บท
ตั้งค่า

chapter6-5

ทางด้านของเอเรียนั้นเธอก็กำลังประดาบกับชายที่ใช้ดาบเหมือนกันอยู่ดูเหมือนคนผู้นี้เป็นพวกเจนสนามรบไม่เบาเพราะเขาสามารถรับมือเธอได้อย่างไม่ยากลำบากเท่าไหร่นักคมดาบคาตานะในมือของเธอปะทะเข้ากับดาบของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“ยอมแพ้แล้วมาเป็นของเล่นของเราดีกว่าไหม ว่าไงคุณหนู” คำพูดน่ารังเกียจหลุดออกมาจากปากยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจในอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีกดวงตาสีน้ำเงินท้องทะเลของเธอหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

“ไม่ละค่ะ บังเอิญฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เพราะงั้นฉันไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับคุณอีกแล้วล่ะค่ะ” ดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความคมกริบพร้อมกันนั้นเองที่เธอเก็บดาบของตนเองเข้าฝักแม้อันที่จริงแล้วเธอจะไม่ค่อยอยากใช้เท่าไหร่แต่ในกรณีของคนผู้นี้เป็นข้อยกเว้น

เพลงดาบธารวารี สายชลกระหน่ำ

คมดาบคาตานะในมือถูกวาดออกไปอย่างลื่นไหลและรวดเร็วดุจดั่งสายน้ำแต่ทุกดาบของเธอนั้นกลับรวดเร็วจนแทบมิอาจต้านทานแม้จะใช้พลังวัตรในการป้องกันแต่การถูกกระหน่ำดาบใส่นับสิบครั้งส่งผลให้ร่างของเขาล้มทรุดลง

“โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่อยากใช้เพลงดาบนะคะถ้าไม่จำเป็น แต่กับผู้ชายปากเสียเป็นกรณียกเว้นค่ะ” เพลงดาบของเธอนั้นเน้นความต่อเนื่องเหมือนกับสายน้ำที่ไหลราวกับจะไม่มีวันจบสิ้นซึ่งขัดกับหลักโจมตีตามปกติของเธอดังนั้นตามปกติเธอจึงไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่

“ต้องรีบไปช่วยเซียร์แล้วละค่ะ ถึงฉันจะคิดว่าเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือเท่าไหร่ก็เถอะ” พลังของหัวหน้าหน่วยเธอนั้นเธอย่อมรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาดีอันที่จริงเธอไม่ได้จะไปช่วยหรอกแต่จะไปบอกให้เขายั้งมือหน่อยมากกว่า

ส่วนคาซึกิก็กำลังรับมือกับศัตรูอีกคนเพียงแต่รายนี้นั้นมีความรวดเร็วที่ไม่แพ้เธอเลยสักนิดคมดาบคาตานะในมือของเธอฟาดฟันเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายหากแต่ศัตรูของเธอนั้นกลับสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของเธอไปได้ตลอด

คมมีดแหวกอากาศห่างจากใบหน้าของคาซึกิไปเพียงคืบทำเอาเธอประมาทไม่ได้เลยสักนิดการเคลื่อนไหวของศัตรูเธอนั้นรวดเร็วไม่เบาทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะใช้เพลงดาบประจำตัวของเธอเลยได้แต่ยันกันไว้แบบนี้เท่านั้น

ดวงตาสีเขียวดุจผืนป่าของเธอไม่ได้ร้อนใจตามเหตุการณ์เบื้องหน้าในยามนี้นั้นคำพูดที่เรย์เคยพูดไว้ช่วยเธอได้มากโขหากแต่เป็นแต่ก่อนเธออาจร้อนรนขึ้นมาบ้างแต่ตอนนี้เธอยังคงสามารถรักษาความเยือกเย็นของเธอเอาไว้เหมือนเดิม

