chapter7-1
ทางด้านของอลันก็ต้องมาทำงานร่วมกับหน่วยที่ห้าด้วยเช่นกัน แต่ต่างจากคาซึกิตรงที่ภารกิจของเขาเป็นภารกิจส่งของ ดังนั้นความยากจึงขึ้นอยู่กับของที่ต้องส่ง และตัวของผู้ว่าจ้างเองว่าจะมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า จะว่าไปมันก็ภารกิจที่กำหนดตัวแปรไม่ได้พอกับภารกิจคุ้มกัน แต่อาจจะหนักกว่านิดตรงที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของข้างในเป็นอะไร
“อะ รุ่นพี่อลันมาโน่นแล้ว” เสียงทักทายพร้อมการโบกมือให้จากแต่ไกลทำเอาอลันอดยิ้มไม่ได้ เพราะร่างที่ทักทายเขานั้นเป็นร่างของเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าน่ารักเหมือนกับตุ๊กตาดูราวกับเด็กผู้หญิง ผมสีฟ้าสั้นถึงประมาณท้ายทอย ดวงตาสีฟ้าสดใสจนเจ้าตัวแลดูน่ารักไม่สมชายเลยสักนิด บวกกับท่าทางร่าเริงและส่วนสูงที่ไม่มากและร่างที่เล็กนั้นจึงแทบไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงเลย
แต่แม้จะเห็นแบบนี้แต่เด็กคนนี้ก็สวมชุดทหารมนตรา แถมยังมีผ้าคลุมสีขาวไม่เข้ากับขนาดตัวที่มีสัญลักษณ์หยินหยางของจีน หรือก็คือผ้าคลุมของหัวหน้าหน่วยนั่นเอง ใช่แล้ว เด็กคนนี้คือหัวหน้าหน่วยที่ห้า ซาคายามะ เซจิโร่ ถึงภายนอกจะเป็นแบบนี้ก็ตาม หากแต่ฝีมือของเด็กคนนี้จัดได้ว่าเป็นของจริง เพราะขนาดไซอาเซีย คราซิสหัวหน้าหน่วยที่สามยังยอมรับในฝีมือ
และแน่นอนหากสังเกตนามสกุลให้ดี เด็กคนนี้มีนามสกุลเดียวกันไรชินหัวหน้าหน่วยที่หก ก็ไม่ใช่เพราะอะไรนอกเสียจากเป็นพี่น้องกัน เซจิโร่เป็นน้องร่วมสายเลือดเดียวกับไรชิน แต่บังเอิญเป็นน้องคนละแม่ถึงแบบนั้นทั้งสองพี่น้องก็สนิทรักใคร่กันเป็นอย่างดี
“รุ่นพี่อลัน ไม่ได้เจอกันซะนาน ตั้งแต่ภารกิจที่ลุยแก๊งค์โจรร่วมกันคราวที่แล้วเลย” ร่างเล็กตรงหน้าทักทายอย่างแจ่มใส ท่าทางที่เหมือนเด็กๆ ทำให้ไม่ค่อยมีใครเชื่อเท่าไหร่นักว่าเจ้าเป็นทหารมนตราและไม่เชื่อใหญ่ว่าเจ้าตัวเป็นหัวหน้าหน่วย
“อืม นั่นสินะ ว่าแต่รองหัวหน้าของเราละ?” อันที่จริงแล้วหากเทียบนิสัยเซจิโร่นั้นจัดได้ว่าเป็นเด็กน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตนและรักพวกพ้องมากทีเดียว เท่าที่เคยได้ยินมานั้นเซจิโร่ต่างเป็นคนที่ใครๆ ในหน่วยทหารมนตราก็ชอบ หากแต่มันมีสาเหตุอยู่ข้อนึงที่ทำให้หน่วยที่สี่ไม่ได้สนิทกับหน่วยที่ห้าเท่าที่ควร...
