chapter6-6
ด้วยความที่วันนี้กว่าจะจัดการพวกกลุ่มก่อการร้ายเสร็จก็เป็นเวลาเย็นแล้วทำให้พวกเขาต้องพักอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งคืนหากแต่อันที่จริงแล้วมันเป็นอะไรที่เร็วมากแล้วเนื่องจากตอนแรกที่คาซึกิเห็นข้อมูลภารกิจของตัวเองนั้นเธอยังคิดว่าต้องใช้เวลาสองสามวันเป็นอย่างต่ำเสียอีกไม่เคยคิดเลยจริงๆว่างานจะเสร็จในวันเดียว
การแบ่งห้องพักนั้นมีสามห้องคือมีอากับเอเรียที่เป็นผู้หญิง(ที่แสดงตัว)นอนห้องนึง โคสุเกะกับคาซึกินอนห้องนึง ส่วนห้องสุดท้ายนั้นให้เจ้าหัวหน้าหน่วยสามที่มีมนุษย์สัมพันธ์ต่ำสุดในสามโลกนอนคนเดียวไปเลย
การนอนห้องเดียวกับผู้ชายมันก็ไม่ได้เป็นปัญหากับเธอมากนักเพราะก่อนหน้านี้ก็นอนห้องเดียวกับเรย์และอลันมาแล้วแค่ระวังตัวดีๆตอนนอนกับอาบน้ำก็พออีกอย่างดูเหมือนโคสุเกะจะไม่ใช่คนละเอียดอ่อนอะไรมากเท่าไหร่นักด้วย
“ดูนายหงุดหงิดมากเลยนะโคสุเกะ ทั้งที่ภารกิจก็สำเร็จได้ด้วยดีแท้ๆ” เธออดแปลกใจกับสีหน้าบูดบึ้งตั้งแต่กลับมาจากภารกิจของรายนี้ไม่ได้เพราะเจ้าตัวดูหัวเสียเป็นอันมากทั้งที่ภารกิจก็เรียบร้อยสมบูรณ์แบบเลยด้วยซ้ำ
“เซ็งน่ะสิ จัดการศัตรูก็แพ้เจ้าบ้านั่นแถมยังโดนเจ้าหมอนั่นพูดแบบนั้นใส่อีกถ้าเป็นนายจะไม่เจ็บใจหรือไง” แน่นอนที่เขาหงุดหงิดนั้นไม่ใช่เพราะอะไรหรอกแต่เป็นเพราะคำพูดในตอนท้ายของเจ้าหัวหน้าหน่วยนั่นต่างหากที่ทำให้โมโห
แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับคนที่ไม่รู้จักเจ้าหมอนั่นดีมากนักเนื่องจากว่าคำพูดนั้นแม้อันที่จริงจะเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบฉบับของเจ้าตัวเองก็ตามแต่มันเป็นคำพูดที่เนื้อความเป็นคำดูถูกและถากถางเลยทีเดียวยิ่งถ้าเป็นคนที่แสวงหาความแข็งแกร่งทางฝีมือด้วยแล้วคำพูดนี้ยิ่งทำให้โมโหมากขึ้นไปอีก
“ว่าแต่ถ้านายไม่ถูกกับไซแล้วมาร่วมหน่วยกับหมอนั่นได้ไงล่ะ” ไม่เหมือนกับเขาที่เพราะมีเหตุจำเป็นแต่ในตอนหลังก็สามารถเข้ากับเรย์ได้แต่โคสุเกะนั้นเท่าที่เธอได้ยินมาจากอลันนั้นรายนี้เข้าหน่วยที่สามามาจนจะครบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ถูกกับหัวหน้าเช่นเดิม
“ที่มาอยู่หน่วยเดียวกับเจ้านั่นเพราะอยากรู้ว่าทำไมเจ้าบ้าพรรค์นั้นถึงได้เก่งไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ต่างหาก” แต่ดั้งเดิมแล้วตอนที่สมัครเข้าหน่วยทหารมนตราใหม่ๆโคสุเกะก็เป็นประเภทฉายเดี่ยวมาตลอดเนื่องจากงานภารกิจระดับDลงไปที่รับกันได้ในช่วงแรกๆนั้นเป็นอะไรที่ทำได้ไม่ยากนักต่อให้ลุยเดี่ยวก็ยังสบายแถมค่าจ้างแต่ละภารกิจก็น้อยด้วยถ้าต้องแชร์กับคนอื่นอีกจะได้ไม่คุ้มเสีย คนส่วนมากจึงยังคงไม่รวมกลุ่มกับใครในช่วงแรก
แน่นอนว่าโคสุเกะก็เป็นแบบนั้นเขาไล่ทำภารกิจด้วยตัวคนเดียวมาตลอดและสามารถทำได้อย่างดีด้วย วิชาพลองที่รับสืบทอดมาและพลังพิเศษสายพลังวัตรที่ได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อนั้นทำให้เขาสามารถทำงานได้อย่างไม่ยากเย็น