‘ต้องลองใช้มนตราหาช่องว่างดู’ เมื่อใช้แค่ดาบไม่ได้ผลเธอจึงคิดจะใช้ข้อได้เปรียบด้านพลังพิเศษของเธอเข้าเสริมด้วยความที่อีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ใช้พลังวัตรจึงไม่มีทางทำแบบเธอได้อย่างแน่นอนก่อนที่เธอจะเริ่มขยับปากอย่างรวดเร็ว

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็รู้ตัวเช่นกันว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เพราะเมื่อเธอเริ่มขยับปากไปได้สักพักการโจมตีของอีกฝ่ายก็ดุดันและรุนแรงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าคมมีดพุ่งออกมาราวกับต้องการจะทิ่มแทงร่างของเธอให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้

มีดของศัตรูเฉี่ยวร่างของเธอจนได้แผลซิบแต่นั่นแหละคือสิ่งที่เธอต้องการเพราะยามนี้ร่างของศัตรูนั้นลอยคว้างอยู่กลางอากาศแล้วอีกทั้งตัวเธอในตอนนี้นั้นร่ายมนต์ที่ต้องการจะใช้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

มนตราธาตุลม สายลมกรรโชก

สายลมพัดพาอย่างบ้าคลั่งทำให้อาวุธเล็กๆอย่างมีดปลิวกระเด็นหลุดออกจากมืออีกทั้งยังทำให้ร่างที่ลอยคว้างกลางอากาศต้องเร่งพลังวัตรขึ้นมาต้านทานแต่นั่นแหละคือสิ่งที่เธอเฝ้ารอศัตรูในสภาพที่ป้องกันตัวเองไม่ได้การจัดการอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ยากเย็นเลย

เพลงดาบลมฝนใบไม้ร่วง วายุบุปผา

ดาบที่รวดเร็วและอ่อนช้อยเหมือนการร่ายรำของมวลดอกไม้ที่พัดไหวไปตามสายลมเป็นความงดงามที่น่าประหลาดเพียงแค่ดาบเดียวร่างของศัตรูก็ล้มลงแน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆอีกแม้แต่น้อยนิดก่อนที่เธอจะสะบัดดาบของตน

“คิดว่าคงไม่ตายหรอก ก็มีพลังวัตรคุ้มกันไว้นี่นะ” เธอไม่ได้วาดดาบหมายจะเข่นฆ่าคนอื่นเธอเพียงแค่อยากทำให้อีกฝ่ายสลบเท่านั้นซึ่งออกจะลำบากสักหน่อยแต่ก็สามารถทำได้เช่นกันก่อนที่เธอจะตรงเข้าปะทะกับศัตรูต่อ

โคสุเกะที่กำลังปะทะกับศัตรูแบบสามต่อหนึ่งนั้นก็กำลังย่ำแย่ได้ที่ตอนแรกเขาไม่นึกว่าศัตรูจะมีฝีมือได้ถึงขนาดนี้คมดาบที่ฟาดฟันใส่ร่างของเขานั้นไม่จัดว่าธรรมดาเลยทุกดาบนั้นจัดว่ารวดเร็วส่วนทางด้านของเจ้าคนที่ไม่ใช้อาวุธนั้นการลงมือแต่ละครั้งก็เป็นจุดตายทั้งนั้นทำให้เขารับมือลำบากกว่าพวกคาซึกิมากซ้ำร้ายยังมีเจ้าผู้ใช้มนตราที่คอยลอบก่อกวนเขาอีก

เขาฟาดกระบองที่แฝงพลังวัตรเอาไว้เข้าใส่เจ้าคนมือเปล่าก่อนหากแต่ก็ทำได้ไม่สุดแรงเนื่องจากต้องรั้งไม้พลองของตัวเองมาต้านรับเจ้าคนใช้ดาบก่อนที่จะผลักร่างของพวกมันสองคนออกไปก่อนหมุนตัวใช้ไม้พลองของตนปัดป้องสายน้ำที่พุ่งเข้ามาใส่ตน