“ไปซื้อน้ำเดี๋ยวก็ อะ กลับมาแล้ว” เมื่อตวัดสายตาหันไปมองก็พบร่างที่อยู่ในชุดทหารมนตราอีกรายหนึ่งร่างนั้น ผมสีน้ำเงินเข้มแต่ที่โดดเด่นยิ่งกว่าใครคือดวงตาสีอำพันที่คมกริบ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหาพวกเขา
“สวัสดีครับ รุ่นพี่อลันไม่ได้เจอกันพักใหญ่ สบายดีนะครับ” คำทักทายเป็นพิธีการถูกส่งออกจากปากของเจ้าตัวชายผู้นี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหัวหน้าหน่วยตัวน้อยเมื่อครู่ชายผู้นี้คือคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่นั่นเองรองหัวหน้าหน่วยที่ห้าเซยามะ ยูโตะ
“ว่าแต่เจ้าบ้านั่นไม่ได้มาด้วยสินะครับ ดีเหมือนกัน” เขามีท่าทีผิดกับเซจิโร่โดยสิ้นเชิงบนใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ถึงแบบนั้นถ้าเป็นคนที่ดูเป็นคนเป็นเสียหน่อยจะสามารถอ่านออกได้ในทันทีว่าสีหน้าของหมอนี่มันเหมือนรอยยิ้มตามพิธีการมากกว่า
และคนผู้นี้คือสาเหตุที่ทำให้หน่วยที่สี่และหน่วยที่ห้าไม่สนิทกันเท่าที่ควรไม่สิ ส่วนนึงมันก็เป็นเพราะเรย์ด้วยที่ทำให้ไม่สนิทกันเช่นนั้น เพราะเซยามะ ยูโตะคนนี้เป็นคนที่ไม่ถูกกับเรย์อย่างที่สุดชนิดที่ว่าเคยสู้กันชนิดเป็นตายมาก่อนเลยทีเดียว
การต่อสู้ของสองคนนี้เริ่มจากการประลองฝึกซ้อมเล็กๆ ก่อนแปรสภาพเป็นการฆ่ากัน การต่อสู้ของทั้งสองสร้างความเสียหายให้สภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะเรย์ก็ยิงมนต์ใส่โดยไม่มีการออมแรง ส่วนยูโตะก็อาศัยการก้าวเท้าของตัวเองเป็นความเร็วระดับสูง หลบหลีกพร้อมก่อกวนไม่ให้เรย์ร่ายมนต์ไปในตัว ที่น่ากลัวกว่าก็คือการลงมือของทั้งสองฝ่ายราวกับจะไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตายหรือไม่
ในคราวนั้นร้อนถึงผู้บัญชาการสูงสุดอย่างซาเอนอสต้องมาหยุดด้วยตัวเอง แต่กว่าจะหยุดได้ก็เล่นเอาสนามฝึกซ้อมของหน่วยทหารมนตราพังไปเป็นแถบ และนั่นเป็นเหตุให้ทั้งสองหน่วยแทบไม่ได้ทำภารกิจร่วมกันอีกเลย
“เดี๋ยวเถอะยูจัง เรียกรุ่นพี่ว่าเจ้าบ้านั่นแบบนี้มันไม่ดีนะ” อันที่จริงแล้วตามปกติเจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นคนแบบนี้หรอก แต่สำหรับเรย์แล้วจะเป็นกรณีพิเศษในทันที มารยาทที่มีจะถอยหลังลงคลองทุกอย่างจะเป็นขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
“ผมว่าผมเข้าใจถูกแล้วนะกับเจ้าแมลงสาบที่ไม่ว่าผมจะฟันไปเท่าไหร่ก็รักษาตัวเองได้ แถมเป็นผู้ใช้มนตราสายโจมตีแต่ดันตามการเคลื่อนไหวของผมทันนี่หายากมากเลยนะ” สปีดของยูโตะนั้นเป็นอันดับต้นในกองทหารมนตรา การที่มีคนสามารถมองตามได้ทันถือเป็นเรื่องแปลก แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือหนึ่งในนั้นคือคนที่เขาเหม็นขี้หน้าที่สุด
