ่งให้เขาพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยทำเอาครอสที่ได้ยินเช่นนั้นอดนิ่งค้างด้วยความตกใจไปชั่วครู่
แม้ปากจะบอกแบบนั้นแต่อาหารที่ถูกจัดวางในข้าวกล่องกลับดูน่ากินเป็นอย่างมาก ทั้งการจัดเรียงและหน้าตาของอาหารที่แม้จะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอาจมีไหม้บ้างแต่อย่างน้อยก็สามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของแม่น้องสาวของเขาเพราะแต่เดิมเธอไม่ถนัดทำอาหารได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่าเก่งแล้ว
โดยไม่รีรอครอสใช้ส้อมที่ยังไม่ได้ถูกจัดเก็บซึ่งอยู่ในจานของตัวเองจิ้มหมูทอดที่อยู่ในกล่องข้าวนั้นอย่างรวดเร็วก่อนส่งเข้าปากอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของแม่น้องสาวเจ้าของข้าวกล่องนี้ที่ราวกับรอคอยว่าพี่ชายของตนจะพูดเช่นไร
“เค็มแถมแข็งไปหน่อยนะ แถมหมูยังเหมือนจะทอดไม่สุกด้วย” เป็นคำวิจารณ์ที่ตรงเผงเสียเหลือเกินทำเอาเนียร์ได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจ เธอจะไปหวังอะไรกับอีตาพี่ชายใจดำคนนี้มากนักเพราะยังไงเสียก็คงวิจารณ์เธอจนไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว
“แต่ก็เอาเถอะยังไงเราก็พยายามเต็มที่แล้วล่ะ พี่จะกินให้หมดเลยก็แล้วกัน” เจ้าตัวเอื้อมมือไปคว้ากล่องข้าวในมือของน้องสาวตัวเองส่วนอีกมือนึงนั้นลูบหัวของเธออย่างแผ่วเบาไปด้วยแม้คำพูดจะฟังดูแล้วน่าโมโหแต่ถึงแบบนั้นก็ยังทำให้เธออดหน้าแดงไม่ได้
“กะ ก็บอกแล้วไงว่าของมันเหลือ พยายามอะไรกัน อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลยทะ ทำไมฉันต้องพยายามทำอาหารให้พี่กินด้วย” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวก้าวเท้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของครอสนั้นโบกมือลาคนในร้านทีนึงแล้วตามน้องสาวของตนเองไป
“เจ้าบ้านั่นเนี่ยน้า น้องสาวอุตส่าห์พยายามเต็มที่ทั้งที จะชมให้กำลังใจหน่อยก็ไมได้” แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนมากมายนักแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้โง่มากพอจะดูไม่ออกว่าเด็กคนนั้นต้องการคำชมจากพี่ชายของตัวเองหรอกไม่ว่าใครที่ทำอาหารครั้งแรกย่อมต้องอยากได้รับคำชมอยู่แล้ว
“แต่แค่นั้นหนูว่าเนียร์ก็ดีใจแล้วน้า” แม่น้องสาวจอมป่วนมองเพื่อนของตนเองออกด้วยความที่เป็นผู้หญิงด้วยกันแถมคบกันมาได้ตั้งสามปีแล้วทำให้เธอมองนิสัยของเพื่อนตนเองออกอย่างไม่ยากเย็นเลยสักนิดท่ามกลางสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยของผู้เป็นพี่ชาย
“แต่วันนี้สนุกซะเต็มที่เลยนะเรา” ในสายตาของเรย์แล้วไม่มีใครที่สนุกสนานอย่างเต็มที่มากเท่ากับน้องสาวของเขาอีกแล้วเพราะได้ทั้งเพื่อนเล่นแถมยังสามารถดึงเพื่อนๆของตัวเองมาแต่งชุดแบบที่ต้องการได้อีกด้วย
“อื้อ แถมได้รู้อะไรดีๆหลายเรื่องเลย อย่างนาโอะน่ะไม่นึกเลยจริๆว่าจะซ่อนรู...” ในขณะที่เธอกำลังจะบอกเล่าถึงเรื่องราวใหม่ๆ ที่ได้รับรู้ในวันนี้ออกมานั้นกลับมีมือของพี่สาวของตนเองมาปิดปากเสียก่อน
“เรเดียเรื่องแบบนี้เขาห้ามพูดออกมานะ แล้วก็ห้ามเอาไปบอกใครด้วย” แม้จะอายุสิบห้าแล้วแต่จิตใจของเรเดียนั้นยังเหมือนเด็กเล็กที่ไม่มีการระวังตัวในคำพูดและท่าทางของตัวเองสักนิดทำให้เธอต้องเตือนน้องสาวของตัวเองบ่อยๆส่วนแม่น้องสาวของเขาก็รับคำอย่างว่าง่าย
“นี่เรย์ลองชิมหน่อยสิ ฉันเพิ่งลองทำเป็นครั้งแรกน่ะ” เสียงที่ไพเราะและใสกังวานนั้นดังมาจากครัวก่อนที่ร่างของแม่สาวนักดนตรีที่ยังคงอยู่ในชุดเมดนั้นจะเดินออกมาพร้อมกับถือข้าวผัดจานหนึ่งมาด้วยก่อนที่จะยื่นมาให้เขาด้วยสีหน้าแจ่มใสสุดๆ
ตอนแรกเขาก็นึกอยู่เหมือนกันว่าไม่มีอาหารของคานาเดะเหรอทั้งที่เธอเป็นคนออกปากว่าจะมาเรียนทำอาหารแท้ๆและแน่นอนเมื่อเธอเอามาให้เขาชิมเขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธข้าวผัดถูกตักเข้าไปในปากของเขาอย่างรวดเร็ว
“รสชาติเป็นไงมั่ง” เธอดูลุ้นระทึกมาเลยทีเดียวกับการที่ตนเพิ่งทำอาหารครั้งแรกส่วนทางด้านของเรย์นั้นขมวดคิ้วขึ้นมานิดหน่อยในขณะที่กินเข้าไปก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆเคี้ยวและกลืนข้าวผัดที่ตนตักเข้าปากลงไปอย่างรวดเร็ว
“ก็นับว่าใช้ได้แหละ” หากไม่นับว่าข้าวแห้งไปนิดเพราะฝีมือการผัดของเจ้าตัวที่ไม่เคยชินกับการทำอาหารที่น่าจะใช้เวลาผัดนานจนเกินไปก็นับว่าใช้ได้แล้วสำหรับคนทำอาหารในครั้งแรกคาดว่าคงเป็นเพราะมีพี่ไรอาคอยสอนด้วยถึงออกมาได้ขนาดนี้
“ดีจังตอนแรกเห็นนายทำหน้าแบบนั้นแล้วนึกว่าจะไม่อร่อยซะอีก” สีหน้าของเรย์ในตอนแรกทำเอาเธอใจเสียไปนิดๆเพราะมันเหมือนกับบอกว่าอาหารของเธอไม่อร่อยเลยส่วนทางด้านของเรย์นั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยตอบกลับอะไรก่อนที่เขาจะกินข้าวผัดที่เธอเป็นคนทำจนหมด