“อัก” หมัดของศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังกระแทกใส่เขาเต็มแรงด้วยความที่เป็นมุมอับทำให้เขาไม่รู้ตัวว่าโดนโจมตีอยู่จนร่างแทบลอยแต่ไม่หมดเท่านั้นเพราะอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหมายโจมตีต่อเนื่องสังหารเขาจนสิ้นทำเอาเขาต้านรับแทบไม่ทัน

แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงแค่กลลวงเพราะเจ้าคนใช้ดาบนั้นก็สอดประสานเข้ามาในการโจมตีนี้แล้วแทงดาบเข้ามาด้วยเช่นกันแม้เขาจะใช้ไม้พลองของตนปัดดาบออกไปแล้วแต่ดาบของอีกฝ่ายก็จมลึกลงไปในหัวไหล่ของเขาอยู่ดี

“บ้าเอ๊ย!! ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่สนแล้วเฟ้ย” เขาดันร่างของเจ้าสองคนที่เข้ามาระยะประชิดก่อนต้านทานการโจมตีระลอกใหม่ของมนตราธาตุน้ำแล้วเร่งพลังวัตรของตนออกมาในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขุดกระบวนท่ามาใช้กันบ้าง

ไม้พลองในมือนั้นตอบรับกับพลังวัตรของเขาในทันทีมันเริ่มปรากฏลวดลายประหลาดที่ราวกับเป็นลวดลายของมังกรจีนตัวยาวอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่เขาแทงพลองเข้าใส่ร่างของเจ้าคนมือเปล่าด้วยความรวดเร็วดุจดั่งกระสุนปืน

อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ย่อยเพราะในจังหวะเดียวกันก็สามารถใช้แขนทั้งสองข้างต้านทานพลองของเขาเอาไว้ได้ทำให้จุดที่โดนแทงนั้นเป็นเพียงแค่แขนเท่านั้นแต่ทางด้านของโคสุเกะกลับขยับยิ้มขึ้นมาก่อนจรดมือไปที่ปลายด้ามพลองอีกด้านนึงและ

วิชาพลองตระกูลหลง มังกรคำราม

พลองของเขากระแทกใส่ร่างของศัตรูด้วยความรุนแรงกว่าเดิมอาศัยการดันปลายไม้พลองอีกด้านแล้วแทงออกไปส่งร่างของศัตรูกระดอนไปไกลหลายสิบเมตรพลังวัตรที่แฝงไว้นั้นคาดว่าอีกเป็นวันเลยทีเดียวกว่าจะฟื้นสร้างความตกตะลึงให้แก่คนอื่นเป็นอย่างมาก

แต่ไม่จบเท่านั้นเมื่อมีโอกาสให้ฉกฉวยได้เขาก็ใช้อย่างเต็มที่ในจังหวะที่ศัตรูเผลอเขาก็วาดพลองออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงยกดาบขึ้นต้านรับอย่างรวดเร็วแต่ก็เป็นอีกครั้งที่กระบวนท่าของเขาสำแดงเดช

วิชาพลองตระกูหลง มังกรสะบัดหาง

และเป็นอีกหนึ่งร่างที่ถูกซัดจนปลิวกระเด็นไปแน่นอนว่าศัตรูของเขานั้นย่อมไม่ฟื้นในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอนเพราะความรุนแรงของการโจมตีนี้นั้นเขามั่นใจว่าหากพอจะอัดกำแพงคอนกรีตเสริมใยเหล็กให้แตกได้แต่มันกลับใช้กับเจ้าบ้าคนนึงไม่ได้ผลก่อนที่เขาจะหันไปเตรียมปะทะกับผู้ใช้มนตราธาตุน้ำหากแต่

“มีอา มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เมื่อเขาหันไปหาเจ้าคนที่ยิงมนต์ธาตุน้ำใส่เขามาตลอดก็ต้องพบร่างของแม่สาวนักเวทคนเดียวในกลุ่มนั่งโบกมือทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเป็นที่เรียบร้อยแต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าจัดการไปตอนไหน