ก่อนหน้านี้เขามั่นใจในฝีมือของตัวเองมากแม้จะไม่ถึงขั้นไร้พ่ายแต่ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันและเป็นการต่อสู้ในระยะประชิดเขาก็จัดว่ามีฝีมือพอตัวและสามารถเอาชนะมาได้เกือบตลอดแต่ความมั่นใจนั้นกลับถูกทำลายย่อยยับด้วยฝีมือของไซ
ในตอนนั้นไซยังไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยที่สามตอนนั้นเขากับไซบังเอิญมีเรื่องกันพอดีแม้จะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนนั้นเริ่มสู้กันเพราะอะไรแต่รู้อีกทีเขาก็เอาพลองชี้หน้าอีกฝ่ายและท้าให้ออกมาประลองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งรายนั้นก็ไม่ปฏิเสธคำท้าของเขา
แต่นั่นเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าเจ็บใจที่สุดเขาแพ้ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่น้อยวิชาพลองที่เขาภูมิใจถูกรับมือได้หมดและไม่สามารถเรียกเลือดจากอีกฝ่ายได้เลยกระทั่งฟาดโดนเต็มๆแล้วก็ตามแถมยังเป็นเขาเสียอีกที่ถูกซัดจนหมอบในไม่กี่หมัด
หลังจากนั้นก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาพยายามจะท้าประลองแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธด้วยข้อหาฝีมือของเขาอ่อนเกินไปนั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บใจมากยิ่งขึ้นไปอีกแต่ในตอนนั้นเอเรียและมีอาก็ชวนให้เขามาเข้าร่วมกลุ่มด้วยซึ่งเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเจ้านั่นถึงได้เก่งขนาดนี้จึงตอบรับคำชวน
“นายคงได้รู้เรื่องของอัลคาน่าแล้วสินะ ตอนแรกฉันคิดว่าเจ้าหมอนั่นเก่งเพราะพลังที่ว่านั่นที่ไหนได้ขนาดใช้แค่กระบวนท่าอย่างเดียวไม่พึ่งพาพลังพิเศษฉันยังล้มหมอนั่นไม่ได้ บอกตามตรงเจ็บใจเป็นบ้าเลย” แม้จะสูสีกว่าตอนที่สู้กันรอบแรกแต่ผลสุดท้ายโคสุเกะก็เป็นฝ่ายแพ้อยู่ดีในการต่อสู้ครั้งนั้นแถมเจ้าบ้านั่นยังทำหน้านิ่งเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นได้อีก
“เจ้าหมอนั่น่ะมันปีศาจชัดๆ เก่งจนน่าอิจฉา แถมยังทำอะไรตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง เป็นเจ้าบ้าที่น่าเตะที่สุด” แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ใบหน้าของเจ้าตัวก็กลับประดับรอยยิ้มในยามที่พูดถึงไซราวกับว่าพูดถึงคนที่ตนชื่นชมยังไงยังงั้น
เธอชักจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนถึงได้เห็นไซซ้อนทับกับเรย์และโคสุเกะซ้อนทับกับตัวเธอเองเพราะที่จริงแล้วโคสุเกะนั้นไม่ได้เกลียดคนที่ถูกพูดถึงเหมือนตามที่ปากพูดหรอกเพียงแค่หมั่นไส้และอยากให้อีกฝ่ายยอมรับในตัวเองบ้างก็เท่านั้นเอง
เหมือนกับตัวเธอในตอนก่อนหน้านี้ที่แม้จะแสดงท่าทีไม่ชอบแต่เธอกลับรู้สึกนับถือและยอมรับในฝีมือของเรย์อีกทั้งยังรู้สึกอิจฉาอยู่ลึกๆในความแน่วแน่และมั่นคงของเจ้าตัวอีกด้วย แม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่ก็คล้ายคลึงกับเธอมาก