“ถึงแบบนั้นก็ห้ามนะยูจัง รุ่นพี่เรย์น่ะออกจะเป็นคนดีจะตาย แถมก่อนหน้านี้ยังเคยทำขนมมาแบ่งให้กินบ่อยๆ ด้วย แต่พักหลังทำไมไม่รู้ไม่ได้แวะมาเลย หัวหน้าตัวน้อยหน้ามุ่ยเล็กๆ ที่อดกินขนมอร่อยๆ แต่อันที่จริงแล้วก็พอจะเดาสาเหตุที่เรย์ไม่ไปหาได้เพราะเจ้าตัวไม่ชอบหน้าเจ้าเด็กนี่นั่นแหละ
อันที่จริงแล้วเรย์เคยวิจารณ์เกี่ยวกับยูโตะเช่นกันว่ามันเร็วราวกับกะจั๊ว ทั้งสปีดในการก้าวเท้าที่รวดเร็ว ทั้งฝีมือในเชิงดาบที่แม้จะไม่ชอบแต่ต้องยอมรับเป็นอีกคนเลยที่ต่อให้เอาจริงอย่างเต็มที่เรย์ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาลง(แต่ถ้าจำไม่ผิดกะจั๊วกับแมลงสาบนี่มันก็ตัวเดียวกันมิใช่หรือ?)
“เอาๆ ถ้าเซจิไม่อยากให้ผมเรียกแบบนั้นผมก็จะไม่เรียกแล้วกัน” การเถียงกับหัวหน้าหน่วยที่ห้าเป็นอะไรที่เหนื่อยกว่าที่คุณคิดเพราะมันเหมือนเถียงกับเด็ก ดังนั้นหากมันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่าฝ่าแรงแล้วล่ะก็ หนทางที่ดีที่สุดคือยอมเจ้าตัวไปซะดีกว่าและแน่นอนยูโตะที่รู้จักกับเจ้าตัวมานานที่สุดย่อมยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เอาละ งั้นไปกันเลย” เมื่อคุยกันจบแล้วคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในที่นี้(แต่ในด้านวัยวุฒิน่าจะต่ำที่สุด)ก็เดินนำลิ่วไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ยูโตะและอลันเดินตามไปอย่างเงียบงัน ไม่รู้ทำไมการทำภารกิจกับคนที่ไม่ใช่คนในหน่วยตัวเองครั้งนี้เขาถึงได้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเลยนะ
การเดินทางขนส่งเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาไม่มีศัตรูบุกเข้ามาชิงของเลยแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขานั้นเลือกใช้เส้นทางที่วกวนบางทีก็จัดเปลี่ยนพาหนะมันเสียดื้อๆ ต้องขอยอมรับคนที่วางแผนให้ในครั้งนี้จริงๆ
ทางด้านของยูโตะนั้นเจ้าตัวสงบนิ่งมากเลยทีเดียว เพราะเขานั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบงันมาได้ทั้งวันเช่นเดียวกับอลันที่ขนหนังสือมาเล่นมาอ่านด้วยเช่นกันทั้งโบกี้รถไฟที่มีแต่พวกเขาสามคนจึงตกอยู่ในความเงียบสงัดมาชั่วโมงกว่าๆจนกระทั่งในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว
“เบื่ออะ ไม่มีอะไรทำเลยจริงๆ” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเซจิโร่นั่นเองแต่อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวทำหน้าเหมือนเบื่อเซ็งมาตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้วแค่ทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเก่ง...สำหรับเด็กอ่ะนะ
“ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าให้หาอะไรมาทำ ภารกิจส่งของน่ะมันเหมือนภารกิจคุ้มกันนั่นแหละอาจน่าเบื่อกว่าด้วยซ้ำ เพราะบางทีมันอาจจะราบรื่นไปจนจบภารกิจเลยก็ได้” ภารกิจส่งของเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะแค่ต้องคอยเฝ้าระวังสิ่งของ แต่ถ้าของชิ้นนั้นไม่มีคนมาร่วมชิงในระหว่างทางมันก็ว่างงานจริงๆ นั่นแหละ
“จะเอาหนังสือของผมไปอ่านไหมละ? ผมเอามาหลายเล่มอยู่นะ” หนังสือที่ยูโตะเอามานั้นมีค่อนข้างมากเป็นสองในสามของสัมภาระเลยทีเดียวไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าหมอนี่เป็นประเภทติดหนังสือหรือยังไงถึงได้เอามาเยอะขนาดนี้
“ไม่เอาละ หนังสือที่ยูจังอ่านน่ะมีแต่หนังสือยากๆ ทั้งนั้นเลย” ถ้าดูจากนิสัยแล้วก็ไม่น่าจะอ่านจริงๆ นั่นแหละ เพราะหนังสือที่ยูโตะหยิบมาอ่านส่วนใหญ่นั้นโดยมากแล้วจะเป็นหนังสือจำพวกแนวคิด ทฤษฏีและปรัชญาที่ค่อนข้างเข้าใจยากทีเดียว
“รุ่นพี่อลันมีหนังสือการ์ตูนติดมาไหม ขอยืมหน่อยสิ”
“มีแต่หนังสือนิยายนะ จะเอาไปอ่านก่อนไหม?” เมื่อได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็ทำหน้าเบ้เล็กน้อยแต่เนื่องด้วยมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วก่อนที่เจ้าตัวจะรับหนังสือนิยายจากมือของอลันแล้วไปอ่านเงียบๆ อยู่คนเดียวอีกมุมนึง
“ไม่คิดนะครับว่าคนอย่างรุ่นพี่อลันจะชอบอ่านหนังสือนิยายรักพวกนี้ด้วย” เขาแปลกใจนิดหน่อยเพราะตามปกติแล้วผู้ชายจะไม่อ่านนิยายแนวนี้ อย่างน้อยหน้าปกมันต้องไม่หวานขนาดนี้กระทั่งเขายังไม่กล้าแม้แต่จะไปแตะต้องเลยทีเดียว
“มันก็สนุกไปอีกแบบนะแต่ตามปกติก็ไม่ค่อยได้อ่านพวกนี้นักหรอก พึ่งเอามาอ่านฆ่าเวลาไม่นานนี้เอง” จะว่าไปเขาเลือกจะหยิบหนังสือพวกนี้มาอ่าน ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่เหมือนกันว่ามันตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เริ่มคิดว่ามันสนุกไปแล้วทั้งที่ในตอนแรกไม่คิดจะอ่านเลยเสียด้วยซ้ำ
ส่วนยูโตะก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรเพิ่มเติม เพราะมันเป็นรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน ออกจะขอบคุณด้วยซ้ำที่หนังสือแบบนี้ทำให้หัวหน้าหน่วยของเขายอมสงบลงได้ ว่างๆ ต้องเจียดเงินตัวเองไปซื้อเพื่อเอามาให้เซจิโร่อ่านบ้างแล้ว
“อืม ดูเหมือนว่างานครั้งนี้จะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดแล้วสิครับ” เมื่ออ่านไปได้อีกพักนึงยูโตะก็เป็นคนแรกที่ปิดหนังสือในมือของตนและเก็บมันลงไปในกระเป๋าสัมภาระ ส่วนทางด้านของเซจิโร่เป็นรายถัดมาที่วางหนังสือของตนเองลงกับที่นั่ง