“ทีนี้ก็เหลือแค่ไซเท่านั้นสินะ” อันที่จริงนับเป็นเรื่องแปลกเพราะไซนั้นฝีมือดีที่สุดในกลุ่มแต่กลับเป็นคนจัดการได้ช้าที่สุดแต่ถ้าลองฟังเหตุผลจะไม่มีใครที่แปลกใจเลยเนื่องจากศัตรูที่เขาเผชิญหน้าด้วยนั้นทั้งแข็งแกร่งที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดส่วนเจ้าคนที่ถูกพูดถึงนั้น

“ลุกขึ้นมา เดี๋ยวนี้” แน่นอนว่าทันทีที่ได้ยินคำท้านี้ศัตรูที่หมอบอยู่ที่พื้นนั้นแทบอยากลุกขึ้นมาซัดกับเขาใจแทบขาดหากแต่ติดที่ว่าร่างของตนนั้นไม่อาจที่จะยืนหยัดขึ้นมาได้เลยด้วยพลังของชายผู้นี้

เท้าที่ประทับอยู่บนร่างของผู้เป็นศัตรูนั้นเป็นเท้าที่แฝงไปด้วยพลังวัตรของไซอย่างมหาศาลแม้จะเป็นเพียงแค่เท้าของคนผู้เดียวหากแต่มันราวกับว่าร่างของเขาถูกภูเขาทั้งลูกทับเอาไว้จนกระดิกไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียวแสดงถึงความกล้าแกร่งของชายผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

“ย้าก” เจ้ากลุ่มคนที่อยู่รอบข้างนั้นเมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนเองกำลังแย่จึงพุ่งเข้ามาช่วยทันทีคมอาวุธนับสิบอีกทั้งมนตราหลากหลายรูปแบบกระหน่ำใส่ร่างของเขาโดยไม่ปราณีดูยังไงตัวเขาก็ไม่มีทางรอดไปได้เลยแต่ก็อีกนั่นแหละนั่นเป็หลักเกณฑ์ที่เอาไว้ใช้กับคนธรรมดา

“มาเลย สัญลักษณ์แห่งพลัง จงบดขยี้ทุกชีวิตที่ต่อต้านพลังของพวกเราให้สิ้น สกอลล์!!” เสียงร้องคำรามของไซดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณทำให้ร่างทุกร่างที่อยู่โดยรอบแทบหยุดชะงักไปพร้อมกับสัญลักษณ์ VIII ที่ปรากฏขึ้นที่หลังมือขวา

เส้นผมของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาที่เคยเป็นสีแดงตามปกติแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงแต่กลับแฝงแววคลุ้มคลั่งมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า พลังวัตรมหาศาลปะทุออกมาจากร่างราวกับการระเบิดคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นรุนแรงเสียจนบรรยากาศรอบตัวเริ่มร้อนระอุแน่นอนว่าร่างที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากร่างที่หมอบอยู่แทบเท้าของไซนี่

“อ๊าก” ความร้อนจากพลังวัตรทำให้หมวกเหล็กเริ่มหลอมละลายบนร่างกายของเขาเกิดบาดแผลไหม้เกรียมหลายแห่งแต่ไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะร่างนั้นกำลังจะหายใจไม่ออกจากการที่หมวกเหล็กเริ่มละลายแต่ในยามนี้ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป

“กรร!!” คลื่นพลังวัตรอันร้อนแรงที่ระเบิดออกมาจากร่างนั้นเป่ามนตราทั้งมวลที่คิดจะกล้ำกรายเข้ามายังร่างของเขาแค่เพียงครั้งเดียวมันก็สลายไปจนหมดสิ้นความเกรี้ยวกราดและทรงพลังที่ทำให้ทุกชีวิตต้องหวาดหวั่น

แค่เพียงสะบัดฝ่ามือครั้งเดียวพลังวัตรอันร้อนแรงนั้นก็ตรงเข้าแผดเผาร่างของศัตรูเป็นจำนวนมากหลายต่อหลายคนดิ้นพล่านด้วยความร้อนระอุจากเพลิงปราณของเขาแม้จะมีผู้ใช้มนตราหลายคนพยายามใช้น้ำมันก็ไม่เป็นผลเพราะมันรุนแรงกว่าเปลวเพลิงทั่วไปนัก