“ว่าแต่เอเรียเป็นแฟนกับไซเหรอ” เป็นคำถามที่ออกจะเสียมารยาทไปสักนิดแต่ถ้าใครที่ได้เห็นท่าทางของแม่คุณหนูสาวและเจ้าหัวหน้าหน่วยจอมอาละวาดคนนั้นแล้วจะคิดไปในแนวทางนี้กันหมดทุกคนนั่นแหละ
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้สิทั้งสองคนไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ แต่ท่าทางให้มากเลยเจ้าบ้านั่นน่ะแคร์เอเรียมาก ทั้งที่ไม่เคยมีใครหยุดเจ้าบ้านั่นได้เลยขนาดใช้กำลังแต่เอเรียมาพูดแค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็จบเหมือนที่นายได้เห็นแล้วในวันนี้ จนในกองทหารมนตรามีการตั้งฉายากันลับๆด้วยว่าทั้งสองคนเป็นโฉมงามกับเจ้าชายอสูร” เป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะจนไม่มีอะไรเหมาะไปยิ่งกว่านี้อีกแล้วเพราะเอเรียนั้นหน้าตาน่ารักและกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยราวลูกคุณหนูอ่อนโลก ส่วนไซนั้นคลุ้มคลั่งและเด็ดขาดอีกทั้งยังอารมณ์ร้ายเหมือนอสูรตามที่ว่าจริงๆ
แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของคนตรงหน้ามันแฝงไปด้วยความน้อยใจแปลกๆอย่างไรพิกลนะมันเหมือนกับความไม่พอใจที่ผสมผสานกับอารมณ์หลายๆอย่างจนก่อให้เกิดเป็นความไม่พอใจแปลกๆที่ไม่ค่อยอิงกับหลักการเหตุผลนัก
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าบ้านั่นรู้สึกยังไงกับเอเรีย แต่เอเรียน่ะชัดเลยว่าชอบเจ้าหมอนั่นเพียงแต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่ค่อยรู้ตัวเท่านั้นเอง” ก็นะหากตาไม่บอดและหัวไม่ทึบจนเกินเยียวยาควรจะมองออกได้อย่างไม่ยากเย็นนักแต่ไม่แน่ว่าอาจมีคนทึ่มจนไม่รู้ตัวจริงๆก็ได้เหมือนหัวหน้าของเธอ
“ว่าไปผู้หญิงที่ชื่อมีอาน่ะเป็นผู้ใช้มนตราธาตุลมขั้นสูงสินะ ถึงได้มีฝีมือขนาดนั้น” เป็นอะไรที่น่ากลัวเลยทีเดียวสำหรับผู้หญิงคนนั้นทั้งการร่ายมนต์ที่เงียบและเร็วสุดๆจนขนาดเธอที่เป็นผู้ใช้มนตราธาตุลมด้วยกันยังอดทึ่งไม่ได้ถึงจะบอกว่าเป็นผู้ใช้มนตราสายแท้ที่ไม่ได้ฝึกกระบวนท่าเลยทำให้เด่นด้านการใช้มนตรามากก็ตามแต่ก็ยังเก่งเกินไปอยู่ดี
“มีอาเหรอ น่าจะนะเธอไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองเท่าไหร่ แถมดูไม่ชอบพูดถึงด้วยพวกเราเลยไม่เคยถาม แต่เธอเป็นคนที่ชอบเดินเล่นเป็นที่สุดถ้าวันไหนว่างๆ ก็มักจะมาป่วนคนอื่นในหน่วยเป็นประจำ ฉันยังโดนเลย” เขายังจำในวันที่เธอโผล่มาอยู่ที่หน้าต่างบ้านเขาได้อยู่เลยวันนั้นทำเอาเขาใจหายไปตกที่ตาตุ่มเพราะเธอเล่นทาหน้าขาวมาโผล่ตอนกลางคืนจนเขานึกว่าเธอเป็นผี