“ว้า กำลังสนุกเลยอ่ะ ทำไมมาไม่ถูกเวลาเลยนะเจ้าพวกนี้” เจ้าตัวอดงอแงนิดหน่อยไม่ได้ที่หนังสือที่ตนอ่านกำลังถึงตอนสนุกแต่กลับต้องหยุดอ่านไปเสียดื้อๆ แบบนี้ ทางด้านของอลันที่เห็นทั้งสองคนทำเช่นนี้ก็เก็บหนังสือของตนเองตามเช่นกัน
“ไม่รู้สึกตัวเลยนะเนี่ย รู้ได้ยังไงเหรอว่าพวกเราถูกเพ่งเล็งอยู่?” ในแง่ของความเฉียบคมทางประสาทสัมผัสแล้วนั้นอลันยังเป็นรองสองคนนี้อยู่โขทำให้เมื่อทั้งสองคนรู้ตัวว่ามีศัตรูนั้นอลันยังไม่ทันรู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำไป
“จิตของพวกมันน่ะครับ ถึงจะเบาบางแค่ไหนแต่ถ้าไม่ใช่การลบเลือนตัวตนของพวกมือสังหารละก็ ไม่มีวันรอดสายตาผมไปได้หรอก” อันที่จริงโดยส่วนตัวแล้วยูโตะก็ยังค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าเข้ามาในรัศมีหนึ่งเมตรไม่มีอะไรที่เขาจะไม่รู้ตัว แต่นั่นก็ยังเป็นแค่สมมติฐานเพราะไม่เคยมีใครใช้รูปแบบนั้นกับเขาเลยสักที โดยมากเป็นเขานี่แหละที่บุกไปฆ่าชาวบ้านเขาก่อน
“เอาเป็นว่างานนี้ฝากรุ่นพี่อลันเฝ้าของหน่อยแล้วกันนะครับฝากยิงพวกที่หลุดเข้ามาได้และจะมาชิงของก็พอถึงไม่คิดว่าจะมีหลุดเข้ามาได้ก็เถอะ ผมกับเซจิจะขอไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อยแล้วกัน” พริบตาต่อมาร่างของยูโตะก็หายวับไปราวกับเล่นกล แต่นี่ไม่ใช่พลังจิตอย่างเทเลพอร์ตแต่เป็นเพราะเจ้าตัวก้าวเท้าเร็วจนเขามองตามไม่ทันต่างหาก
“คอยด้วยสิยูจัง” ทางด้านของหัวหน้าหน่วยก็ก้าวเท้าตามไปติดๆ แม้จะไม่ได้รวดเร็วจนหายวับไปกับตา แต่ก็จัดว่าเร็วมากไม่กี่วินาทีถัดมาร่างของทั้งสองก็หายไปจากตัวโบกี้รถไฟอย่างรวดเร็ว ส่วนอลันนั้นก็เตรียมปืนสั้นที่เอาไว้ใช้ต่อสู้ในระยะประชิดขึ้นมาบรรจุกระสุนเตรียมต่อสู้
บนหลังคารถไฟนั้นมีร่างหลายสิบร่างอยู่ ร่างเหล่านั้นเตรียมจะลงไปด้านล่างเพื่อชิงของที่ตนได้รับมอบหมายมา ในมือของแต่ละคนถืออาวุธประเภทมีดและดาบเอาไว้เพราะจะมีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อสู้ระยะประชิด โดยไม่ได้รู้เลยว่าคนด้านล่างก็รู้ตัวและขึ้นมาด้านบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ คุณๆ ที่คิดมาชิงของทั้งหลาย ต้องถือว่าซ่อนจิตได้เนียนไม่เบาเลยนะครับเนี่ย สำหรับมือสมัครเล่นน่ะนะ” เสียงดังมาจากทางด้านหลังโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีคนไปอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำเอาคนกลุ่มนั้นตาเบิกกว้าง
“เปิดการพูดคุยด้วยมีดสั้นงั้นเหรอครับ ก็โอเคอยู่หรอก แต่ในสายตาของผมมีดของพวกคุณน่ะปาได้ห่วยมากเลย” อาวุธลับนั้นการใช้งานต้องรวดเร็วและมิดชิด รู้ตัวอีกทีก็โดนแล้วเพียงแต่เขาเคยชินกับอาวุธชนิดนี้มากเกินไปจนสามารถอ่านออกว่ามันจะพุ่งมายังไง อย่าว่าแต่มันช้าเป็นเต่าคลานในสายตาของเขาเลย