“เอ้า ใครกล้าก็เข้ามา” เขาละเท้าจากร่างที่นอนแหง็กอยู่กับพื้นก่อนที่จะปรายตาไปยังร่างจำนวนมากที่ยืนสลอนกันอยู่ดวงตาสีเพลิงจ้องไปทางคนทั้งกลุ่มด้วยสายตาราบเรียบแต่ทำเอาคนเหล่านั้นถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“ไม่มีเลยงั้นรึ แต่อย่าคิดว่าจะรอดไปได้” เขาพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนในทันทีทุกหมัดและเท้าของเขานั้นแฝงไปด้วยความร้อนระอุที่เพียงแค่เฉี่ยวก็ทำให้คนเหล่านั้นเกิดบาดแผลไฟไหม้ขึ้นมาแล้วจนตอนนี้ผู้คนมากมายล้มลงราวกับใบไม้ร่วง

ทุกหมัดและเท้าของไซแทบกลายเป็นอาวุธทำลายล้างทุกสิ่งที่ปะทะด้วยต้องไหม้เกรียมและลงไปดิ้นทุรนทุรายแค่เพียงไม่ถึงห้านาทีคนจำนวนร่วมร้อยคนก็ถูกเขาซัดลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะหยุดลงเมื่อพบว่าไม่เหลือใครยืนหยัดอยู่แล้ว

“อ่อนแอไม่มีใครต้านเพลิงปราณของฉันได้เลยหรือไง ถ้าแบบนั้นก็ตายไปซะให้หมด” พลังวัตรสีส้มแดงห่อหุ้มฝ่ามือขวาของเขาจนดูราวกับว่ามือขวาของเขานั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ขอแค่ลงมืออีกครั้งเดียวก็จะสามารถดับชีพพวกมันได้จนหมดสิ้นแต่ในตอนนั้นเอง

“อย่านะคะ เซียร์” เสียงห้ามที่ไม่เกรงกลัวต่อพลังอำนาจของสัตว์ร้ายในเวลานี้เลยดังขึ้นแต่ที่น่าแปลกก็คือเขาหยุดมือตามคำพูดนั้นจริงดวงตาสีเพลิงที่กำลังคลุ้มคลั่งนั้นหันไปมองต้นเสียงก็ต้องพบว่าเป็นแม่คุณหนูสาวคนนั้นนั่นเอง

เมื่อเห็นเช่นนั้นพลังวัตรที่ห่อหุ้มมือขวาของเขาก็สลายไปจนสิ้นดวงตาสีเพลิงที่ทอแววเกรี้ยวกราดและมาดร้ายคู่นั้นกลับมาเป็นแววตาราบเรียบตามปกติ สีผมและสีตาของเขากลับมาเป็นเหมือนดั่งเดิมพร้อมกับสัญลักษณ์ VIII ที่เลือนหายไปจากหลังมือขวา

“ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้นน่าเอเรีย ฉันก็ไม่ฆ่าพวกมันแล้วนี่ไง” เหล่าคนที่เกือบจะไปเยือนตำหนักมัจจุราชอย่างพร้อมเพรียงนั้นโล่งอกขึ้นมาพลางนึกขอบคุณเอเรียไปด้วยเพราะหากเธอมาห้ามช้ากว่านี้ไปสักเสี้ยววิพวกเขาคงตายกันหมดแล้ว

“แต่เซียร์ก็เกือบผิดสัญญานี่คะ” เธอรู้ดีจากแววตาของเขาเลยว่าหากว่าเธอมาห้ามช้ากว่านี้ไปสักนิดย่อมเกิดการสังหารหมู่ขึ้นมาอย่างแน่นอนที่สุดเพราะแววตาของเขาในตอนนั้นมันไม่ได้มีความล้อเล่นแฝงอยู่สักนิด