“แต่เห็นแบบนั้นฝีมือการเจรจา วาทศิลป์ก็สูงเป็นคนที่รับหน้าที่เจรจาหลักของกลุ่มเลย ก็อย่างที่นายรู้พวกเรามันไม่เหมาะกับการเจรจาสักคน” ด้วยพื้นเพนิสัยแล้วก็เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆโคสุเกะใจร้อนและหุนหันเกินไปรังแต่จะเสียเปรียบในการเจรจาเปล่าๆ เอเรียก็แสดงอารมณ์ออกมามากจนโดนชักจูงได้ง่ายส่วนไซนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะงานเดียวที่หมอนั้นจะทำได้คือประกาศสงครามเท่านั้น
“จะว่าไปหัวหน้าหน่วยของนายยังจะดีซะกว่าเลยนะ ถึงจะมีชื่อเสียเยอะก็เถอะแต่เท่าที่เคยทำงานร่วมกันแล้วก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แถมยังเป็นห่วงลูกน้องขอส่งชื่อของนายมายังภารกิจด้วยนี่ ทั้งที่มันยุ่งยากจะตายไป” หากเปรียบเทียบแล้วนิสัยของเรย์ดีกว่าไซอยู่โขแม้จะกวนประสาทและทำอะไรตามใจแต่ก็อยู่ในขอบเขตและยังไม่ชอบฆ่าโดยไม่จำเป็นด้วย
“ก็เป็นแค่หัวหน้าบ้าๆคนนึงเท่านั้นแหละ” ในเมื่ออีกฝ่ายเล่าเรื่องของหน่วยตัวเองให้ฟังเสียละเอียดยิบขนาดนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องในหน่วยที่เธอพอรู้ไปบ้างแต่แน่นอนเว้นในเรื่องที่เรย์รู้ความจริงว่าเธอเป็นผู้หญิงน่ะนะ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่คาซึกิลืมคิดถึงไปนิดในเรื่องที่เห็นตนซ้อนทับกับโคสุเกะแต่เธอยังลืมคิดถึงอีกเรื่องนึงไปหากว่าเธอลองมองหาความเชื่อมโยงดีๆแล้วล่ะก็เธอจะเป็นคนแรกเลยทีเดียวที่จะได้รับรู้ความลับของคนเบื้องหน้าที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงกันไปตามๆกันในภายหลัง
“เฮ้อ อาบน้ำหลังไปทำงานเนี่ยมันสบายตัวจังเล้ย ” แม่สาวนามมีอานั้นหลังจากที่กลับจากภารกิจเธอก็ตรงเข้าอาบน้ำในทันทีเนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างร้อนทำให้เธอทนเหนียวตัวไม่ค่อยจะไหวทันทีที่มาถึงโรงแรมเธอจึงเข้าอาบน้ำทันที
“งั้นฉันขออาบน้ำบ้างนะคะ” แน่นอนว่าเอเรียก็อยากอาบน้ำเหมือนกันแต่เห็นมีอาทนไม่ไหวจริงๆเธอเลยให้มีอาอาบน้ำไปก่อนมือบางของเธอปลดเครื่องแบบของทหารมนตราออกอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงแค่ชุดชั้นในสีชมพูที่ปิดบังส่วนสำคัญของเธอไว้
“เอเรียจังนี่น้าอิจฉาจังเลยน้า ผิวก็ขาวแถมผมก็นุ่มมากเลยด้วยดูเหมือนเจ้าหญิงผู้บอบบางเล ” แม้อันที่จริงแล้วในยามที่เธอจับดาบจะใช้คำกล่าวนั้นไม่ค่อยได้ก็ตามแต่ถ้ามองเพียงภายนอกแล้วละก็เธอเหมาะกับนิยามนั้นจริงๆ
“แต่ฉันอิจฉามีอามากกว่านะคะ มีอาน่ะใหญ่กว่าฉันมากเลยนี่นา” คุณหนูสาวส่งเสียงก่อนจ้องมองสัดส่วนของเพื่อนสาวสายตาละห้อยเพราะเธออยากมีแบบนั้นบ้างทั้งหน้าอกหน้าใจที่ขนาดไม่ธรรมดา เอวและสะโพกนั่นอีกทำให้คนตรงหน้าเป็นไปด้วยสเน่ห์เย้ายวนแบบที่เธอไม่มี
“แต่เอเรียน่ะน่ารักจะตายไปแถมมันก็ใหญ่ขึ้นนิดๆด้วยแล้วนี่ เนอะ” ไม่เพียงว่าเปล่าเพราะมีอานั้นใช้มือของเธอบีบหน้าอกของเพื่อนสาวอย่างรวดเร็วแม้ว่าสัดส่วนของเอเรียจะไม่มากมายแต่ด้วยความน่ารักและบอบบางนี้เองที่ทำให้เธอเป็นที่นิยมในกองทหารมนตราไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