กระบวนดาบเทพเจ้า สายลม
วินาทีต่อมาร่างที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาก็หายไปแล้ว เป็นความรวดเร็วที่น่าตื่นตะลึงก่อนที่ร่างของเขาจะไปอยู่ด้านหลังของสองคนด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อย บนร่างของสองคนนั้นปรากฏบาดแผลจากคมดาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้คนเหล่านี้อดตระหนกไม่ได้ เพราะความเร็วนั้นมากจนน่ากลัวต่อให้อยู่บนพื้นก็ตาม แต่นี่พวกเขาอยู่บนหลังคารถไฟที่กำลังแล่นด้วยความเร็วสูงอีกฝ่ายยังสามารถเคลื่อนที่ได้ในระดับนี้อีก
“หนอย” แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้พร้อมกระชับอาวุธเตรียมต่อสู้ แต่ในตอนนั้นเองร่างเหล่านั้นก็ต้องล้มลงไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งตนเองก็ยังไม่รู้เหตุผลราวกับว่าร่างกายของเขาอยู่ๆ ก็อ่อนแรงลงไปเองเสียอย่างนั้น
“พวกนายรีบๆลงไปซะ ฉันจะอ่านหนังสือต่อ” หัวหน้าหน่วยตัวน้อยที่ในยามนี้ไม่พอใจเต็มที่ ในมือปรากฏเข็มวาววับสีเงินอยู่ด้วย ก่อนที่คนเหล่านั้นจะสังเกตเห็นว่าบนร่างของตนมีเข็มหลายเล่มปักอยู่บนร่างกายในตำแหน่งต่างๆ
“นั่นละครับ ผู้ใช้อาวุธลับตัวจริง” ยูโตะผายมือไปหาร่างเล็กนั้น เพราะต้องยอมรับจริงๆ ว่าเข็มของเซจิโร่แนบเนียนและรวดเร็ว ต่อให้เขาสัมผัสจิตได้ก็ตามแต่รู้ตัวอีกทีมันก็จ่อเข้ามาในระยะประชิดแล้ว เข็มของเซจิโร่จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว
“แก” แต่เจ้าคนเหล่านั้นยังไม่ยอมแพ้ดาบในมือถูกแทงเข้าใส่ร่างของยูโตะหมายสังหารเสียให้สิ้น แต่ทางด้านของเจ้าตัวกลับไม่ได้ร้อนใจ เขาเอี้ยวร่างหลบหลีกคมดาบของศัตรูอย่างพริ้วไหวแล้ววาดฝ่ามือใส่อย่างรวดเร็ว
กระบวนดาบเทพเจ้า สายน้ำ
ฝ่ามือของยูโตะนั้นคมกริบดุจดาบฟันทะลุเกราะที่อีกฝ่ายใส่เอาไว้อยู่อย่างง่ายดายหยาด เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเลยสักนิด ดวงตาสีอำพันของเขาตวัดไปหาเหยื่อรายต่อไป
เช่นเดียวกับเซจิโร่ที่แม้จะยืนอยู่นิ่งๆ แต่มือของเจ้าตัวกลับไม่ได้นิ่งตามไปด้วย ทุกครั้งที่สะบัดมือออกไปหนึ่งครั้งเข็มหนึ่งอันจะต้องพุ่งออกไป แม้จะบอกว่าเป็นเข็มแต่มันก็มีความยาวนับสิบเซนติเมตรจนดูราวกับคะบิชิเสียมากกว่า
ไม่กี่นาทีร่างของคนที่คิดมาชิงของก็ร่วงลงจากหลังคารถไฟจนหมด แต่ละคนถ้าไม่ได้บาดแผลจากฝ่ามือของยูโตะ ก็ต้องได้แผลจากเข็มของเซจิโร่ไปคนละสองสามแผลกันทั่วหน้า แน่นอนพวกเขาไม่มีเวลามาห่วงหรอกว่าเจ้าพวกนั้นจะรอดไหม
“ให้ตายสิเจ้าพวกนั้นมันน่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย” ร่างเล็กที่กลับมานั่งของตนอย่างรวดเร็ว การจัดการคนกลุ่มนี้ไม่ได้ยากเลยสักนิด เพราะแม้ว่าจะเห็นเป็นแค่เด็กที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยใดๆ ก็ตามแต่ก็อย่างที่เคยได้บอกไปแล้วนั่นแหละ ว่าอย่าได้เอาหลักเกณฑ์คนทั่วไปมาใช้กับหัวหน้าหน่วยแห่งกองทหารมนตรา
“ยังยืดเส้นยืดสายได้ไม่เท่าไหร่เลยนะครับเนี่ย แต่เอาเถอะบ่นไปก็เท่านั้นละนะครับ” เมื่อครู่เขาไม่ได้นับเป็นการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ เพราะมันเหมือนกับการซัดอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า แถมยังลงมือได้ไม่เต็มที่เพราะติดเงื่อนไขภารกิจแถมพื้นที่ไม่อำนวยอีก
‘ยังก่อนน่า ยังก่อน ยังไม่ได้ อย่าเพิ่ง’ เขาเอื้อมมือมาจับแขนขวาของตัวเองเอาไว้ใบหน้าของเขาฉายแววเหยียดยิ้มราวกับปีศาจร้ายที่เกือบจะหลุดออกจากการควบคุมเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดแต่ก็ยังพอที่จะสะกดเอาไว้ได้โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยแม้แต่คนเดียว
“ทั้งสองคนนี่สุดยอดจริงๆ นะ ใช้เวลาแปบเดียวก็จัดการได้หมดแล้ว” ถึงจะรู้ว่าตัวเองมาเป็นตัวแถมก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นอลันก็อดถึงในฝีมือของรุ่นน้องทั้งสองไม่ได้ แม้จะเห็นแบบนี้แต่ทั้งยูโตะและเซจิโร่ต่างเป็นคู่หูที่ทำงานได้เข้าขากันที่สุดแล้วในบรรดาทหารมนตราทั้งหมด
“อือ ไม่หรอกถ้าเป็นรุ่นพี่เรย์หรือพี่ชายละเก่งกว่านี้อีก ทั้งสองคนคงวาดมือทีเดียวจบเลยละ” เป็นความจริงพันเปอร์เซนต์ ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันทั้งสองคนยิงมนต์กันคนละบทก็คงจบจริงๆ เรย์แค่ยิงชุมนุมดาวตกกระแทกพวกมันลงไปก็พอ ส่วนไรชินยิ่งง่ายใหญ่ฟาดสายฟ้าลงมาชุดเดียวคงนิ่งกันเป็นแถบๆ
“ก็นะครับ รูปแบบความสามารถมันผิดกันนี่นา” ต้องยอมรับว่าสองคนนั้นมีศักยภาพในการโจมตีศัตรูเป็นวงกว้าง ผิดกับเขาที่ต้องโจมตีทีละคนเท่านั้นทำให้อาจจัดการศัตรูได้ช้ากว่าพวกนั้น แต่ถ้าเป็นสู้ตัวต่อตัวละก็เขามั่นใจว่าตนไม่แพ้แน่นอน
“ช่างเถอะ แต่เจ้าพวกนั้นน่าหงุดหงิดเป็นบ้ากำลังซึ้งได้ที่เลย” แน่นอนสิ่งที่เซจิโร่โมโหที่สุดคือถูกขัดความสุขในการอ่านนิยายนั่นแหละ แต่คำพูดของเจ้าตัวนั้นสร้างความแปลกใจให้กับคนฟังทั้งสองไม่น้อยเช่นกัน
“รู้สึกว่าเซจิจะติดนิยายรักไปแล้วนะครับเนี่ย” โดยส่วนตัวเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมเซจิโร่ถึงได้ชอบหนังสือแบบนี้ทั้งที่มันไม่น่าใช่แนวของเจ้าตัวเลยแท้ๆ ส่วนอลันไปได้แต่หัวเราะเบาๆ กับท่าทีของทหารมนตรารุ่นน้องอย่างเดียว