“เจอกับคนเป็นร้อยเลยลืมยั้งมือไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญากับเธอจริงๆ” คำพูดของไซทำให้แม่คุณหนูสาวเริ่มใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อยเพราะการต้องต่อสู้กับคนร่วมร้อยนั้นการยั้งมือทำให้เขาเป็นฝ่ายที่ต้องเป็นอันตรายแทนก็ได้

“ครั้งนี้ฉันยกโทษให้ก็ได้ค่ะ งั้นเราติดต่อทางการให้มารับตัวพวกเขาเลยดีกว่าไหมคะ” เมื่อเห็นว่าทุกคนในที่นี้ต่างถูกจัดการจนยอมจำนนหมดแล้วเธอจึงคิดว่าควรจะนำคนพวกนี้ไปรับโทษตามกฏหมายเสียที

“ฉันติดต่อไปแล้วล่ะคิดว่าสักพักพวกเขาก็คงส่งรถมารับนักโทษ” แน่นอนว่ามีอานั้นย่อมติดต่อไปตั้งแต่การต่อสู้ของเธอจบลงแล้วเนื่องจากเธอประเมินแล้วว่าลองให้ไซสู้คนเดียวโดยไม่มีเอเรียคอยคุมไม่เกินสิบนาทีก็น่าจะเรียบร้อย

“งั้นพวกเราก็ไปกันได้แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าพวกมันหรอกแล้วก็ หวังว่าพวกแกคงไม่ทำเรื่องโง่ๆอย่างการหนีหรอกนะเพราะฉันจำหน้าพวกแกได้หมดทุกคนแล้ว” ถึงจะฟังดูแล้วเหมือนโม้แต่กลับไม่มีใครเลยที่คิดอยากจะลองดีกับมัจจุราชผู้นี้และเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะตามตนไปสุดขอบนรกอย่างแน่นอนอย่าว่าแต่ตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บเสียจนลุกไม่ขึ้นเลย

“อ๊ะ โคสุเกะได้แผลด้วยนี่คะ” เมื่อเห็นบาดแผลบนหัวไหล่ของเขาเอเรียก็อดจะตกใจไม่ได้เนื่องจากว่าเสื้อบริเวณหัวไหล่ที่โดนแทงนั้นถูกเลือดของเจ้าตัวย้อมจนกลายเป็นรอยสีแดงขนาดใหญ่เลยทีเดียว

“ไม่ต้องห่วง ฉันใช้พลังวัตรฟื้นฟูจนแผลเริ่มปิดแล้ว แถมมีอาก็รักษาให้คร่าวๆแล้วด้วย” สำหรับผู้มีพลังวัตรรอยแผลแค่นี้ไม่ได้หนักกว่าแผลถลอกมากนักอีกทั้งดาบที่อีกฝ่ายแทงเข้าไปนั้นก็ไม่ได้ลึกอะไรมากมายด้วย

“มีอา ไปรักษาแผลที่หลังให้เจ้านี่ซะ” หากแต่ในทันทีที่ไซปรายตามองมาทางโคสุเกะเขากลับออกปากสั่งแม่สาวนักเวทให้รักษาบาดแผลบริเวณอื่นแทนคำพูดนี้นั้นทำให้เหล่าคนที่ฟังอยู่อดที่จะแปลกใจไม่ได้ขึ้นมาในทันที

“ไม่ต้องมายุ่งหรอกน่า!! แผลเผอที่หลังอะไรไม่มีสักหน่อย” แต่เจ้าตัวยังคงปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมหันหน้าหมายจะเดินหนีแต่ทางด้านของไซกลับว่องไวกว่าเพราะเขาก้าวเท้าไปอยู่ด้านหลังของโคสุเกะในพริบตาพร้อมวางฝ่ามือลงไปบนหลังของเจ้าตัวอย่างแผ่วเบา