“อะ ว้าย อย่าบีบนะคะ มีอา”
“เอ๋ นี่มันใหญ่กว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย แหม ทำเป็นบ่นนั่นบ่นนี่แต่เริ่มมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” เธออดแปลกใจไม่ได้เพราะดูเหมือนการมองจากภายนอกนั้นจะทำให้เธอกะขนาดของสิ่งนี้ผิดพลาดไปนิดหน่อยเพราะมันดันใหญ่ขึ้นกว่าที่เธอคาดไว้ซะอีก
“มะ มีอาคะ ถ้าไม่ปล่อยฉันโกรธจริงๆแล้วนะ” เธอส่งเสียงหายใจหนักขึ้นนิดหน่อยก่อนเริ่มดันเพื่อนสาวที่อยู่ในสภาพเกือบเปลือยออกไปเพราะเธอรู้สึกแปลกๆยังไงพิกลเวลาถูกบีบเช่นนี้หากยังปล่อยไว้เธอเผลอส่งเสียงน่าอายออกไปแน่นอน
“ขอโทษจ้า แต่ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะคิดถึงใครบางคนบ่อยๆ หรือเปล่าเอ่ย?” พักนี้เอเรียที่ค่อนข้างจะกังวลในสัดส่วนของตัวเองเริ่มดูเป็นสาวมากขึ้นอย่างน่าประหลาดจนน่าแปลกใจส่วนทางด้านของคุณหนูสาวส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ปะ เปล่านะคะ ฉันไม่ได้คิดถึงเซียร์เขาสักหน่อยค่ะ อาจจะมีนิดหน่อยแต่ว่า เอ่อ” ไม่รู้ด้วยความอายหรือความร้อนรนกันแน่จากที่ตอนแรกตั้งใจจะปฏิเสธแต่ไปๆมาๆกลับหลุดปากออกไปจนได้ทำเอามีอาที่ได้ยินดังนั้นยิ้มกริ่ม
“แหมๆ ล้อเล่นจ้า อย่าคิดมากเลยนะ” ท่าทางของเอเรียทำเอาเธออดหัวเราะไม่ได้ยิ่งใบหน้าน่ารักที่ขึ้นสีแดงจัดนั่นด้วยแล้วทำให้เธอรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้แกล้งเพื่อนคนนี้เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เอเรียก็ยังแหย่ขึ้นเสมอเลย
แต่โดยส่วนลึกแล้วเธออดอิจฉาเอเรียไม่ได้เหมือนกันเพราะเพื่อนของเธอคนนี้สามารถแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ตรงๆ ผิดกับตัวเธอที่ไม่อาจจะแสดงออกมาได้แม้ความจริงแล้วเธอจะรู้สึกพิเศษกับเขามาเพียงไรก็ตาม
ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองซึ่งเป็นบ้านพักของเจ้าเมืองแห่งนี้นั้นมาบัดนี้เจ้าตัวกำลังร้อนใจจนนั่งไม่ติดที่เนื่องด้วยการที่กลุ่มก่อการร้ายที่ถูกจับได้นั้นเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกมันอยู่และกลัวพวกมันจะซักทอดมานั่นเอง
“ชิ เจ้าพวกโง่นั่นทำยังไงให้โดนจับได้วะ” ที่เขาให้การสนับสนุนพวกมันเพราะต้องการให้ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองแห่งนี้นั้นหวาดกลัวจนยอมขายที่ให้กับเขาในราคาถูกซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างมากแต่มาตอนนี้หน่วยทหารมนตรากลับมาทำลายทุกอย่างจนป่นปี้
“คงต้องแกล้งทำเป็นว่าพวกมันทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายไปเอง ยังไงซะไอ้ทหารมนตรานั่นก็ลงมือมาหนักซะด้วย ที่เหลือก็เอาคืนเจ้าเด็กพวกนั้นที่มาทำแผนเสียซะได้” อันแรกอาจไม่ใช่เรื่องยากนักเพราะแค่วางยาดีๆก็น่าจะไม่ถูกจับได้แต่อันหลังนี่คงลำบากหน่อยเพราะถ้าพลาดอาจมาถึงตัวเขาเองได้แต่เขาจะไม่มีวันยอมปล่อยให้เด็กเวรพวกนั้นกลับไปง่ายๆโดยเด็ดขาด
หากแต่ในตอนนั้นเองร่างของเขาก็ต้องหยุดชะงักไปในทันทีจากจิตแห่งการฆ่าฟันที่รุนแรงจนแทบจะขยี้เขาทิ้ง จิตสังหารที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดดั่งสัตว์ร้ายทำให้รางของเขาชะงักไปก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
อีกฝ่ายสวมชุดสีดำสนิทปกคลุมทั้งร่างจนราวกับอสูรร้ายที่โผล่ออกมาจากความมืดมิด หน้ากากที่สวมนั้นปรากฏลวดลายแห่งคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายสีน้ำเงินเข้ม ทั้งที่ร่างเบื้องหน้านั้นก้าวเท้าเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้าและไร้ลูกเล่นแต่เขากลับไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียว
“กะ แกเป็นใครต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันให้ได้นะเท่าไหร่ก็ให้ได้” เสียงที่สั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิดภาวนาให้ร่างเบื้องหน้ายอมรับข้อเสนอของตนแต่มันก็ไม่เป็นผลอีกฝ่ายยังก้าวเท้าเข้ามาเขาด้วยความเร็วเท่าเดิม
“ ขะ ขอร้องละแกอยากได้อะไรก็เอาไปเลย ฉันให้แกได้ทุกอย่างมากกว่าคนที่จ้างแกมาก็ได้ ” เมื่อร่างในชุดดำมาหยุดยืนเบื้องหน้าเขาจึงออกปากอีกครั้งในเวลานี้เขายินดีแลกทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองหากมันทำให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้
“สิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงแค่อย่างเดียว” น้ำคำราบเรียบหลุดออกมาจากปากมือสังหารผู้นี้ทำเอาเจ้าเมืองยิ้มอย่างยินดีที่ยังมีโอกาสเจรจาแบบนี้หากว่าเขายื่นข้อเสนอที่น่าสนใจพอก็อาจจะรอดไปได้แต่ประโยคถัดมานั้นทำเอาความหวังของเขาดับวูบลง
“นั่นคือชีวิตของแก” เปลวเพลิงอันร้อนแรงลุกโชนอยู่ที่มือข้างขวาของร่างในชุดดำอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเอื้อมมือเข้ามาหาเจ้าเมืองคนนั้นในทันทีพร้อมกับที่มีคลื่นพลังสายหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในร่างของเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก!! ร้อนๆ อ๊าก!!” ความร้อนที่ราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ภายในร่างส่งผลให้ร่างของเจ้าเมืองผู้นี้เริ่มไหม้เกรียมแต่ไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกท่วมร่างของเจ้าเมืองคนนี้อย่างรวดเร็วก่อนร่างเบื้องหน้าจะมอดไหม้ไม่เหลือกระทั่งเศษธุลี
“จงภูมิใจซะเถอะที่ได้ลงนรกไปด้วย ทาร์ทารอส เปลวเพลิงจากขุมนรกอันแท้จริง” สิ้นคำร่างในชุดดำก็หายตัวไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรของศพเอาไว้เลยแม้แต่น้อยไม่มีกระทั่งรอยไหม้ต่อสิ่งของใดๆในห้องอย่างสิ้นเชิงและวันรุ่งขึ้นเจ้าเมืองก็ถูกบันทึกว่าหายสาบสูญ