“อึก” ร่างของโคสุเกะแทบล้มทรุดลงในทันทีความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างนั้นทำเอาเขาต้องกัดฟันกรอดไม้พลองที่อยู่ในมือนั้นต้องถูกนำมาใช้งานต่างไม้ค้ำเพื่อพยุงร่างกายของเขาไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นเสียก่อน

“แค่แตะเบาๆ ก็ไม่ไหวแล้วนี่เหรอไม่เป็นไร? นายหลอกคนอื่นได้แต่หลอกคนที่มีพลังวัตรในรูปแบบเดียวกันไม่ได้หรอก บาดแผลของนายที่ไหล่น่ะไม่ได้หนักหนาอะไรเท่าไหร่ที่หนักจริงๆ คือบาดแผลที่หลังต่างหาก คิดว่าคงโดนโจมตีซ้ำจุดเดิมละสิถึงบาดเจ็บได้ขนาดนี้” เป็นการคาดการณ์ที่แม่นยำเป็นที่สุดเพราะเขาโดนมนต์ธาตุน้ำยิงอัดจากทางด้านหลังไปหลายนัดแถมยังโดนหมัดของศัตรูไปอีกหมัดทำให้อาการบาดเจ็บของเขาที่บริเวณหลังเป็นสิ่งที่หนักหนาที่สุด

“ถ้าคิดจะทำปากเก่งละก็รอมีฝีมือก่อนแล้วค่อยทำ พลังครึ่งๆกลางๆน่ะมันช่วยอะไรใครไม่ได้หรอก” คำพูดที่เสียดแทงยิ่งกว่าอะไรของไซทำเอาโคสุเกะกัดฟันกรอดอยากเอาไม้พลองฟาดใส่อย่างเต็มที่ติดที่ว่าเขายังบาดเจ็บอยู่แถมต่อให้ฟาดไปก็ไม่น่าจะเอาเจ้านี่ลงได้

“ไอ้บ้าเอ๊ย!! คอยดูเถอะสักวันฉันจะตะบันหน้านาย” เขากัดฟันอย่างเจ็บใจเพราะรู้ดีว่าฝีมือของตนในตอนนี้สู้ไมได้แต่เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะมีวันที่เขาสามารถเอาชนะชายผู้นี้ได้หรือเปล่าเนื่องจากอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน

หากแต่ทางด้านของคาซึกิกลับอดขมวดคิ้วไม่ได้เพราะแม้ว่าคำพูดที่ชายชื่อไซใช้นั้นแม้จะฟังดูเหมือนเสียดแทงแต่ในพริบตาเมื่อครู่เธอเห็นภาพของเธอซ้อนทับไปที่โคสุเกะและเห็นภาพของเรย์ซ้อนทับไปยังไซไปครู่นึง

“หึ ดูออกสินะ นั่นเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบของไซ ถึงออกจะแปลกไปสักหน่อยแต่เขาก็เป็นห่วงคนในทีมน่ะนะ” แม่สาวนักเวทหันมาคุยกับเธอราวกับรับรู้ในความคิดของเธอก่อนจะเดินตรงเข้าไปรักษาให้กับเจ้าคนปากเก่งคนนั้นอย่างรวดเร็ว

‘เอาเป็นว่าไปลองเจอด้วยตัวเองดีกว่าคาซึกิ ไปลองมองด้วยตาของตัวเองแล้วตัดสินเองเถอะ’ คำพูดของเรย์กลับมาดังก้องในหัวของเธออีกครั้งในตอนนั้นเธอนึกว่าหัวหน้าของเธอเพียงขี้เกียจบรรยายเลยไล่เธอให้ไปตายเอาดาบหน้าแต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

เป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ พอได้มาลองมุมมองปราศจากอคติแล้วจะพบว่าชายที่เป็นหัวหน้าหน่วยสามคนนี้แม้จะบ้าคลั่งและไม่เห็นคุณค่าของชีวิตก็ตามแต่ก็มีส่วนดีๆ อย่างการเป็นห่วงคนในทีมเช่นกันแม้วิธีการที่ใช้จะขวานผ่าซากไปสักหน่อยก็เถอะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel